ตอนที่ 61 เจ้าจะเทียบเย่าจงได้อย่างไร?
เด็ก ๆ ในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เคยอ่านหนังสือ หรือไม่ก็ไม่ถนัดทางด้านนี้ แม้ว่าเฉินหลันหลันจะพูดถึงเผยจี้ฉือ แต่ก็ราวกับตบหน้าคนอื่น ๆ ไปด้วย
ทันใดนั้นบรรยากาศก็อึดอัดขึ้นมาทันที
จี้จือฮวนเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมา “เด็ก ๆ นิทานที่ข้าเล่าให้พวกเจ้าฟังเมื่อคืนพวกเจ้ายังจำได้อยู่หรือไม่?”
อาชิงพยักหน้ารับ เสียงนุ่มนิ่มตั้งใจเอ่ยออกมา “จำได้ขอรับ ความหมายแฝงในนิทานก็คือ การเป็นคน ไม่ควรหยิ่งทะนงในตัวเอง และไม่ควรเป็นกบในกะลา ต้องออกไปดูโลกภายนอกให้มาก เรียนรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นถนัด คนมีวิธีสื่อสารของคน สุนัขมีวิธีการสื่อสารของสุนัข อย่าพยายามเข้าไปยุ่งในโลกของสุนัข เพราะสุนัขจะมองว่าคนต่ำต้อยกว่า”
จี้จือฮวนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “พูดได้ดีมาก อาชิงของพวกเราเก่งจริง ๆ เด็กตัวแค่นี้ก็ยังรู้จักเหตุผล เข้าใจความเป็นจริง คนบางคนอยู่มาจนจะลงโลงอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักหุบปากเสีย ๆ ของตัวเองเลย”
เฉินหลันหลันถลึงตาโตขึ้นมา จี้จือฮวนปากเก่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
ถึงกับกล้าหัวเราะเยาะนางอย่างนั้นหรือ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!
“จี้จือฮวน เจ้าว่าใครกัน!”
จี้จือฮวนไม่แม้แต่จะมองหน้านาง แต่กลับหันไปพูดกับท่านป้าคนอื่น ๆ “วันมงคลของครอบครัวเฉินเช่นนี้ คนในหมู่บ้านต่างก็มาอยู่ที่นี่กันหมด ไม่รู้ว่าพี่หลันหลันโมโหอะไรมา แต่ระวังจะล่วงเกินเทพเจ้า ละเมิดข้อห้าม และจะเคราะห์ร้ายเอาได้นะเจ้าคะ”
คนในชนบทเชื่อเรื่องโชคลางยิ่งกว่าอะไร เมื่อได้ยินดังนั้นสายตาที่มองเฉินหลันหลันก็เปลี่ยนไป
เด็กนี่ปากไม่มีหูรูดจริง ๆ วันดี ๆ ของเย่าจง งานใหญ่ของหมู่บ้านตระกูลเฉิน ยังมาตะโกนว่าแขกอีก
เฉินหลันหลันถูกจี้จือฮวนใส่ร้ายก็โมโหเป็นอย่างมาก แต่ทำได้เพียงถลึงตาใส่เท่านั้น
ท่านป้าหยางหัวเราะออกมา “โอ้โห อาชิงน้อยของเราตอนนี้พูดเก่งจริง ๆ สุนัขมองว่าคนต่ำต้อยกว่าย่าฟังเข้าใจ แต่กบในกะลาเล่า หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
หลังจากอาชิงตั้งใจอธิบายเสร็จ เหล่าท่านป้าต่างก็เข้าใจแล้ว
“ฮวนฮวนเป็นคนสอนเองทั้งหมดหรือ?”
