บทที่ 55 ก่อนงานคัดเลือกพระชายา

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ผู้ล่าที่ฉลาดจะมีความอดทนเป็นพิเศษเสมอเมื่อต้องรับมือกับเหยื่อที่ตนเองใส่ใจ

จุดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านทางร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

เขาไม่ได้คิดที่จะลงมือกับเฮ่อเหลียนเวยเวยในทันที หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายไปทำธุระของตนเองกันต่อ

ท่าทีที่แตกต่างออกไปนั้นปรากฏขึ้นหลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปแล้ว

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกดำบนนิ้วของตนเอง เขาออกคำสั่งกับเงาทมิฬที่คุกเข่าบนพื้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับปีศาจ “ตามนางไป และดูว่านางติดต่อกับใครบ้างในช่วงสองวันมานี้”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬรับคำสั่งและปลีกตัวออกไป

หนานกงเลี่ยลูบสันจมูกของตนเองพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า แต่ก่อนที่จะกลับเข้าไปยังหอสามัญ เขาก็เห็นตรงมุมกำแพงทางเดินไกลๆ มีขันทีซุนที่ดูเหมือนมดบนกระทะร้อน เขาถือแส้หางม้าเดินไปมา ปกคอเสื้อของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาเฝ้าอยู่ที่นี่มาสักพักใหญ่แล้ว

หลังจากที่เห็นพวกเขา ดวงตาของขันทีซุนก็เป็นประกาย พร้อมกับคุกเข่าลงบนพื้น “ฝ่าบาท”

น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรียบเฉย “ขันทีซุนเป็นคนที่เปล่งประกายต่อหน้าองค์ชายสาม แล้วจะคุกเข่าลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

พอได้ยินดังนั้น ขันทีซุนก็น้ำตาแทบจะไหล “ฝ่าบาท…” เจ้านายของเขาจะต้องกำลังล้อเลียนเขาอย่างแน่นอน ตอนนี้ เขาหวาดกลัวแทบตายแล้ว เข้าใจไหมเล่า

“ลุกขึ้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างเฉยเมย แต่ก็ยังสามารถได้ยินถ้อยคำเย็นชาทั้งสี่คำนั้นได้แม้ว่าจะอยู่ไกลก็ตาม “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ”

หนังศีรษะของขันทีซุนลุกชันขณะที่เขากลืนน้ำลายอย่างฉับพลัน ก่อนจะตอบกลับด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปแล้ว หนานกงเลี่ยก็กลับมาแสดงทีผ่อนคลายอีกครั้ง “ขันทีซุนไม่เจอกันนานเลย เจ้าไปยั่วโทสะของนายท่านอีกแล้วหรือ”

“นายน้อยเลี่ย” ขันทีซุนโค้งคำนับเขาอย่างมีมารยาท และมองเสื้อผ้าที่เขากำลังสวมใส่อีกครั้ง

หนานกงเลี่ยสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่าย แล้วดึงเสื้อคลุมสีขาวของตนเอง พร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย “ข้าแต่งตัวแบบนี้แล้วดูหล่อเหลาหรือไม่ นายท่านของเจ้าเป็นคนคิดที่จะปลอมตัวเป็นศิษย์ธรรมดา และวิธีนี้ยังหลอกล่อหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ได้ง่ายอีกด้วย”

“ฮ่า ฮ่า” ขันทีซุนนึกด่าอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการจะหลอกล่อหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์

หนานกงเลี่ยถอนหายใจยาว “การมีหน้าตาหล่อเหลาเกินไปก็เป็นปัญหาเช่นกัน อ่า ขนาดข้าแต่งตัวเช่นนี้แล้ว ก็ยังไม่อาจต้านทานให้หญิงสาวพวกนั้นตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกพบได้เลย”

มุมปากของขันทีซุนบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ใบหน้าชราของเขาพยายามที่จะแสร้งยิ้มให้ “ข้ารับใช้แก่ๆ คนนี้จำได้ว่าอดีตฮ่องเต้ตรัสว่าปีนี้ รองเจ้าสำนักของสำนักไท่ไป๋ควรจะเป็นนายน้อยเลี่ยใช่หรือไม่ขอรับ”

