ตอนที่ 48 พบเอ้อร์หนิวอีกครั้ง
เจียงซื่อประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้า เอนตัวพิงไปกับพนักพิงเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ และอ่อนโยนว่า “เงิน…ต้องมีชีวิตใช้ ถึงจะเรียกว่าเงิน”
อาเฟยตัวสั่น หวนนึกถึงความเจ็บปวดประหนึ่งอยู่มิสู้ตายในคืนนั้นทันที
แม้ว่าความเจ็บปวดจะหายไปทั้งหมดแล้ว แต่เหงื่อเย็นๆ ที่ไหลซึมขึ้นมาบนแผ่นหลังของเขายังคงอยู่ ความหวาดกลัวไม่สิ้นสุดผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาจนพาให้สั่นสะท้านไปทั้งกาย
ความเจ็บปวดแบบนั้น เขาไม่อยากจะลิ้มรสมันอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
“ประเดี๋ยวเหอเปาก็ได้ขาดพอดี ถือดีๆ หน่อยสิ!” อาหมานเอ่ยเตือนอย่างปวดใจ
นี่เป็นเงินที่คุณหนูของนางออกหน้ายืมมาจากหลิวเซียนกูด้วยตนเองเชียวนะ คิดว่ามันง่ายนักหรือ
“โรงรับพนันน้อยใหญ่ทั้งหมดในเมืองหลวงนับรวมกันแล้วก็มิใช่จำนวนน้อยๆ เงินที่ข้าให้ไปนี่ก็มิใช่ก้อนเล็ก เจ้าแบ่งมันแล้วนำไปลงเดิมพันในโรงรับพนันที่มีชื่อเสียงสักสามหรือสี่แห่ง หลังจากจบงานแล้ว ข้าจะแบ่งกำไรที่ได้ให้เจ้าหนึ่งร้อยตำลึงถือเป็นค่าตอบแทนในครั้งนี้”
“ไม่ต้องตอบแทนก็ได้ขอรับ ไม่ต้องตอบแทนก็ได้” อาเฟยกล่าวปฏิเสธซ้ำๆ
เจียงซื่อหลุดขำและกล่าวว่า “ทำงานรับเงิน นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แม้ว่าเจ้าจะมีพื้นฐานมาจากการเป็นนักเลงในตลาด แต่ว่าเจ้าก็เป็นพลเมืองที่ดีคนหนึ่ง พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นนายบ่าวกัน ตอนนี้นับว่าร่วมมือกันก็คงได้กระมัง ดังนั้นในเมื่อมันเป็นความร่วมมือ แน่นอนว่าหลังจากงานเสร็จสิ้นข้าก็ต้องให้เงินเจ้า”
“เช่นนั้น ข้าก็ขอบคุณคุณหนูล่วงหน้าแล้วกัน”
“เจ้าไปเถอะ”
อาเฟยเก็บเหอเปาเข้าอกเสื้อของตัวเองอย่างระมัดระวัง แต่หลังจากพิจารณาดูและเห็นว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เขาก็เดินไปหยุดอยู่ที่ตรงมุมหนึ่งในห้อง จากนั้นก็ถอดรองเท้าออกแล้วซุกมันไว้ในพื้นที่ด้านบนของรองเท้า
อาหมานกลอกตาใส่เขาอย่างรังเกียจ “เจ้ากล้าถอดรองเท้าต่อหน้าคุณหนูของข้าได้อย่างไร หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”
“ก็ทำแบบนี้มันปลอดภัยกว่านี่” อาเฟยเถียงกลับด้วยรอยยิ้มยียวน
เขาใช้ชีวิตข้างถนนมานานหลายปีแล้ว ย่อมเข้าใจสัจธรรมข้อหนึ่งเป็นอย่างดี นั่นคือบนโลกนี้มีหลายสิ่งนักที่สำคัญกว่าหน้าตา อย่างน้อยที่สุดเงินในรองเท้าเขาตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่ออาเฟยเดินไปถึงประตู เจียงซื่อก็ตะโกนเรียกชื่อเขาจากทางด้านหลัง “อาเฟย…”
เสียงตะโกนนั้นเบาเหวงแต่ก็คมชัด เหมือนกับน้ำพุที่นำมาใช้ชงชาในห้องน้ำชาช่วงต้นคิมหันตฤดู ทำให้จิตใจที่กระสับกระส่ายอยู่ของผู้คนสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
อาเฟยชะงักฝีเท้าอย่างหยุดไม่ได้ เขาก้มหน้าลงแล้วหันกลับมา “ไม่ทราบว่าคุณหนูมีอะไรจะสั่งข้าเพิ่มเติมหรือ”
