ตอนที่ 46 การค้า

“อะไรนะ!” หลิวเซียนกูเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทนรับการจู่โจมเช่นนี้ไม่ไหว

ร่างมีอายุนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าขาวซีด มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมหน้าอกไว้แน่น

ท่าไม่ดีแล้ว!

เดิมทีนางยังคิดอยู่ว่าหากดวงตาของเหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วไม่ดีขึ้นภายในสามวัน นางจะหาข้ออ้างอื่นมาบิดเบือนอำพรางเรื่องนี้ไป ทว่าตอนนี้แม้แต่โรงรับพนันในเมืองหลวงก็ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเดิมพันกันแล้ว คิดจะอาศัยฝีปากเพียงเล็กน้อยพูดกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปให้พ้นๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นที่จับจ้องของสาธารณชน นี่มันยากเสียยิ่งกว่าการปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก

แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีเล่า…หากนางเอาเรื่องนี้ไม่อยู่ มีหวังพฤติกรรมจับปลาน้ำขุ่น[1] ที่นางเคยทำมาในอดีตจะต้องถูกขุดมาประจานแน่

เหล่าผู้คนในราชวงศ์โจวต่างก็แห่แหนมาลงเดิมพันกันอย่างคับคั่ง ทรัพย์สินที่ใช้เดิมพันมีตั้งแต่เงินพวงเล็กๆ ลามไปจนถึงรถม้าและจวนหลังใหญ่ เรียกได้ว่าตราบใดที่พวกเขาสามารถนำมันมาแลกเป็นตั๋วพนันได้ พวกเขาก็พร้อมและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะซื้อมัน!

หลิวเซียนกูจินตนาการถึงบรรยากาศคึกคักและความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นจากพิธีกรรมของนางในเมืองหลวงตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ได้เลย

ไม่ได้การแล้ว นางอยู่ที่จวนตงผิงปั๋วแห่งนี้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว ขืนนางอยู่ต่อมีหวังได้จบสิ้นแน่

หลิวเซียนกูมีความคิดที่จะหลบหนีออกจากเมืองหลวงไปให้ไกลแสนไกล โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางสั่งให้ลูกศิษย์ไปรายงานกับเซียวซื่อว่านางจะขอออกไปข้างนอกชั่วครู่

เซียวซื่อยังไม่ทันได้สติจากเรื่องที่สาวรับใช้นำมารายงานดี เมื่อได้ยินคำขอของหญิงสาว นางก็ปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล

ลูกศิษย์กลับมารายงานให้หลิวเซียนกูทราบ หลังจากที่หลิวเซียนกูได้ยิน นางก็ตัดสินใจว่าจะไปหาเซียวซื่อด้วยตนเอง

“เอ้อร์ไท่ไท่เพิ่งเป็นลมหมดสติไปเมื่อสักครู่นี้เองเจ้าค่ะ เวลานี้คงกำลังเวียนหัวอยู่ เพิ่งจะเอนตัวลงนอนพักผ่อนไป หากเซียนกูท่านมีธุระอันใดอีกประเดี๋ยวท่านค่อยกลับมาใหม่เถิด” เป็นสาวรับใช้ใหญ่ของเซียวซื่อที่ออกมารับหน้าหลิวเซียนกูเอาไว้

“ไม่เป็นไร ให้ไท่ไท่พักผ่อนไปเถิด ข้าไปพูดกับเหล่าฮูหยินก็ได้เหมือนกัน” หลิวเซียนกูพูดด้วยสีหน้านิ่งสงบ เห็นได้ชัดว่าการปฏิเสธถึงสองครั้งสองคราของเซียวซื่อก็ไม่ทำให้นางแสดงท่าทีขุ่นเคืองไม่พอใจออกมา

แค่กๆๆ เสียงไอเบาๆ ดังส่งมาจากด้านใน “เชิญเซียนกูเข้ามาเถิด”

หลิวเซียนกูเดินเข้าไปข้างในห้องอย่างสุขุม

เซียวซื่อลุกขึ้นนั่งด้วยความช่วยเหลือจากสาวรับใช้ หลังจากพลิกหมอนหกสีขึ้นตั้ง นางก็พิงหลังไปกับหัวเตียง รับหน้าหลิวเซียนกูที่เดินเข้ามาด้วยสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน

“ไม่ทราบว่าเซียนกูมีธุระด่วนอันใดหรือถึงขนาดต้องไปพูดกับเหล่าฮูหยินด้วยตนเอง” เซียวซื่อเผชิญหน้ากับหลิวเซียนกูด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

ถ้าเป็นไปได้ นางก็แทบอยากจะฆ่านังแม่หมอนี่เสียเดี๋ยวนี้!