“แค่ก” หนานกงเลี่ยไอออกมาอย่างหนัก “ถึงกระนั้น ข้าก็ควรทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสำนักศึกษาแห่งนี้ก่อน นอกจากนี้ ยังต้องปกป้องนายท่านของเจ้าอีกด้วย เจ้าไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่อาเจวี๋ยเข้ามาที่นี่ ก็ก่อให้เกิดความเกลียดชังขึ้นมากมายเพียงใด ก่อนหน้านี้ พวกคนจากหอชั้นเลิศต่างก็ไม่พอใจอาเจวี๋ย ตอนนี้ ข้ากำลังพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ แล้ว ข้าจะทอดทิ้งฝ่าบาทในช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันเล่า”

เมื่อขันทีซุนได้ยินดังนั้น เขาก็ไม่ได้กังวล แต่กลับรู้สึกโกรธเคืองแทน “ใครกัน ใครกล้าไม่พอใจฝ่าบาทเช่นนี้ ข้าจะไปหาพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย ไอ้พวกระยำนั่นอยากจะก่อกบฏใช่หรือไม่”

หนานกงเลี่ยลูบคางของตนเอง “จิ้งอู๋วั่งที่มากินข้าวเที่ยงกับเจ้าในวันนี้คือผู้บงการ”

ขันทีซุนหดคอลงและสังเกตเห็นสายตาขององค์ชายที่มองมาที่เขา เหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาบนหน้าผากของเขาอีกครั้ง “ฝ่าบาท ข้ารับใช้แก่ๆ คนนี้สาบานได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้สนิทสนมกับเขาเลยแม้แต่น้อย” หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองหนานกงเลี่ยอีกครั้ง [นายน้อยเลี่ย ท่านกำลังผลักข้าให้ตกลงไปในนรกอยู่นะขอรับ] หนานกงเลี่ยพูดอ้อมค้อมไปมา เพียงเพื่อจะได้ฝังเขาทั้งเป็นเท่านั้น

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” หนานกงเลี่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางบนไหล่ของอีกฝ่าย พร้อมกับกะพริบตาซ้ายอย่างชั่วร้าย “ไม่ต้องกังวลไป นายท่านของเจ้ารู้ทุกอย่างดี ไม่จำเป็นต้องมีใครคอยยุยงเขาหรอก”

ร่างกายของขันทีซุนแข็งเกร็งไปทั้งตัว

ดวงตาทั้งสองข้างของนายท่านนั้นดูลึกลับและคาดเดาได้ยาก จนทำให้ใครต่อใครแข้งขาอ่อนแรงได้จริงๆ

“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาอีกเลย นายท่านของเจ้ายังต้องไปทำธุระอีก” หนานกงเลี่ยดึงมือกลับอย่างไม่ลังเล

น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม “เจ้าใช้ข้ออ้างอะไรออกมาจากหอชั้นเลิศ”

“กระหม่อมบอกว่าตัวเองกินอาหารมากเกินไป และต้องการออกมาเข้าห้องน้ำพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่ากระหม่อมจะมีความกล้าอีกร้อยเท่า กระหม่อมก็จะไม่เปิดเผยตัวตนของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขา “เจ้ามาเข้าห้องน้ำนานพอแล้ว กลับไปได้แล้ว”

ขันทีซุนอ้าปากพะงาบๆ แต่ในที่สุด เขาก็กัดฟันและพูดออกมา “ฝ่าบาท เรื่องการคัดเลือกพระชายานั้น ฝ่าบาท… ฝ่าบาท” ในตอนแรกนั้น เขากำลังจะพูดว่าฝ่าบาทกับอดีตฮ่องเต้เล่นซ่อนแอบกันมานานแล้ว และเมื่อไหร่ ฝ่าบาทถึงจะเลิกบ่ายเบี่ยงสักที กองกำลังหลวงรออยู่ที่เชิงเขาเป็นเวลาสองวันแล้ว หากพวกเขายังต้องรอต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีคนพบพวกเขาอย่างแน่นอน

เอ่อ แต่ขอโทษเถอะ เขาไม่กล้าที่จะอ้าปากถามออกไปจริงๆ

“ข้าจะไปที่เชิงเขานั่นในช่วงพลบค่ำ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีซุนก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เขาก็ทันเห็นเพียงแค่แขนเสื้อที่ปลิวไปกับสายลมเท่านั้น…