“เปล่า ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าหากไม่อยากเป็นนักเลงคลุกฝุ่นไปตลอดทั้งชีวิต ก็แค่ตั้งใจทำงานให้ข้าให้ดี”
อาเฟยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เงยหน้าพรวดมองไปที่เจียงซื่อด้วยความตกตะลึง
หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ดวงตาสีเข้มของนางกลับทำให้ผู้คนเห็นลึกไปถึงความคิดของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความจริงใจในคำพูดของนางอย่างอธิบายไม่ถูก
หัวใจของอาเฟยร้อนผ่าวไปทั้งดวง เขาพยักหน้าตอบอย่างไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่นักก่อนจะรีบร้อนเดินจากไป
เจียงซื่อยกถ้วยน้ำชาของนางขึ้นจิบเบาๆ
“คุณหนู ท่านเชื่อใจในตัวอาเฟยมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ เกิดเขาโลภแล้วหนีไปพร้อมกับเงินเล่าเจ้าคะ”
“เขาจะไม่ทำแบบนั้น”
พูดให้ชัดเจนคือไม่ใช่เขาไม่ทำ แต่เขาไม่กล้าทำ
เจียงซื่อไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำมันอีกครั้งหลังจากเคยลิ้มรสผงคร่าวิญญาณไปแล้วครั้งหนึ่ง
อย่างที่นางเพิ่งพูดกับอาเฟยไปเมื่อสักครู่นี้ เงิน ต้องมีชีวิตใช้ ถึงจะเรียกว่าเงิน หากไม่มีชีวิตอยู่แล้ว มีเงินมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์
ผงคร่าวิญญาณมีอานุภาพร้ายแรงมากเกินไป นางยังทำได้เพียงปริมาณน้อยนิดเท่านั้นตลอดช่วงหลายวันมานี้ และทั้งหมดก็ถูกใช้บนตัวอาเฟยไปหมดแล้ว
นับตั้งแต่ที่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ เรื่องที่นางต้องทำก็ถูกเรียงลำดับออกมายาวเป็นหางว่าว นางมีคนไม่พอใช้จริงๆ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่จนตรอกถึงขั้นดึงผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นี่คือขอบเขตในการแก้แค้นผู้ที่เคยทำชั่วกับนางในชาติที่แล้ว เพราะนางไม่ต้องการเป็นคนแบบพวกเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เนื่องจากอาเฟยส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูบ้านด้วยความสมัครใจจากการบังเอิญเดินเข้ามาแทะโลม แน่นอนว่าคงนับอีกฝ่ายว่าเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ ด้วยไม่ได้ ควบคุมเขาให้มาช่วยทำธุระให้นางชั่วคราว นี่ไม่นับว่าขัดต่อความตั้งใจเดิมแต่อย่างใด
ขณะที่เจียงซื่อกำลังนั่งจิบชาอยู่ในห้องส่วนตัว อาเฟยก็ก้าวออกจากโรงน้ำชาไปอย่างรีบเร่ง
มีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้ เขายังไม่เคยแตะเงินจำนวนมากเท่านี้มาก่อน นับทั้งเนื้อทั้งตัวที่มีอยู่บวกกับทรัพย์สินที่เก็บออมมาตลอดทั้งชีวิตของเขา ยังได้ไม่ถึงครึ่งของเงินที่ซุกอยู่ในรองเท้าเขาตอนนี้ด้วยซ้ำ อาเฟยรู้สึกเย็นที่เท้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าสมควรก้าวเท้าไหนออกไปก่อนดี สัมผัสได้ว่าการเดินของตัวเองออกจะแข็งขืนอยู่สักหน่อย
อย่าตื่นเต้น อย่าตื่นเต้น…
จิตใจของอาเฟยตึงเครียด เขาพึมพำเบาๆ ราวกับกำลังสะกดจิตตัวเอง หลังจากเดินออกจากโรงน้ำชาไปได้ประมาณยี่สิบฟุต ทันใดนั้นสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาเขาแล้วเห่าเสียงดังลั่น