นางได้ส่งคนติดต่อพี่สะใภ้ครอบครัวฝั่งมารดาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางไม่เชื่อหรอกว่านังแม่หมอนี่จะสามารถแสดงอภินิหารอะไรได้จริงๆ… ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่แต่ก่อนนางไม่เคยทำพิธีปัดเป่าสิ่งอัปมงคลให้กับคนอื่นพลาดเลย

นางแทบอดใจรอวันเปิดโปงอีกฝ่ายไม่ไหว!

“ข้าจะออกไปซื้อกระดาษยันต์ หลังจากบริกรรมคาถาและทำพิธีเสร็จแล้ว จะได้เผายันต์ลงในน้ำให้เหล่าฮูหยินดื่ม” หลิวเซียนกูกล่าวเสียงเรียบ

อย่างไรก็ตาม นางได้ทำเรื่องฉีกหน้าอีกฝ่ายไปแล้ว จะต้องรั้งคนที่แสร้งทำตัวสูงส่งลึกลับคนนี้ไว้ให้ได้ก่อน จะให้นางสะบัดก้นวิ่งหนีไปไม่ได้เป็นอันขาด

“แค่ซื้อกระดาษยันต์ เซียนกูท่านสั่งลูกศิษย์ให้ไปซื้อก็ได้แล้วนี่”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร! ทั้งผิวของกระดาษยันต์ สีของชาด ทุกอย่างล้วนมีจุดแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย และจุดแตกต่างเล็กน้อยนี่ล่ะ ที่จะส่งผลต่อคาถาได้ใหญ่หลวงนัก ดีไม่ดีอาจถึงขั้นทำให้ดวงตาของเหล่าฮูหยินรักษาหายได้ช้าลง ข้าไม่อาจประมาทได้ จึงต้องออกไปเลือกซื้อด้วยตนเอง” หลิวเซียนกูกะพริบตากล่าวอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็หรี่ตามองเซียวซื่ออย่างมีความหมาย “ฮูหยินเองก็คงหวังว่าดวงตาของตนจะหายกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววันกระมัง”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” เซียวซื่อสะอึก แต่พอได้สตินางก็มองผ่านไปยังด้านหลังของหลิวเซียนกู รีบสั่งการลงไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จัดคนไปช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เซียนกูเพิ่มอีกสักสองคนเถิด”

“เจ้าค่ะ”

หลิวเซียนกูยิ้มรับ แต่ในใจของนางกลับบริภาษสาปแช่งเซียวซื่อ “กระดาษยันต์ ชาดและของอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งของน้ำหนักเบา ไม่จำเป็นต้องใช้คนมากถึงเพียงนั้นหรอก”

เซียวซื่อพูดกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ปัญหาเรื่องดวงตาของเหล่าฮูหยินล้วนต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้บนตัวเซียนกู ดังนั้น ความปลอดภัยของท่านข้าย่อมพึงคำนึงถึงอย่างถี่ถ้วน”

หลิวเซียนกูมุมปากกระตุก ไม่พูดอะไรอีก

คิดถึงเมื่อปีนั้นที่นางหลบหนีไปหลังจากการทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายไม่สำเร็จและถูกเปิดโปง ก็อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ได้ กับมืออาชีพที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างนาง วิชาจักจั่นลอกคราบของนางเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่อาจดูถูกได้เลย

หลิวเซียนกูพาลูกศิษย์ออกจากประตูจวนตงผิงปั๋ว ไม่สนใจสาวรับใช้เจ้าเนื้อสองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังสักนิด แล้วนางก็มุ่งตรงไปยังร้านประจำทันที

ร้านค้าแห่งนี้เป็นอาคารสองชั้นที่หันหน้าเข้าหาถนน มีคำว่า ‘ตาน’ ซึ่งมีความหมายว่าแดงชาดขนาดใหญ่เขียนติดไว้บนธงขาวที่โบกสะบัดไปมาตามสายลม

“ไอ้หยา นั่นเซียนกูไม่ใช่รึ” พนักงานชายวิ่งเข้ามาทักทายด้วยน้ำเสียงสนิทสนม

“เหมือนเดิม” หลิวเซียนกูกล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“ไม่มีปัญหา เชิญเซียนกูขึ้นไปที่ชั้นบนได้เลยขอรับ” พนักงานชายพาหลิวเซียนกูและคนอื่นๆ ขึ้นไปยังชั้นสอง ตาเหลือบมองสองสตรีที่ตามหลังมาด้วยความสงสัยใคร่รู้

หลิวเซียนกูเป็นลูกค้าเก่าของพวกเขา ปกตินางจะพาลูกศิษย์มา แต่กับสตรีสองนางนี้ช่างแปลกหน้าเหลือเกิน

จริงสิ สองคนนี้จะต้องเป็นคนของจวนตงผิงปั๋วแน่ๆ!