พระอาทิตย์กำลังตก ณ สถานที่เดิมที่มีผู้คนอยู่ประปราย และมีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยม้วนคัมภีร์โบราณจำนวนมาก

ชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งตัวตรงและมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ฝึกสมาธิได้สำเร็จด้วยความพึงพอใจ เขายื่นมือมาลูบเคราของตนเอง

เนื่องจากก่อนหน้านี้ เส้นลมปราณของเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกทำลาย ทำให้ทุกครั้งที่นางข้ามไปได้อีกขั้น ใบหน้าของนางจะซีดเผือดด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน หน้าผากของหญิงสาวเต็มไปด้วยเหงื่อ

“นังหนู หากเจ้าเหนื่อยเกินไปแล้วก็พักสักหน่อยเถอะ” ห้วนหมิงเสียงไม่เคยเห็นบุตรสาวของตระกูลใดเหมือนกับเด็กสาวคนนี้เลย นางทั้งเฉลียวฉลาด และยังพร้อมที่จะอดทนต่อความยากลำบากอีกด้วย

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ พร้อมกับยืดเอวอย่างเกียจคร้าน “ข้าจะนอนงีบตรงนี้ จะได้มีแรงไปกินดื่มฟรีในตอนกลางคืนได้”

“กินดื่มฟรีเช่นนั้นหรือ” ห้วนหมิงเสียงย่นคิ้วสีดอกเลาของตนเอง จากนั้น ก็เอ่ยถามอย่างลืมตัว “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสามจะมาที่สำนักไท่ไป๋ เด็กสาวจากตระกูลต่างๆ ล้วนแต่กำลังคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับการคัดเลือก เจ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อด้วยเช่นนั้นหรือ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวและตอบด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ข้ามีรายชื่ออยู่ในนั้น แต่ข้าไม่ได้สนใจที่จะแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ได้ชอบคนอย่างองค์ชายสามเลยแม้แต่น้อย”

“ดีเลย นังหนู หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็ดีแล้ว” ห้วนหมิงเสียงลุกขึ้นยืนทันที ราวกับว่าเขาได้เจอกับคู่หูของชีวิต จากนั้นจึงพูดต่อ “คนๆ นั้นมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีจริงๆ แต่เขาเป็นคนที่ต่อปากต่อคำด้วยยากทีเดียว หากเจ้าคาดหวังให้เขามีความคิดที่สมเหตุสมผลล่ะก็ ลืมไปได้เลย ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร เขาก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน หากอยู่กับเขาไปนานๆ เขาอาจจะทำให้เจ้ารู้สึกโกรธแค้นจนอยากจะตายได้เลย”

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จับคางของตนเองและถอนหายใจเพื่อระบายอารมณ์ออกมา ก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนว่าองค์ชายสามคนนั้น นอกจากจะหน้าตาดีแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเลย”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ห้วนหมิงเสียงตบไหล่ของนางด้วยความโล่งใจ “อย่าปล่อยให้ใบหน้าอันงดงามนั้นทำให้เจ้ารู้สึกสับสน”

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ดูไม่ออกเลยว่าองค์ชายสามจะเป็นชายหนุ่มหน้าขาว [1]”

หลังจากที่เงาทมิฬได้ยินประโยคสุดท้าย เท้าของเขาก็แทบจะลื่นหลุดจากกิ่งไม้ เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่าเพิ่งจะได้ยินอะไรมา

ชายหนุ่มหน้าขาวเช่นนั้นหรือ

พวกเขาพูดว่าองค์ชายสามเป็นชายหนุ่มหน้าขาวเช่นนั้นหรือ

ดูท่าไม่ได้การ เขาต้องรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ

หลังจากนั้น…

ณ มุมห้องของหอสามัญที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของไม้จันทน์ มองเห็นเพียงร่างที่พร่ามัวของชายคนหนึ่งที่มีข้ารับใช้กำลังช่วยแต่งตัวให้อยู่เท่านั้น

ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะตื่นนอน เสียงของเขาแหบพร่า “หนุ่มหน้าขาวเช่นนั้นหรือ”

………………………………………………………………………………………..

[1] หนุ่มหน้าขาว มีความหมายในเชิงลบ หมายถึง คนที่อ่อนต่อโลก หรือ ไก่อ่อนในภาษาไทย