ตอนที่ 62 การแข่งขันทักษะทางการแพทย์
หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย ปาอินที่ทั้งตัวเล็กและน่ารักก็วิ่งไปหามู่เถาเยาและพูดว่า “เสี่ยวเยาเยา เราไปทานอาหารเย็นด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะ ฉันจะไปกินข้าวบ้านศิษย์พี่ใหญ่” อาจารย์แม่บอกว่าทำเมนูเนื้อตุ๋น ขาหมูตงพัว และไก่เผ็ดไว้ให้เธอด้วย
เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้กินเนื้อมากแค่ไหนน้ำหนักก็ไม่ขึ้น
“ตกลง อย่าลืมชาร์จแบตโทรศัพท์เมื่อเธอกลับไปล่ะ ฉันจะได้เล่นเกมกับเธอ”
ปาอินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
ที่จริงเธออยากจะบอกว่าเธอเองก็อยากไปขอกินข้าวด้วย แต่พวกเธอเพิ่งพบหน้ากันไม่นาน
“โอเค”
มู่เถาเยาบอกลาเพื่อนร่วมชั้นปีแล้วออกจากห้องเรียนเป็นคนแรก
เฉิงอันนั่วกำลังรอเธออยู่ที่ลานจอดรถ
“อาจารย์อาเล็ก เมื่อไหร่จะสอบวิชาแรกครับ”
“พรุ่งนี้”
“งั้นผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง นายไปเรียนเถอะ”
“…ก็ได้ คือว่า…”
“หืม”
“คนตระกูลเย่ว์มาตามหาคุณหรือเปล่า” พี่ชายของเธอคงอยากบอกกับตระกูลอย่างมากหลังจากที่กลับไป ก็พวกเขาตามหาเธอมาตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา!
มู่เถาเยาตกใจ “โทรศัพท์ของฉันแบตหมด ฉันเลยไม่รู้”
“…หมายถึงอาจารย์อาเล็กไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าพวกเขาจริงๆ ใช่ไหม”
มู่เถาเยา “ไม่นะ” เธอไม่ได้คิดมากขนาดนั้นจริงๆ
เฉิงอันนั่วรู้สึกว่าตระกูลเย่ว์คงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้ว แต่พวกเขาไม่กล้าถาม กลัวว่าอาจารย์อาเล็กจะปฏิเสธพวกเขา และคิดว่าเธอจงใจปิดโทรศัพท์ซ่อนตัวจากพวกเขา
“อาจารย์อาเล็ก มีนักศึกษาใหม่ในชั้นเรียนของคุณหรือไม่”
“นายสนใจชั้นเรียนของเราจริงๆ นะ?” มู่เถาเยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ผมไปหาอาจารย์ปู่เล็กเพื่อทำธุระบางอย่าง เลยเพิ่งได้ยินเรื่องที่คุณมีเพื่อนร่วมชั้นปีคนใหม่เพิ่มเข้ามา เห็นว่าเธอเจาะจงอยากไปเรียนกับคุณ”
มู่เถาเยา “…เธอตั้งใจมาเรียนชั้นเรียนของพวกเราเลยเหรอ”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นพี่ชายของเธอน่ะ…ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่ชายของเธอหรือเปล่า เขาบอกว่าอยากให้เธอไปเรียนร่วมกับนักศึกษาใหม่ๆ เธอจะได้ไม่รู้สึกแปลกแยกเกินไป”
“มีนักศึกษาใหม่ที่เข้ากลางคันแบบนี้บ่อยไหม”
“อาจารย์อาเล็ก มหาวิทยาลัยเราเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นที่ต้องการของนักศึกษาแพทย์มากที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่เรามีนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากเท่านั้น ยังมีนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนและศึกษาทุกปี แต่ตามปกติแล้วพวกเขาจะไม่เข้าเรียนในภาคการศึกษาที่สองแบบนี้”
มู่เถาเยาคิดถึงเรื่องของเธอกับปาอิน แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
ลืมไปเถอะ ในเมื่ออาจารย์อาเล็กเป็นคนจัดการ ก็คงจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับตระกูลใดสักตระกูล
เธอไม่สนใจความสัมพันธ์ของมนุษย์เลย ดังนั้นจึงเลิกคิดเรื่องนี้ไป
โดยรวมแล้วเธอไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายของปาอินแต่อย่างใด
“อาจารย์อาเล็ก ครึ่งปีหลังผมก็จะตระเวนไปศึกษาการแพทย์ชั้นสูงที่ต่างประเทศแล้ว”
“อืม ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ จำไว้ว่าต้องพัฒนาตัวเองในทุกวัน” ผู้เฒ่าทุกคนในหมู่บ้านบอกลูกหลานแบบนี้
ตัวอย่างเช่น ตระกูลของผู้ใหญ่บ้านจะพูดแบบนี้ทุกครั้งที่พวกเขาส่งมู่หว่านและมู่เหิง พี่ชายของมู่หว่านไปโรงเรียน
เฉิงอันนั่ว “…”
เขามีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กทารกสำหรับอาจารย์อาเล็ก!
