บทที่ 53 การแสดงของฝ่าบาท

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็มองมาทางเขา ขันทีซุนก็รู้สึกราวกับหลังของเขามีหนามแหลมทิ่มแทง จิ้งอู๋วั่งคนนี้จะพูดถึงเรื่องการคัดเลือกพระชายาตอนไหนก็ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะพูดในเวลานี้  

 

 

หากเจ้ายังคงพูดต่อไปเช่นนี้ องค์ชายสามอาจจะเข้าใจผิดได้ว่าชายาที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยนั้น มาจากการใช้เส้นสายของคนที่ให้ผลประโยชน์เขา  

 

 

เมื่อขันทีซุนนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ เขาก็รีบหันไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันที พร้อมกับส่งสายตาเพื่อแสดงความมุ่งมั่น ฝ่าบาท พระองค์จะต้องเชื่อมั่นในตัวกระหม่อม กระหม่อมภักดีต่อฝ่าบาทโดยไม่มีเจตนาอื่นใดจริงๆ และจะขอติดตามฝ่าบาทไปจนตาย ข้าไม่เคยได้รับผลประโยชน์… แค่ก แม้ว่าบางที ข้าจะได้รับผลประโยชน์จากรัฐบุรุษอาวุโสมาบ้าง แต่ข้าจะไม่ทำต่อหน้าฝ่าบาท  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงแค่จิบชา และไม่ได้สนใจขันทีซุนเลยแม้แต่น้อย เขากำลังเล่นถ้วยชาเคลือบแก้วสีขาวด้วยปลายนิ้วของเขา ราวกับอีกฝ่ายนั้นไร้ตัวตน  

 

 

ขันทีซุนหันหลัง น้ำตาของเขาเกือบจะร่วงลงมา เขาเพิ่งจะถูกฝ่าบาทเมินเฉยอย่างเย็นชา  

 

 

จิ้งอู๋วั่งที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกงุนงง และขมวดคิ้วแน่น วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับขันทีซุนกันแน่ ตั้งแต่ที่พวกเขาเดินเข้ามาในโรงอาหาร เขาก็ทำตัวแปลกไป…  

 

 

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยพลาดโอกาสโต้กลับ นางก็วางตะเกียบไม้ไผ่ที่กำลังใช้ลง นางไม่ใช่คนโง่เขลาพอที่จะลงมือต่อหน้าจิ้งอู๋วั่ง ก่อนที่จะเข้ามาในสำนักศึกษาแห่งนี้ เจ้าสำนักบอกเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่เป็นไรหากพวกเขาอยากจะสร้างปัญหา แต่ก็แค่ห้ามถูกจับได้เท่านั้น  

 

 

ปกติแล้ว จิ้งอู๋วั่งคนนี้มักจะดูถูกเหยียดหยามบรรดาศิษย์จากหอสามัญอย่างพวกเขาเสมอ  

 

 

ยากนักที่จะเห็นเขามีท่าทีเป็นมิตรและใจดีเหมือนอย่างวันนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นได้ชัดเจนว่าขันทีอาวุโสที่อยู่ข้างเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดา  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นตะเกียบไม้ไผ่ในมือ แต่อันที่จริง นางกำลังทำการวิเคราะห์ทุกอย่างอย่างชัดเจน  

 

 

จิ้งอู๋วั่งหัวเราะอยู่ด้านข้าง ก่อนจะหันหน้าไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ พร้อมกับผายมือของเขาและพูดขึ้น “รีบคารวะขันทีซุนสิ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ค่อนข้างช่ำชองกับการสร้างความสัมพันธ์เช่นนี้ นางเดินเข้าไปอย่างอ่อนโยนราวกับดอกบัว พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย และในขณะที่นางกำลังจะอ้าปากนั้น  

 

 

ขันทีซุนก็ร้องอุทานออกมาทันที “โธ่ สวรรค์ คุณหนูเจียวเอ๋อร์อย่าทำเช่นนี้เลย มันทำให้ข้าลำบากใจ การเลือกพระชายาของฝ่าบาทนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ข้ารับใช้อย่างพวกข้าจะพูดถึงได้”  

 

 

ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ทางฝั่งนี้ สายตาของเขาก็เหลือบไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงไม่ได้มองอีกฝ่ายเช่นเดิม แต่ในที่สุด เขาก็เปลี่ยนท่าทางและเอนหลังพิงเก้าอี้ไม้อย่างเกียจคร้าน  

 

 