เรื่องตลกชวนขบขันของจวนตงผิงปั๋วที่ฮูหยินเรือนรองเชิญหลิวเซียนกูไปทำพิธีขับไล่สิ่งอัปมงคลที่จวนให้ แต่สุดท้ายกลับไล่บุตรีแท้ๆ ของตัวเองออกไป ได้กลายเป็นเรื่องขบขันที่แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง จนถึงบัดนี้แล้วผู้คนก็ยังจับกลุ่มหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมานินทากันสนุกปาก

“เซียนกู ดวงตาของเหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วจะดีขึ้นหรือไม่ขอรับ” พนักงานชายคนนั้นหันซ้ายหันขวา แล้วถามนางด้วยเสียงต่ำ

หลิวเซียนกูเหล่มองเขาแวบหนึ่ง พูดด้วยท่าทีสำรวมและสงบเสงี่ยมว่า “เจ้ากล้าสงสัยความสามารถของเซียนกูอย่างข้าเชียวหรือ”

พนักงานชายคนนั้นรีบยิ้มประจบทันที “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ได้ยินคำพูดนี้ของท่านข้าก็วางใจแล้ว ไม่ขอปิดบังท่าน อันที่จริง ข้าน้อยลงเดิมพันข้างท่านว่าจะสามารถรักษาดวงตาของเหล่าฮูหยินให้หายได้ ลงไปตั้งสิบเหรียญทองแดงเชียวนะขอรับ”

“สิบเหรียญทองแดงหรือ” หลิวเซียนกูขมวดคิ้ว

ศักดิ์ศรีของนางหลิวเซียนกู มีค่าแค่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้นเองหรือ

“เหอะๆ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปลงเพิ่มอีกสักหนึ่งหรือสองตำลึง ตราบใดที่ดวงตาของเหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วรักษาหาย เท่านี้ข้าน้อยก็ได้คืนห้าเท่าแล้ว!”

“อัตราต่อรองคือ…”

“หนึ่งจ่ายห้าขอรับ” พนักงานชายคนนั้นคล้ายจะตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองผิดพลาดไป จึงยิ้มแป้นแล้วเปลี่ยนเรื่องไปว่า “เชิญเซียนกูรีบตามมาทางนี้เถิดขอรับ”

หลิวเซียนกูเดินตามเขาไปด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

อัตราต่อรองแค่หนึ่งต่อห้า…ช่างเป็นความอัปยศยิ่งนัก!

โชคดีที่นางกำลังจะออกจากเมืองหลวงแล้ว พวกเจ้าอยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเถอะ

พนักงานชายรีบนำเสนอกระดาษยันต์ ชาด และสิ่งของอื่นๆ อย่างกระตือรือร้น “เซียนกูค่อยๆ เลือกไปนะขอรับ หากท่านต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สั่งลูกศิษย์ของท่านให้ไปเรียกข้าน้อยได้เลย”

เมื่อประตูถูกปิดลง อุณหภูมิในห้องก็คล้ายจะสูงขึ้นอย่างกะทันหัน

หลิวเซียนกูเมินสาวรับใช้ทั้งสองคนอย่างสิ้นเชิง จดจ่ออยู่แต่กับการเลือกกระดาษยันต์ตรงหน้า

สาวรับใช้สองคนได้รับคำสั่งจากเซียวซื่อมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าให้จับตาดูหลิวเซียนกูทุกฝีก้าว แต่ขณะที่พวกนางกำลังจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย จู่ๆ เปลือกตาของพวกนางก็เริ่มหนักอึ้งขึ้น จนกระทั่งทั้งคู่ผล็อยหลับไปในเวลาหนึ่งเค่อต่อมา

หลิวเซียนกูทิ้งของลงบนโต๊ะ หยัดกายขึ้นแล้วเดินเข้าไปกระซิบบอกลูกศิษย์เสียงแผ่วเบา “ข้าจะหนีออกไปทางห้องน้ำฝั่งทิศตะวันออกก่อน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ก่อนสักหนึ่งเค่อแล้วค่อยตามข้าลงไป นัดพบกันที่จุดเดิม เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”