อาจารย์อาเล็กมีลำดับอาวุโสสูงและเด็กในหมู่บ้านก็เรียกเธอว่าย่าเยาเยา คุณคงไม่ได้คิดว่าตัวเองแก่จริงๆ เพราะเหตุนี้หรอกใช่ไหม
ในเวลานี้ เฉิงอันนั่วตระหนักอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมอาจารย์ปู่และคุณปู่ซย่าโหวถึงอยากส่งอาจารย์อาเล็กออกมาเรียนกับเพื่อนในวัยเดียวกันขนาดนั้น
สองศิษย์อาหลานกลับมาที่บ้านตระกูลเฉิง หลี่อวี้เสวี่ยและเฉิงหรานก็เพิ่งออกมาจากครัวพร้อมกับอาหารจานร้อนแสนอร่อย
กลิ่นหอมของอาหารลอยอบอวลไปทั้งห้อง ทันใดนั้นทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของภาพการหุงหาอาหารในโลกมนุษย์
“เสี่ยวเยาเยา ยังมีกับข้าวอีกจานหนึ่งอยู่ในหม้อ เธอไปล้างมือก่อน อีกเดี๋ยวก็กินข้าวกันได้แล้ว”
“ตกลงค่ะ”
ที่โต๊ะอาหารค่ำ ในตระกูลเฉิงไม่มีกฎห้ามพูดคุยกันขณะรับประทานอาหารหรือนอนหลับ และมู่เถาเยาเองก็คุ้นเคยกับวัฒนธรรมโต๊ะอาหารค่ำของหมู่บ้านเถาหยวนซานและประเทศเหยียนหวงแล้ว ดังนั้นเธอจึงร่วมพูดคุยขณะรับประทานอาหาร
“เสี่ยวเยาเยา อาจารย์อาเล็กบอกเธอหรือเปล่าว่าการแข่งขันทักษะทางการแพทย์ของโลกทุกๆ ห้าปีกำลังจะมาถึงในไม่ช้า”
“ยังไม่ได้พูดค่ะ แต่ฉันรู้” เธอติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการแพทย์มาโดยตลอด
“อาจารย์อาเล็กไม่ได้ขอให้เธอเข้าร่วมเหรอ” อัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่เก่งกาจขนาดนี้ไม่คิดใช้งานเลยเหรอ
เพียงส่งตัวศิษย์น้องหญิงเล็กออกไป ประเทศเหยียนหวงคงได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย!
ศิษย์พี่ใหญ่เฉิงหรานมั่นใจมาก!
“ไม่ค่ะ” อาจารย์อาเล็กน่าจะรู้ว่าเธอไม่ชอบงานรื่นเริงเหล่านั้น
แต่เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงส่วนรวม เธอจึงกังวลอยู่ไม่มากก็น้อย
เมื่อผลการแข่งขันภายในประเทศออกมา เธอค่อยถามอาจารย์อาเล็กอีกครั้งว่าตัวแทนรุ่นเยาว์ของประเทศเหยียนหวงที่ส่งเข้าแข่งขันมาจากสำนักไหนและมีใครบ้าง
การแข่งขันครั้งก่อนจัดขึ้นโดยหนึ่งในประเทศที่มีวิทยาการทางการแพทย์พัฒนามากที่สุด ครั้งนี้ประเทศเหยียนหวงเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน และสถานที่ที่ใช้จัดก็คือมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูนี่เอง
ดังนั้นทุกวันนี้อาจารย์อาเล็กของเธอจึงยุ่งอยู่กับการรับนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนแพทย์หลายแห่งในประเทศเหยียนหวงเข้ามา
แพทย์และอาจารย์ระดับแนวหน้าของประเทศได้มารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูทีละคน พวกเขาจำเป็นต้องคัดเลือกนักศึกษาห้าคนที่มีคุณสมบัติดีที่สุดเข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่นี้
เฉิงหรานอธิบายให้มู่เถาเยาทราบเกี่ยวกับกฎการแข่งขันในสี่ครั้งสุดท้าย รวมถึงประเทศที่ชนะ ฯลฯ
“…เพราะฉะนั้น นับตั้งแต่อดีตประเทศเหยียนหวงของเราก็มีชัยไปกว่าครึ่งในฐานะผู้นำ นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูของเราเป็นหอเกียรติยศที่ดึงดูดความสนใจของแพทย์ทั่วโลก”
มู่เถาเยาพยักหน้า
เธอเช็กทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดถึงบนอินเทอร์เน็ต
