ตอนที่ 47 ยืมเงิน

“ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลไป ไยเซียนกูจึงรีบตีตนไปก่อนไข้ แต่จบเรื่องเร็วสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ข้าคิดว่าสองคนนั้นคงจะตื่นขึ้นมาในเร็วๆ นี้”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร…” แววตาที่หลิวเซียนกูใช้มองเจียงซื่อยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดนัก

เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใจการเคลื่อนไหวและการกระทำของอีกคนอย่างดีชนิดทุกฝีก้าว แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพียงเด็กสาวอ่อนแอ แต่ในสายตาของผู้ที่ถูกจับจ้อง มันน่ากลัวประหนึ่งสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวและกรงเล็บแหลมคมก็มิปาน

ซึ่งภาพลักษณ์ของเจียงซื่อในขณะนี้ ในสายตาของหลิวเซียนกูดูเหมือนสิ่งนั้นยิ่ง

“มาเถอะ พวกเรามาคุยเรื่องการค้ากันต่อดีกว่า” หญิงสาวยิ้มพราย

“ข้าไม่รู้เรื่องการค้า!” นางแค่อยากจะโบยบินให้ไกลๆ ใครก็อย่าได้คิดจะขวาง!

เจียงซื่อหลุดขำพรืด หัวเราะและพูดออกไปว่า “เซียนกู ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าพิธีกรรมนั่นของท่านนั้นไม่ธรรมดาเลย อันที่จริงก็มีประโยชน์ต่อท่านอย่างน้อยถึงสองข้อด้วยกัน”

“มีประโยชน์ต่อข้าอย่างไร”

เจียงซื่อยื่นนิ้วออกมา

ทันทีที่หลิวเซียนกูเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ นางก็ตัวสั่นไปโดยไม่รู้ตัว

นี่ไม่ใช่ว่าจะทำสัญลักษณ์เลข ‘หก’ อีกนะ

นอกจากการขุดสุสานและปล่อยข่าวลือ แล้วช่วยขู่อย่างอื่นแทนได้หรือไม่

คราวนี้เจียงซื่อเปลี่ยนเป็นเหยียดสองนิ้วออกไป นางกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ประการแรก เซียนกูได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องความปลอดภัยของท่านจึงรับประกันได้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจียงซื่อก็เหลือบมองหลิวเซียนกูแวบหนึ่ง นางถามต่อด้วยรอยยิ้มหวาน ว่า “เซียนกูรู้หรือไม่ว่านิสัยของท่านอาสะใภ้รองของข้านั้นออกจะพูดยากอยู่สักหน่อย ว่าอย่างไรดีนางค่อนข้างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังไม่ค่อยอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์มากอีกต่างหาก ท่านคิดว่านางจะปล่อยให้ท่านหนีออกจากเมืองหลวงอย่างราบรื่นอย่างนั้นหรือ”

หลิวเซียนกูมุมปากกระตุกยิกๆ

นั่นคือเหตุผลที่ข้ากำลังจะแอบหนีไปอย่างไรเล่า!

“เพื่อให้เซียนกูเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นอีกสักหน่อย พี่ชายของท่านอาสะใภ้รองข้าประจำการอยู่ในกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร แม้ว่าตำแหน่งจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่แค่สกัดตัวคนคนหนึ่งล่ะก็มิใช่เรื่องยากอะไรเลย”

มุมปากของหลิวเซียนกูกระตุกติดต่อกันหลายครั้ง

ขึ้นเรือโจรแล้วถอนตัวยากจริงๆ!

