เฮ่อเหลียนเหมยหัวเราะขณะที่เอ่ยถามเหล่าหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังตนเอง  

 

 

พวกนางกำลังถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับมองดูบ่อโคลนที่ไม่สามารถทำตัวสูงส่งได้ ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ตาม  

 

 

เฮ่อเหลียนเหมยเชิดคางขึ้นอย่างผู้ชนะ “อ่า ไม่พูดแล้ว ข้าควรหยุดพูดดีกว่า บรรยากาศที่นี่เริ่มไม่ดีแล้ว พวกเราไปหาพ่อครัวและให้เขาทำอาหารให้เราเป็นพิเศษกันเถอะ ไปกันเถอะพี่สาวน้องสาว”  

 

 

พวกนางต่างหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมกันด้วยน้ำเสียงแสบแก้วหูอีกครั้ง  

 

 

เท้าของเฮ่อเหลียนเหมยยังไม่ทันได้ก้าวออกไป แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของนางจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของนางอีกต่อไป ‘ผลุบ’ และทันใดนั้น นางก็คุกเข่าลงกับพื้น ของกินที่เหลืออยู่ตรงหน้าของนางหกกระจาย ทำให้ใบหน้าและเส้นผมของเฮ่อเหลียนเหมยเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน  

 

 

“คุณหนู” สาวใช้รีบเดินเข้ามาพยุงร่างของนางอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้แล้ว  

 

 

“หน้าของข้า ผมของข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย คอยดูเถอะ” เฮ่อเหลียนเหมยกรีดร้องอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และรีบวิ่งออกจากโรงอาหารไปราวกับคนเสียสติ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูตะเกียบไม้ไผ่ที่นางยังไม่ได้ปล่อยไปจากมืออย่างครุ่นคิด และเมื่อนางสังเกตเห็นสายตาท้วงติงจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็รีบพูดแก้ต่างให้ตัวเองทันที “ไม่ใช่ฝีมือข้าสักหน่อย”  

 

 

“จริงหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดมือของตนเองลง หยดน้ำที่ปลายนิ้วมือของเขายังไม่แห้งดี แล้วเขาก็ใช้ผ้าขนหนูสีขาวเช็ดมือของตนเองอย่างใจเย็น  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กดีที่ไม่พูดโกหก “ข้าคิดจะลงมือ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร นางก็ล้มลงไปเสียแล้ว”  

 

 

“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาสมุนไพรด้วยใบหน้าเรียบเฉย “พื้นคงลื่นเกินไป”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า “คงจะเป็นเช่นนั้น นี่ การที่ข้าไม่ได้เป็นคนลงมือนั้นก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจนัก นางล้มลงไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”  

 

 

ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงงุนงงอยู่นั้น อีกฝั่งหนึ่งก็มีเงาทมิฬที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ และมุมปากของเขาก็กระตุกอย่างรุนแรง เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกราวกับว่ารอยยิ้มมุมปากของนายท่านนั้นทำให้ใครๆ ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือก เขาไม่เชื่อในคำพูดไร้สาระที่ว่า “พื้นลื่นเกินไป”หรอก ฝ่าบาทต้องเป็นคนทำแน่ๆ  

 

 

“แต่มาคิดดูให้ดีแล้ว เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสามในอีกไม่นาน นั่นคงจะเป็นเรื่องที่น่าสุขใจอย่างมากทีเดียว” ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะคิดอะไรบางอย่าง และทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง  

 

 

มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถือถ้วยชาอยู่นั้นเกร็งขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “น่าสุขใจเช่นนั้นหรือ”  

 

 

“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างมีนัยยะ “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เหตุผลของเรื่องนี้”  

 

 

ร่างของเงาทมิฬที่ซ่อนอยู่ไม่ไกลนั้นแข็งเกร็งอย่างรุนแรง… ทำให้เขาถึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเช่นนี้กัน… บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้จะไม่แสดงความคิดเห็นที่น่าตกตะลึงและวิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาทต่อหน้าเขาใช่หรือไม่  

 

 

เขาควรจะเข้าไปหยุดตอนนี้เลยดีหรือไม่  

 

 

ไม่อย่างนั้นเกรงว่าฝ่าบาทจะอารมณ์เสียหลังจากที่ได้ฟัง  

 

 

ราวกับว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความคิดของเขา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้าไปมองยังตำแหน่งของเงาทมิฬ ดวงตาอันเย็นชาคู่นั้นแฝงไปด้วยคำเตือนที่หนักแน่น  

 

 

เงาทมิฬผงะถอยหลังทันที แผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ  

 

 

ชายหนุ่มหันศีรษะไปรอบๆ ใบหน้าด้านข้างของเขาเปล่งประกายอย่างงดงาม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ” เขาอยากจะฟังมัน อะไรเป็นเหตุผลที่นางจะมีความสุขกับการที่คนอื่นจะได้แต่งงานกับเขา  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง แต่เจ้าอย่าไปบอกคนอื่นล่ะ ข้าสงสัยว่าองค์ชายสามจะเป็น…” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปรอบๆ ก่อนจะลดระดับเสียงลง “เขาน่าจะชอบเพศเดียวกัน”  

 

 

เฮ้ย  

 

 

เงาทมิฬแทบจะหายใจไม่ออก และสำลักตายอยู่ตรงมุมห้องแห่งนี้  

 

 

น่าจะชอบเพศเดียวกันเช่นนั้นหรือ  

 

 

ฝ่าบาทคนนี้ น่าจะชอบเพศเดียวกันเช่นนั้นหรือ  

 

 

เงาทมิฬเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและหัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือก  

 

 

โอ้ แย่แน่ สวรรค์ ครั้งนี้ฝ่าบาทคงไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และจะต้องบีบคอบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้จนขาดอากาศตายอย่างแน่นอน  