ไม่ว่าเธอจะเป็นจักรพรรดินีมู่เถาเยาหรือศิษย์คนสุดท้ายของสำนักของหมอเทวดาหยวน ความรักชาติและความรักที่มีต่อการแพทย์ของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าหน้าตาของเธอจะเฉยเมยไม่เข้ากับคน แต่ศิษย์น้องหญิงเล็กของเขาก็กระตือรือร้นและใจดีมาก
“ถึงตอนนั้นฉันจะไปดูการแข่งขันเล็กๆ ของพวกเขา”
ในประเทศ นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันที่สำคัญจะได้รับการคัดเลือกผ่านการแข่งขันย่อยๆ
“เสี่ยวเยาเยา ในเมื่ออาจารย์อาเล็กของเราไม่พูดอะไร ดังนั้นฉันเดาว่าเขาคงต้องหาต้นอ่อนพบแล้ว เธอลองไปดูก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกัน” บางทีพวกเขาอาจไม่ต้องให้ศิษย์น้องหญิงเล็กลงมือจริงๆ
“อืม ประเทศกว้างใหญ่ของเราเต็มไปด้วยคนมีความสามารถ”
หลี่อวี้เสวี่ยยกตะเกียบของเธอและคีบขาหมูตงพัวให้มู่เถาเยาพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเยาเยา มาที่นี่ไม่บ่อย กินข้าวกันก่อนเถอะ”
มู่เถาเยา “…”
สามารถอธิบายได้ว่า ‘มาที่นี่ไม่บ่อย’ ในบริบทของเธอคือมากินข้าวที่นี่อย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์นะ
ไม่เพียงแค่นั้น บางครั้งตระกูลเฉิงทั้งสามยังไปทำอาหารและทานอาหารด้วยกันที่บ้านของเธอ
ตั้งแต่เธอมาถึงเมืองเย่ว์ตู เธอกินข้าวคนเดียวแทบจะนับครั้งได้!
ศิษย์พี่หญิงห้าชิงหลินและศิษย์พี่หกเว่ยฉางหย่วนซึ่งทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองเย่ว์ตูก็มักจะมาหาชวนเธอกินข้าวเย็น เช่นเดียวกับตระกูลตี้ เพื่อนร่วมชั้นปีของเธอ ตระกูลเสิ่น ตระกูลลั่ว ตระกูลซัง และตระกูลหง…
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตอบรับคำเชิญไปที่บ้านของพวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาทั้งสี่ก็มักจะรวมพลังกันแล้วใช้ก้อนซาลาเปาน้อยๆ ทั้งสี่ลูกมาคะยั้นคะยอให้เธอไปจนได้…จึงยากมากสำหรับเธอที่จะต้านทานการโจมตีของลูกเจี๊ยบอ้วนหลายตัวนั้น
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอปฏิเสธคนไม่เก่ง โดยเฉพาะเด็กๆ
อาจเป็นสาเหตุมาจากการที่เธอเลี้ยงดูอนุชาเยี่ยนหังมาด้วยมือของเธอเองละมั้ง ทำให้เธอมีความอดทนอดกลั้นต่อเด็กๆ เป็นพิเศษเสมอ
มู่เถาเยานึกถึงลูกเจี๊ยบตัวอ้วนๆ สองสามตัว อดคิดถึงเสี่ยวเหยียนเหยียนเจ้าตัวน้อยที่อายุเพียงหกเดือนไม่ได้
เหยียนจื่อเย่า พ่อของเขาเป็นนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง แม้ว่าเขาจะไม่เปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน และเขาก็ไม่กล้าเชิญมู่เถาเยาไปทานอาหารเย็น จึงมักจะส่งคำทักทายมาทางวีแชทเสมอๆ
สิ่งที่บังเอิญคือทุกครั้งที่เขาส่งข้อความ ข้อความจากอ้ายโยวแม่ของเหยียนเหยียนก็จะตามมาด้วย
ถ้าเธอไม่รู้ว่าในสองคนนี้ คนหนึ่งอยู่ในเย่ว์ตู ส่วนอีกคนอยู่ที่เจียงตู เธอคงคิดว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกัน
เรื่องบังเอิญที่มากมายนี้เกือบทำให้เธออดใจไม่อยู่หลุดปากพูดกับเหยียนจื่อเย่าหลายครั้ง
สามีภรรยาคู่นี้ ต้องเป็นคู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตให้คู่กันอย่างแน่นอน