ลูกศิษย์พยักหน้าซ้ำๆ

หลิวเซียนกูเหลือบมองสาวรับใช้สองนางที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย้ยหยัน นางแสยะยิ้มมุมปากอย่างหยิ่งยโส ก่อนจะก้าวออกจากประตูอย่างสง่างามเพื่อจากไป

สุดทางเดินของชั้นนี้ก็คือที่ตั้งของห้องน้ำที่ว่า

“หลิวเซียนกู นั่นท่านกำลังรีบร้อนไปไหนหรือ” บานประตูของห้องถัดไปถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน และเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มที่มีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ก็เอ่ยปากถามขึ้น

หลิวเซียนกูชะงักกึกเมื่อมองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชัดๆ สีหน้าของนางบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจระงับได้

ที่แท้ก็เป็นอาหมานสาวรับใช้ของยัยเด็กปีศาจนั่น!

แต่แทนที่นางจะหยุด หลิวเซียนกูกลับเร่งฝีเท้าของนางให้เร็วขึ้นกว่าเก่า

อาหมานถอดรองเท้า จากนั้นก็ขว้างใส่หัวอีกฝ่ายจากด้านหลังอย่างแม่นยำ

รองเท้าส้นเตี้ยบินออกไปกระทบศีรษะของหลิวเซียนกูดัง ปึก ร่างกายของหลิวเซียนกูสะท้านก่อนจะโงนเงนแล้วล้มลงไปเพราะภาพตรงหน้าดับวูบไปชั่วครู่ เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตระหนักได้ว่าอาหมานได้มายืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว

“หากเซียนกูอยากจะเข้าห้องน้ำ เห็นทีท่านคงต้องกลั้นไว้ก่อนสักพัก คุณหนูของพวกเรากำลังรอท่านอยู่ข้างในเจ้าค่ะ” อาหมานสวมรองเท้ากลับเข้าที่เดิมแล้วชี้ไปที่ประตู

หลิวเซียนกูลากสังขารเดินตามไปอย่างยอมรับในชะตากรรม และเมื่อนางเดินเข้ามาในห้อง ก็เห็นเด็กสาวผู้มีวงหน้าแฉล้มงดงามกำลังนั่งส่งยิ้มมาให้จากริมหน้าต่าง สีหน้าท่าทางราวกับเมื่อตอนครั้งแรกที่พบกันที่โรงน้ำชาเทียนเซียงไม่ผิดเพี้ยน

หลิวเซียนกูอดไม่ได้ที่จะเนื้อตัวสั่นเทา

ครั้งแรกที่เจอนังเด็กปีศาจนี่ ก็โดนอีกฝ่ายหลอกขึ้นเรือโจร[2] คราวนี้นางคิดจะทำอะไรอีก

“เซียนกูนี่ท่าน…กำลังคิดจะหนีออกจากเมืองหลวงหรือ” ดวงตาสีเข้มของเด็กสาวแพรวพราว นางยิ้มพูดกับหลิวเซียนกูราวกับว่าทั้งคู่เป็นสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานแสนนาน

หลิวเซียนกูปัดโถที่อยู่วางอยู่ใกล้มือลงพื้นจนแตกกระจาย หย่อนก้นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเจียงซื่อ ขึ้นเสียงถามไปอย่างอดไม่อยู่ว่า “คุณหนูยังต้องการอะไรจากข้าอีก”

“ก็แค่การค้าเล็กน้อย ข้าคิดว่าพวกเราสามารถร่วมมือกันได้”

สัญชาตญาณของหลิวเซียนกูร้องเตือนด้วยความระวังทันที นางมองไปที่เจียงซื่ออย่างหวาดระแวง คิดในใจว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“เซียนกูไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป แค่นั่งลงและพูดคุยเรื่องการค้ากับข้าอย่างเป็นกันเองก็พอ แต่จะว่าไปแล้ว…การค้าที่ข้ากำลังพูดถึงอยู่นี้ก็เกี่ยวข้องกับท่านอย่างใกล้ชิดทีเดียว”

หลิวเซียนกู “…”

จบสิ้นแล้ว! นางรู้สึกประหม่ามากขึ้นกว่าเดิมอีก จะทำอย่างไรดี!

[1] จับปลาน้ำขุ่น เปรียบว่าฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน

[2] ขึ้นเรือโจร หมายถึงถูกหลอกล่อให้ร่วมทำความชั่วด้วย อุปมาว่ามีส่วนร่วมในงาน (มีความหมายในทางที่ไม่ดี)