 

 

นี่มันยิ่งกว่าการจ่ายเงินซื้อจุมพิตฝ่าบาทด้วยเงินสิบตำลึงเสียอีก  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็ชะงักไปเช่นกัน คิ้วอันงดงามของเขาขมวดแน่น ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน ไม่รู้เลยว่าเขากำลังโกรธอยู่หรืออย่างไร แต่เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”  

 

 

“ข้าบอกว่าองค์ชายสามคนนั้นอาจจะมีรสนิยมแบบชายรักชาย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบตามองชายคนนั้นขึ้นลงพร้อมกับประเมินเขา ริมฝีปากบางของนางยกขึ้นเล็กน้อย “แม้ว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะแต่งงานกับเขา นางก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ แต่ถ้าเป็นเจ้า หากเจ้าได้เข้าร่วมการคัดเลือกชายาด้วย เจ้าจะต้องได้รับการคัดเลือกอย่างแน่นอน ดูจากใบหน้าของเจ้าแล้ว สามารถเย้ายวนองค์ชายสามได้อย่างไม่มีปัญหาเลย”  

 

 

ดี ดีมาก อะไรคือ ‘จะต้องได้รับการคัดเลือกอย่างแน่นอน’ และอะไรคือ ‘เย้ายวนได้อย่างไม่มีปัญหา’  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ดวงตาเรียวยาวของตนเองลงอย่างน่ากลัว มันเผยให้ประกายแสงบางอย่าง “ทำไมเจ้าถึงมีความคิดว่าองค์ชายสามชอบเพศเดียวกันหรือ”  

 

 

“ทุกคนต่างก็รู้ดีกว่าองค์ชายสามไม่เคยเข้าหาหญิงงามคนใดมาก่อน ว่ากันว่าแม้แต่คนที่ปรนนิบัติเขาในวังปีศาจก็ยังมีแต่ข้ารับใช้ผู้ชายเท่านั้น หากเขาไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน และเป็นชายชาตรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะต้องมีสาวใช้อุ่นเตียงบ้างใช่ไหมเล่า” ความสงสัยของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็มีมูลเหตุด้วยเช่นกัน  

 

 

อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปนั้นกลับทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะในใจอย่างเย็นชา สักวันหนึ่ง เขาจะต้องทำให้นางได้สัมผัสกับ ‘ความรักร่วมเพศ’ ของเขาอย่างแน่นอน  

 

 

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนิ่งเงียบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คิดว่าอีกฝ่ายกำลังตกตะลึงกับความลับที่เพิ่งได้ยินไป  

 

 

อ่า นั่นสินะ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคโบราณหรือสมัยใหม่ หรือไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หากเป็นเรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้สึกเบื่อหรอก  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยแสดงท่าทีว่า ‘ข้าเข้าใจ’ พร้อมกับตบไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เจ้าอย่าแปลกใจจนเกินไป หากเจ้าคิดว่าไม่อาจเก็บงำความลับหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ได้ เจ้าก็สามารถบอกให้คนอื่นฟังได้”  

 

 

“อย่ากังวลเลย…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองมือของนางที่วางอยู่บนไหล่ของเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้นครึ่งหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าจะหาเวลาที่เหมาะสมบอกคนอื่น” อย่างไรก็ตาม คนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น… เจ้านั่นเอง  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินดังนั้นก็กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง  

 

 

แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากประตูเล็กๆ ทางด้านซ้าย  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นแล้วหันไปมองหนานกงเลี่ยที่ยืนอยู่ตรงประตูนั้น  

 

 

หนานกงเลี่ยยกมือขึ้น และกลืนเสียงหัวเราะลงคอได้ในที่สุด เขาพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าพูดคุยกันต่อเลย ฮ่าๆ คุยต่อเลย ฮ่าๆ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนได้เลย” ฮ่าๆๆๆ โชคดีที่เขากลับมาเร็ว มิเช่นนั้น เขาคงจะพลาดเหตุการณ์ดีๆ เช่นนี้ไป มันช่างน่าขำยิ่งนัก เขาต้องถามอาเจวี๋ยว่ารู้สึกเช่นไรที่ได้ยินคนพูดว่าเขามีรสนิยมชายรักชาย ฮ่าๆๆ “อุ๊บ” โธ่ ไม่นะ เขาหยุดหัวเราะไม่ได้อีกแล้ว  

 

 

“เขาหัวเราะเรื่องบ้าอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจเลยจริงๆ  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองหนานกงเลี่ยอย่างไม่แยแส ก่อนจะยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “หัวเราะอีกครั้ง เจ้าตายแน่”  

 

 

ร่างกายของหนานกงเลี่ยแข็งทื่อทันที  

 

 

“อย่างไรก็ตาม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาในทันใด “ข้าคิดว่าองค์ชายสามคงสนใจที่จะฟังสิ่งที่เจ้าพูดมายิ่งนัก”  

 

 

“ข้าจะโง่พูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเขาได้อย่างไรกันเล่า เว้นแต่ว่าข้าจะไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดซี่โครงแกะย่างที่เพิ่งยกมาถึงอย่างไม่ใส่ใจนัก  

 

 

หนานกงเลี่ยและเงาทมิฬหัวเราะ ‘เหอะ เหอะ’ สองครั้งพร้อมกัน [แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่เล่า มันสายเกินไปแล้ว เข้าใจไหม เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน]  

 

 

ทว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยกริบฝีปากสีซีดของตนขึ้นอย่างประหลาดใจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูโอหังและมีเสน่ห์ชั่วร้าย ราวกับว่าเขาเจอของเล่นที่น่าสนใจมากก็ไม่ปาน…