“ทว่าสถานการณ์ตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างก็จับตาดูอยู่ อาสะใภ้รองของข้าย่อมไม่กล้าจัดการกับเซียนกูตรงๆ อย่างมากสุดก็แค่ปล่อยข่าวลือบางอย่างเพื่อทำลายชื่อเสียงของท่าน”

“ถ้าชื่อเสียงของข้าถูกทำลาย ข้าก็จบสิ้นแล้ว” หลิวเซียนกูพึมพำอย่างเหม่อลอย

หากดวงตาของเหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วไม่ดีขึ้น เอ้อร์ไท่ไท่จะต้องปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงของนางแน่ ดีไม่ดีอาจใส่ร้ายเพิ่มเติมถึงขั้นทำให้นางต้องเข้าไปนอนอยู่ในคุก ซึ่งนี่ไม่ได้ดีไปกว่าการถูกทุบตีเลย!

“ชื่อเสียงของเซียนกูจะถึงคราวจบสิ้นลงได้อย่างไร ในเมื่อดวงตาของท่านย่าข้าจะต้องหายดีอย่างแน่นอน”

หลิวเซียนกูสูดหายใจเข้าลึก น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความประหม่าและร้อนรน “คุณหนู เจ้าคิดว่าดวงตาของเหล่าฮูหยินจะดีขึ้นจริงหรือ”

“ข้าไม่ได้สักแต่พูดขึ้นลอยๆ อย่างไร้หลักฐานหรอกนะ และนี่ก็คือประโยชน์ข้อที่สองที่ข้ากำลังจะบอก ตอนนี้ผู้คนเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่าอิทธิฤทธิ์ของเซียนกูเป็นของจริงหรือไม่ รอจนกระทั่งดวงตาของท่านย่าข้าดีขึ้น ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ชื่อเสียงเลย แม้แต่โชคลาภเงินทองก็จะไหลมาเทมา มีแต่ได้กับได้”

“หากเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมาจริง เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณคุณหนูแล้ว”

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพูดถึงเรื่องนี้ พวกเรามาพูดเรื่องการค้ากันก่อน”

“การค้าอะไรหรือ”

“เรื่องที่โรงรับพนันใหญ่ๆ ในเมืองหลวงยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งเดิมพันมิใช่หรือ พวกเราไปร่วมสนุกกันเถอะ”

ใบหน้าของหลิวเซียนกูแข็งทื่อไปเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจคำพูดของเจียงซื่อถูกหรือเปล่า

“ข้าได้ยินมาว่าอัตราต่อรองของโรงรับพนันขนาดใหญ่ทุกแห่งให้สูงถึงหนึ่งต่อห้าเลยทีเดียว หากพวกเราลงข้างท่าน ว่าท่านสามารถรักษาดวงตาของท่านย่าให้หายได้ พวกเราก็จะได้เงินคืนจากเดิมหนึ่งตำลึงเป็นห้าตำลึง การค้าประเภทที่เห็นกำไรลอยมาเหนาะๆ เช่นนี้จะไม่ทำได้หรือ”

“ต่อให้เป็นเช่นนี้จริง แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาเล่า” หลิวเซียนกูถูกคำพูดของเจียงซื่อล่อลวงจนเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาบ้างแล้ว

“ข้าไม่มีทางแพ้” เจียงซื่อตอบอย่างหนักแน่น

หลิวเซียนกูอ้าปากค้าง แต่ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากเพื่อหักล้างอีกฝ่าย ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่ายัยเด็กปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากหลุมฝังศพของบรรพบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดา จึงเลือกเงียบไป แล้วถามต่ออย่างลังเลว่า “เหตุใดถึงต้องเป็นพวกเราสองคน”

เจียงซื่อกางมือทั้งสองข้างออก แล้วพูดด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวมั่นใจยิ่ง “ข้าไม่มีเงิน”

หลิวเซียนกูมุมปากกระตุกยิกๆ แล้วนางก็กัดฟันยื่นตั๋วเงินที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกไป “หากคุณหนูไม่มีเงิน เช่นนั้นก็เอาเงินนี้ไปใช้ก่อนเถิด ส่วนเรื่องวางเดิมพันอะไรนั่น….ข้าไม่ขอเข้าร่วมด้วยดีกว่า”

หากดวงตาของเหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วไม่ดีขึ้น หลังจากชื่อเสียงของนางถูกทำลายจนป่นปี้แล้ว อย่างน้อยๆ นางก็ยังมีทรัพย์สินบางส่วนเหลือติดตัวไว้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ขอบังคับเซียนกูแล้วกัน เซียนกูมิสู้ให้ข้ายืมเพิ่มอีกสักสองร้อยตำลึงเป็นอย่างไร”

“อะไรนะ” หลิวเซียนกูตกตะลึงไปชั่วขณะ

ในที่สุดดวงตาที่เหมือนบ่อน้ำลึกของหญิงสาวก็ทำให้นางยอมประนีประนอม นางกัดฟันดึงเหอเปาออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดออก จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินสองใบแล้วยื่นให้กับเด็กสาวด้วยความปวดใจ

เจียงซื่อรับมันมาอย่างไม่เกรงใจ ยิ้มสดใสให้นาง

เจียงซื่อรู้จักคนประเภทหลิวเซียนกูดี คนจำพวกนี้เป็นประเภทที่หากไม่พกเงินจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วยทุกที่ที่นางไป ก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัยและคิดว่าชีวิตไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก

“เซียนกูวางใจได้เลย รอข้าได้ทุนคืนเมื่อไหร่ข้าจะเอาเงินต้นมาคืนให้ทันที”

หลิวเซียนกูหลับตาลง คิดลังเลกับตัวเองว่าสมควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ว่าไม่ต้องคืนเงินแล้ว แต่แล้วนางก็เลือกพยักหน้าเพียงอย่างเดียว พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแห้งสนิทว่า “ข้ากลับก่อนล่ะ สาวรับใช้สองคนนั้นคงใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว”

“เซียนกูกลับดีๆ นะเจ้าคะ”

หลังจากนั้นไม่นาน อาหมานก็เดินกลับเข้ามา ก้มกระซิบที่ข้างหูเจียงซื่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หลิวเซียนกูกลับไปแล้วเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว”

กลิ่นธูปหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหลิวเซียนกูยังวนเวียนอยู่ไม่ไกล นั่นหมายความว่านางยอมกลับไปที่ห้องข้างๆ แต่โดยดี

“คุณหนู หลิวเซียนกูทำเรื่องเหลวไหลมากขนาดนี้ คุณหนูจะยอมมอบทั้งชื่อเสียงและโชคลาภให้กับนางจริงๆ หรือ”

เจียงซื่อยิ้ม นางยืนขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง “ชื่อเสียงและโชคลาภแล้วอย่างไรเล่า คนชั่วย่อมมีบทสรุปของคนชั่ว เจ้ารอดูด้วยตาของตัวเองเถอะ”

อาหมานเกาศีรษะของตัวเอง

นางไม่เชื่อคำพูดที่ว่าเทพเจ้าทรงจับจ้องคนเลวทุกคนหรอก แต่นางเชื่อคุณหนูของนาง

“ไปเถอะ ไปที่โรงน้ำชาเทียนเซียงกัน”

ห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาเทียนเซียงถูกพวกนางจองไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว คนที่เจียงซื่อต้องการจะพบปะในวันนี้ก็มารอได้พักหนึ่งแล้วเช่นกัน

เห็นเจียงซื่อเดินเข้ามาพร้อมกับอาหมาน ชายหนุ่มคนนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที

เจียงซื่อถอดหมวกเหวยเม่าออก วางมันลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจกิริยานัก

ชายหนุ่มรีบก้มศีรษะลงต่ำ ถามออกไปว่า “คุณหนูให้คนไปเรียกข้ามา มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ”

เขาลืมภาพเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกับเด็กสาวที่ราวกับถูกส่งมาจากสวรรค์คนนี้ไม่ได้เลย เพราะลืมตัวเผลอจ้องมองนางขณะที่แต่งกายเป็นชายออกมาข้างนอก จนเกือบถูกสาวรับใช้นิสัยเสียในชุดบุรุษที่ตามมาด้วยกันตีตาย

ชายหนุ่มคนนี้ก็คืออาเฟย นักเลงข้างถนนในวันนั้นที่ถูกอาหมานใช้ปิ่นแทงนั่นเอง

“เรื่องก่อนหน้านี้ เจ้าทำได้ดีมาก” เจียงซื่อชมเชยออกมาเบาๆ

ครอบครัวของท่านอารองต้องการเก็บเนื้อเน่าลงหม้อ[1] นางจะปล่อยให้พวกเขาสมปรารถนาได้อย่างไร ก็เลยสั่งให้อาเฟยไปปล่อยข่าวซุบซิบ ซึ่งเขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมมากไม่ทำให้ผิดหวังเลย

ผู้คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนแต่มีฐานะค่อนข้างดี สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่ที่เหมาะแก่การปล่อยข่าวซุบซิบนินทาเป็นที่สุด ข่าวที่ปล่อยออกไปก็แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟลามทุ่ง

“ข้าน้อยมิกล้ารับคำชมคุณหนูหรอกขอรับ” อาเฟยเงยหน้าขึ้นมองเจียงซื่อครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วรีบหลุบตาลงไป

เมื่อเทียบกับความงามไร้ที่ติของนางแล้ว ชีวิตน้อยๆ นี้มีความสำคัญกว่ามาก

เขาก็แค่เผลอไปพูดจาแทะโลมใส่เด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งด้วยความคึกคะนองชั่วครู่ ไม่คิดเลยว่าจะลงเอยด้วยการต้องมาเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่นเช่นนี้

“ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าไปทำ” เจียงซื่อหันไปพยักหน้าให้กับอาหมาน

อาหมานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นเหอเปาที่ดูธรรมดาส่งให้เขา “รับไปสิ”

อาเฟยยื่นมือออกมารับ แต่อาหมานไม่ยอมปล่อยมือเสียที

อาเฟยเหลือบมองเจียงซื่อแวบหนึ่งอย่างขอความเห็น จากนั้นก็ตัดสินใจเพิ่มแรงในมือของเขา

นี่มันอะไรกัน เมื่อสักครู่ คุณหนูส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าให้ส่งมันให้ข้ามิใช่หรือ หรือว่าข้าเข้าใจผิดไปเอง

“อาหมาน…” เจียงซื่อดุนางด้วยน้ำเสียงจนใจ

อาหมานถึงยอมปล่อยมือลงในที่สุด แต่ก็ยังมิวายข่มขู่ไปว่า “ถ้าเจ้ากล้าทำหายล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้า!”

คุณหนูใจเด็ดเกินไปแล้ว นางกล้าให้เงินจำนวนมากเช่นนี้กับไอ้อันธพาลนี่ได้อย่างไร

“เปิดดูข้างในสิ”

อาเฟยก้มหน้าลงและเปิดเหอเปาออกตามที่อีกฝ่ายสั่ง และเมื่อเขาได้เห็นตั๋วเงินที่อยู่ข้างใน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “คุณหนู นี่…”

“เจ้าเอาเงินพวกนี้ไปซื้อตั๋วพนัน ลงฝั่งดวงตาของเหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วจะดีขึ้น”

ริมฝีปากของอาเฟยขาวซีด “นี่ นี่…”

คุณหนูใจกล้าเกินไปหน่อยหรือไม่ นางกล้าให้เงินจำนวนมากเช่นนี้กับเขา ไม่กลัวเขาเชิดเงินแล้วหลบหนีไปเลยรึ

[1] เก็บเนื้อเน่าลงหม้อ อุปมาว่าเก็บผลประโยชน์ทุกอย่างไว้เอง ไม่ปล่อยให้บุคคลภายนอกได้ไป