หัวใจของขันทีซุนเต้นระรัวและไม่อาจสงบจิตใจได้ เขาอยากจะคุกเข่าลงต่อหน้านายเหนือหัวทันที แล้วเข้าไปกอดขาของฝ่าบาทเอาไว้ พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญปานจะขาดใจ  

 

 

แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นขันทีที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวังมานานหลายปี ทำให้บรรลุถึงการสังเกตท่าทีและคำพูดของผู้คน ดังนั้น เขาจึงรู้ดีว่าหากตนเองเดินเข้าไปเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายในตอนนี้ เขาอาจจะต้องตายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก  

 

 

ดังนั้นขันทีซุนจึงทำได้เพียงรั้งตัวเองเอาไว้ ในขณะที่ต้องรับมือกับผู้อาวุโสและเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาต่อ  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่เชื่อคำแก้ตัวของเขา เมื่อนานมาแล้ว ท่านปู่เคยบอกนางว่าพวกขันทีที่อยู่ในวังนั้นมาจากพื้นเพที่ต้อยต่ำ แต่ก็ไม่ควรดูถูกพวกเขาเช่นกัน โดยเฉพาะขันทีซุนที่อยู่ตรงหน้าของนางในตอนนี้ คำพูดของเขามักจะสามารถบ่งบอกถึงความคิดของคนเบื้องสูงได้อยู่หลายครั้ง การพบกับเขาก็เหมือนพบกับฝ่าบาทโดยตรง ดังนั้น นางจึงต้องรักษาสีหน้าที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว หากขันทีคนนี้ไม่สามารถเพิ่มพูนอำนาจให้กับนางได้ เขาก็ไม่สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากนาง  

 

 

“ขันทีซุนถ่อมตัวเกินไปแล้ว ทุกคนต่างก็รับรู้ถึงความสามารถของขันทีซุนกันเป็นอย่างดี เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าติดตามท่านตาเข้าไปในวังและเห็นขันทีซุนอยู่ไกลๆ ขันทีซุนมีความสามารถในการติดตามและดูแลรับใช้องค์ชายสามทุกอย่าง ในอนาคต หากข้ามีโอกาสได้เข้าไปในวังแห่งนั้น ข้าก็ต้องขอคำแนะนำจากท่านขันทีซุนด้วย” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูดด้วยความเขินอาย น้ำเสียงของนางค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ในขณะที่แก้มของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ  

 

 

ขันทีซุนจะไม่รู้ถึงความตั้งใจของนางได้อย่างไรกัน ในช่วงนี้ ตระกูลซูได้มอบของจำนวนมากให้กับเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่ขันทีที่เพิ่งจะเข้ามาในวัง ดังนั้น เขาจึงรู้ดีแก่ใจว่าของกำนัลชิ้นใดที่ควรหรือไม่ควรรับไว้  

 

 

จริงๆ แล้ว คุณหนูรองของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นดูดีทีเดียว ทั้งภูมิหลังและความงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่ฉ่ำน้ำคู่นั้น  

 

 

หากเขาได้ขัดเกลานางเพิ่มเติม บางทีฝ่าบาทอาจจะชอบนางก็เป็นได้ เขาก็ควรจะเผื่อใจไว้สักหน่อย  

 

 

ทั้งนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าผู้ใดจะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่ในอนาคต  

 

 

เนื่องจากเขาไม่สามารถปฏิเสธที่จะรับของกำนัลที่ส่งมาไม่หยุดหย่อนนั้นได้ สุดท้ายแล้ว เขาจึงยอมรับมันเอาไว้ เผื่อตอนที่เขาไม่ได้เป็นคนโปรดของผู้ใดในวัง  

 

 

แน่นอนว่าเขาจะทำอะไร ก็มักจะคำนึงถึงเจ้านายของเขาเสมอ หากเป็นคนที่หน้าตาน่าเกลียดหรือมีภูมิหลังที่ไม่ดี เขาก็คงจะไม่แนะนำนางผู้นั้นให้กับฝ่าบาทอย่างแน่นอน  

 

 

อย่างไรก็ตาม  

 

 

ทั้งหมดนั้นคือความคิดของเขาก่อนที่จะเข้ามาในโรงอาหารแห่งนี้  

 

 

ตอนนี้เขาเพียงแค่ภาวนาขอให้ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาและรับรู้ถึงการทำงานหนักอย่างเอาใจใส่และซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปี และไว้ชีวิตเขาในวัยชราเช่นนี้  

 

 