โฮ่งๆๆ เสียงเห่าของสุนัขตัวใหญ่ทำเอาอาเฟยสะดุ้งเฮือก มันคำรามใส่เขาคล้ายกับต้องการจะเตือนอะไรบางอย่าง
อาเฟยเกือบกระโดดหนีแล้วในตอนแรก แต่พอเขาได้สติก็จ้องไปที่สุนัขตัวใหญ่ตรงหน้า เผชิญหน้ากับมันราวกับเป็นศัตรูของเขา “ขอเตือนเจ้าก่อนว่าข้าน่ะกินเนื้อสุนัข หากไม่อยากตายก็รีบๆ ไสหัวไปเสีย อยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว…”
อย่างไรก็ตามสุนัขตัวนั้นกลับกระโจนใส่เขาทันทีที่พูดจบ มันกัดไปที่ก้นของอาเฟยอย่างแรง
อ้ากกก อาเฟยกรีดร้องโหยหวน
อาหมานที่เห็นฉากนี้เข้าจากบนหน้าต่างชั้นสองของโรงน้ำชารีบยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นขำจนไหล่โยก “คุณหนู อาเฟยถูกสุนัขกัดแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเหลือบมองออกไป แต่แล้วนางก็ต้องตกใจ
สุนัขตัวใหญ่นั่นทำไมถึงได้ดูคล้ายเอ้อร์หนิวขนาดนี้…
“เอ๋ คุณหนูเจ้าคะ สุนัขตัวใหญ่นี้ดูเหมือนสุนัขที่คาบเงินมาให้คุณหนูในวันนั้นเลยเจ้าค่ะ” อาหมานรู้สึกประทับใจสุนัขที่คาบเงินมาให้คุณหนูของตัวเองในวันนั้นมาก
“คุณหนู รีบดูนั่นเร็ว ท่านว่ามันกำลังจะทำอะไรเจ้าคะ”
หลังจากปล่อยปากที่งับก้นอาเฟยออก เจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็ลดจมูกลงเล็กน้อยแล้วดมฟุดฟิดไปที่เท้าของอาเฟย ก่อนจะกัดไปที่รองเท้าของอาเฟยในที่สุด
อาเฟยรู้สึกหวาดกลัวมากในขณะนั้น เขากระโดดหนีเต็มแรง ดิ้นรนอย่างหนักพยายามตะเกียกตะกายหลบหนีเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ให้ได้ “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน รีบปล่อยเดี๋ยวนี้!”
“คุณหนู สุนัขตัวนั้นคงจะไม่เอาเหอเปาในรองเท้าของอาเฟยที่เราตั้งใจให้เขาคาบกลับมาคืนคุณหนูอีกนะเจ้าคะ” อาหมานที่กำลังมองฉากตรงหน้าด้วยความสนุกสนานเหมือนเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นได้
คล้ายกับว่าเจ้าสุนัขตัวใหญ่นี้ในวันนั้นเองมันก็ทำเช่นนี้กับคุณชายรองด้วยเหมือนกัน ก่อนจะคาบเหอเปานั่นกลับมาคืนให้คุณหนูของนาง ซึ่งในเหอเปาที่มันคาบกลับมามีทั้งใบไม้ทองและไข่มุกราคาสูงลิ่ว
อย่างไรก็ตามคิดถึงสิ่งที่สุนัขตัวใหญ่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ อาหมานเริ่มรู้สึกลางไม่ค่อยจะดีแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราควรทำอย่างไรต่อดี”
เหตุการณ์หน้าโรงน้ำชายามนี้มีชาวบ้านมามุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางสายตาของผู้คนหลายสิบคน หากรองเท้าของอาเฟยข้างนั้นถูกคาบกลับมาคืนคุณหนูจริงๆ จากเรื่องตลกขบขันคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตในไม่ช้า
เจียงซื่อถูกฉากตรงหน้าทำเอาสับสนไปหมดแล้ว
จริงอยู่ที่นางมีวิธีการมากมายในการจัดการกับผู้คน แต่ให้ไปต่อกรกับเอ้อร์หนิว ถึงแม้ว่านางจะมีวิธีอยู่จริงๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนางลงมือไม่ลง
เพราะตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงคับขัน เจียงซื่อจึงตะโกนออกไปเบาๆ ว่า “เอ้อร์หนิว!”