มือของขันทีซุนสั่นไหว เขาเหลือบไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง  

 

 

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ นางยอมลดตัวลงอย่างมากเพื่อไว้หน้าชายชราคนนี้ แต่คนคนนี้ไม่แม้แต่จะอ้าปากพูด มันหมายความว่าเช่นไรกัน  

 

 

“ขันทีซุน ท่านมองอะไรอยู่หรือ” ดูเหมือนว่าความอดทนของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะหมดลง เมื่อเห็นว่าชายชรากำลังจดจ่อไปตรงโต๊ะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ คิ้วของนางก็ขมวดเป็นปม “ท่านรู้จักคุณชายคนนั้นด้วยเหรือ”  

 

 

“ไม่เลย ไม่รู้จักเลยสักนิด” ขันทีซุนเห็นดวงตาอันเย็นชาขององค์ชายสาม หัวใจและตับของขันทีคนนี้ก็สั่นสะท้านทันที ก่อนจะรีบหัวเราะขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าหน้าตาคุ้นๆ แต่หลังจากที่มองดูดีๆ แล้ว ก็พบว่าข้าจำคนผิดไป โธ่เอ๊ย ดวงตาของคนชราคนนี้เริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”  

 

 

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มดีขึ้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ้มตอบเช่นกัน  

 

 

“นั่นสิ ท่านไม่น่าจะรู้จักคุณกชายคนนั้นได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสำนักศึกษาในปีนี้ ถึงได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการรับคนธรรมดาสามัญเข้าเรียน ท่านมองผิดไปชั่วขณะก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”  

 

 

หลังจากที่ขันทีซุนได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งดูไม่เป็นธรรมชาติมากขึ้นไปอีก และคราวนี้ เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะหันไปมอง ‘คนธรรมดาสามัญ’ คนนั้นด้วยซ้ำ ฝ่ามือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อมากขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

“พวกเราไปเดินดูที่อื่นกันดีกว่าขอรับ ที่นี่เสียงดังวุ่นวายเกินไป” จิ้งอู๋วั่งขยับแขนเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ของตัวเองพร้อมกับน้ำเสียงที่ดูแจ่มใส “ขันทีซุน เชิญ”  

 

 

“ตกลง” ทันใดนั้น ขันทีซุนก็รีบพยักหน้าทันที ท่าทีที่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของเขานั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกงุนงง  

 

 

พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหากพวกเขายังคงพูดคุยกันต่อ เขาอาจจะตายแบบไม่เหลือซากก็เป็นได้  

 

 

จิ้งอู๋วั่งเองก็ไม่ได้รีรอเช่นกัน เขาเพียงแต่บอกให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มากับพวกเขาด้วยเท่านั้น  

 

 

หลังจากที่แขกผู้มีเกียรติจากไป บรรยากาศในโรงอาหารแห่งนี้ก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง  

 

 

เฮ่อเหลียนเหมยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเยือกเย็น “คนบางคนไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของตนเองได้ และอยากจะมาแข่งขันกับพี่รองอย่างน่าขัน คนประเภทนั้นไม่รู้จักส่องกระจกมองตัวเองให้ดี และคิดว่าคนอื่นๆ จะเป็นเหมือนพวกเขาที่เอาแต่มองหามู่หรงซื่อจื่อ ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ พี่รองกำลังจะกลายเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ส่วนคนๆ นั้นก็เป็นได้แค่สินค้ามือสองหลังจากที่ถูกยกเลิกงานแต่งงานไปเท่านั้น” พูดจบ นางก็รีบยกมือปิดปากและตีปากตนเองสองครั้งทันที “ดูข้าสิ พูดอะไรออกไปเนี่ย พี่ใหญ่ คนที่ข้าพูดถึงนั้นไม่ใช่ท่านหรอก แต่อย่างไรเสีย ในฐานะที่ข้าเป็นน้องสาวของท่าน ข้าก็จะเตือนอะไรท่านเอาไว้ ต่อให้ไม่มีใครต้องการท่าน ท่านก็ไม่ควรไปหาผู้ชายที่ยากจนและอวดดี แทนที่จะทำแบบนั้นท่านควรจะพูดจาอ่อนหวานกับมู่หรงซื่อจื่อสักสองสามคำ เพราะอย่างไรเสีย ท่านก็เคยพูดกับเขาไปแล้วมากมายในอดีต บางทีซื่อจื่ออาจจะใจอ่อนและให้อภัยท่านก็ได้ พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่เล่า”