ตะโกนเสร็จ เจียงซื่อก็ส่ายหัวไปมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพความประทับใจในครั้งนั้นที่พบกับเอ้อร์หนิวหรือเปล่า ถึงได้ทำให้เอ้อร์หนิวในสายตาของนางพิเศษกว่าสุนัขธรรมดาทั่วไป นางรู้สึกอยู่เสมอว่าเอ้อร์หนิวสามารถฟังภาษาคนรู้เรื่อง แถมมันยังยินดีที่จะเชื่อฟังนางอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย แน่นอนว่าในความเป็นจริงเรื่องราวย่อมไม่ใช่แบบนั้น
นางเคยเป็นเจ้านายของเอ้อร์หนิวมาก่อน แม้ว่ามันจะสิ้นสุดไปตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้วก็ตามที
ส่วนเอ้อร์หนิวเอง นางก็คงเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของมันอยู่บ้างกระมัง
เอ้อร์หนิวที่กำลังฟัดอยู่กับอาเฟยที่ชั้นล่างหยุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ดังส่งมา มันเงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไปที่หน้าต่างอย่างสงสัย
อาเฟยอาศัยจังหวะที่เจ้าสุนัขตรงหน้าถูกเบี่ยงเบนความสนใจไป กุมก้นของตัวเองแล้ววิ่งหนีไปอย่างตาลีตาเหลือก แต่หลังจากที่เขาวิ่งออกไปไกลหลายจั้ง เขาก็อดไม่ได้มองย้อนกลับไปด้วยความหวาดกลัว
เจ้าสุนัขสมควรตายนั่นมันคงไม่วิ่งตามข้ามาแล้วใช่หรือไม่
เมื่อเห็นสุนัขตัวใหญ่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม อาเฟยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พริบตาเดียวเขาก็วิ่งหนีหายไปไม่เห็นเงา
โฮ่งงง สุนัขตัวใหญ่คำรามไปทางทิศที่อาเฟยกำลังจะจากไปอย่างฉุนเฉียวนัก มันเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสองของโรงน้ำชาอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เห็นเงาร่างของเจียงซื่อแล้ว
อาหมานมองไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวล “คุณหนู เจ้าสุนัขตัวนั้นมันจะขึ้นมาหาท่านข้างบนนี้หรือไม่”
เจียงซื่อส่ายหัว
นางยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เอ้อร์หนิวหยุดเพียงเพราะได้ยินเสียงร้องตะโกนของนางจริงๆ น่ะหรือ
โฮ่งงง เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยังคงเงยหน้ามองขึ้นไป เสียงร้องของมันน่าสงสารมาก
หัวใจของเจียงซื่ออ่อนยวบลงหลายส่วน
นางลงไปดูมันดีหรือไม่นะ
แต่ถ้านางติดต่อกับเอ้อร์หนิวบ่อยๆ นางคงไม่สามารถหลบเลี่ยงเจ้าคนนิสัยไม่ดีนั่นได้อีกแล้ว
เจียงซื่อหวนนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอวี้ชีอีกครั้ง ยังคงชั่งใจและคิดไม่ตก
เขาบุกรุกเข้ามาในชีวิตของนางโดยทำทีเป็นว่าไม่ได้ตั้งใจ ปกปิดสถานะองค์ชายเจ็ดของไว้แล้วบอกนางเพียงว่า เขาเป็นพลเมืองของต้าโจวที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดน เนื่องจากทางบ้านทำการค้าติดต่อกับชนเผ่าอูเหมียว เขาก็เลยสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้อาวุโสของเผ่าอูเหมียวเป็นอย่างดี
จนกว่านางจะพยักหน้ายอมตกลงแต่งงานกับเขา เขาถึงจะยอมสารภาพฐานะที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้นางฟัง มิหนำซ้ำยังไม่อนุญาตให้นางกลับคำอีกด้วย!
หากนางรู้แต่แรกว่าเขาคือองค์ชายเจ็ด นางคงเก็บหัวใจไว้ให้ห่างไกลจากเขา จะได้ไม่ต้องตกตายอย่างน่าสังเวชแบบนั้นในภายหลัง
“นี่มันไอ้สัตว์เดรัจฉานที่กัดข้าในวันนั้นนี่ รีบฆ่ามันให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ในเวลานี้เองเสียงคำรามหนึ่งก็ดังมาจากนอกหน้าต่างทันใด