“ใช่ขอรับ ท่านแม่เล่านิทานสนุก ๆ ได้ตั้งหลายเรื่องเลยนะขอรับ” อาชิงกางแขนออกกว้างประกอบคำพูด ในฐานะลูกสมุนของจี้จือฮวน เขาย่อมต้องชมนางไม่ขาดปากอยู่แล้ว
“สะใภ้ตระกูลเผย คิดไม่ถึงว่าเจ้ามีความสามารถในเรื่องนี้ด้วย ทั้งรักษาคนได้ เล่านิทานเก่ง และยังหาเงินเป็นอีกด้วย ต่อไปหากชุนเอ๋อของเราได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าก็คงไม่ต้องกังวลอีก”
ท่านป้าหยางได้ยินพวกนางเอ่ยชมจี้จือฮวน ก็รู้สึกเหมือนลูกสาวของตัวเองถูกชมอย่างไรอย่างนั้น จึงอดที่จะดีใจไม่ได้
คนทั้งโต๊ะต่างเอ่ยชมจี้จือฮวนไม่หยุด เฉินหลันหลันที่เป็นเจ้าภาพกลับไม่มีคนสนใจ
“หึ!” เฉินหลันหลันจึงหมุนกายเดินไปหาหยวนซื่อทันที
ส่วนพวกผู้ชายต่างก็ล้อมวงกันอยู่อีกโต๊ะ กินดื่มกันอย่างสนุกสนาน และมีคนแวะเวียนมาดื่มกับเฉินเย่าจงไม่ขาดสาย ก่อนเขาจะยืนขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ขอบคุณทุกท่านที่วันนี้ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดีกับข้า ข้า เฉินเย่าจง ขอรับปาก ณ ที่นี้ว่า วันหน้าหากข้าประสบความสำเร็จในการสอบ จะไม่ลืมทุกท่านในหมู่บ้านตระกูลเฉินอย่างแน่นอน!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ดีใจกันเป็นอย่างมาก เสียงที่แสดงความยินดีดังขึ้นไม่ขาดสาย
เฉินไคชุนนั้นดีใจกว่าเฉินเย่าจงเสียอีก เขาดื่มจนใบหน้าแดงก่ำ แม้ตัวจะโงนเงนไปมาแล้ว แต่ก็ยังถือจอกเหล้าลุกจากที่นั่งเดินไปทั่ว เพราะอยากจะฟังคนอื่นชมว่าครอบครัวพวกเขาได้ให้กำเนิดมังกรทองออกมาจึงจะพอใจ
“ใช่แล้ว เย่าจงของเราตอนที่เกิดมา ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องไม่ธรรมดา!”
ที่แตกต่างจากชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเฉินก็คือ มีเพียงครอบครัวของจี้จือฮวนเท่านั้นที่ตั้งใจมากินข้าวจริง ๆ
คนในชนบทไม่ค่อยได้กินเนื้อ ดังนั้นเมื่อมีเนื้อขึ้นมาวางบนโต๊ะ ก็เรียกได้ว่าแทบจะต่อสู้แย่งชิงกันเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้ที่บ้านของเด็กทั้งสามไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสงวนท่าที ทว่าน่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะหยิบตะเกียบ บนโต๊ะก็ไม่มีอาหารเสียแล้ว
แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะอาหารที่แม่เลี้ยงทำอร่อยกว่าแม่ครัวของพวกเขาทำเสียอีก รอกลับบ้านไปค่อยกินก็เหมือนกัน
เฉินไคชุนจ้องมองพวกเขามาพักใหญ่แล้ว เห็นพวกเขาทำตัวเป็นคนร่ำรวยและดูสูงส่งกว่าผู้อื่นจึงเดินเข้าไปหาทันที โต๊ะของพวกผู้หญิงไม่ดื่มเหล้ากัน ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล้าที่รุนแรงก็โชยออกมา
อย่างไรก็ตาม เขาต้องเสียหน้าเพราะจี้จือฮวนมาแล้วหลายครั้ง คราวนี้เขาจึงฉลาดขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าไปหาจี้จือฮวน แต่เลือกเข้าหาเผยจี้ฉือแทน
“อาฉือ วันนี้คึกคักหรือไม่?”
เผยจี้ฉือรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังตอบกลับไป “คึกคักขอรับ”
สำหรับหมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากงานแต่งเท่าไรนัก
“เจ้าอิจฉาหรือไม่?”
“…”
ไม่เลยสักนิด
เฉินไคชุนเห็นเขาเงียบไปก็เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม “อิจฉาไปก็เปล่าประโยชน์ นี่เป็นเรื่องของโชคชะตา เฮ้อ ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ โชคชะตา สวรรค์เป็นผู้กำหนด เจ้าชอบเรียนหนังสือไม่ใช่หรือ แต่อย่าทำอะไรที่เหลวไหลจะดีกว่า ครอบครัวเจ้าสร้างบ้านใหม่ ดังนั้นเจ้าก็จงตั้งใจทำไร่ไถนาอยู่ที่นี่ ภายภาคหน้าหากแต่งงานมีลูกและประพฤติตัวดี เจ้าก็ยังจะสามารถใช้แซ่เฉินเหมือนกับพวกเรา และอาศัยบารมีของเย่าจงได้”
เผยจี้ฉือรู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี เขาจ้องมองเฉินไคชุน จิตสังหารพาดผ่านดวงตา อาศัยบารมีอย่างนั้นหรือ? เฉินเย่าจงนี่น่ะหรือจะคู่ควร ก็แค่มดปลวกที่เขาสามารถบดขยี้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
หากมิใช่เพราะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ท่านพ่อไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้…
เฉินไคชุนยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกสนุก ท่านป้าหยางทนฟังต่อไปไม่ไหว “หัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าพูดอะไรกับเด็กกัน เรียนหนังสือไม่เรียนหนังสือเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
“เจ้าเป็นแค่สตรี พวกเราบุรุษพูดคุยกันอยู่ เจ้าจะเข้ามายุ่งทำไมกัน” เฉินไคชุนด่าจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ รีบไปเอาเทียบเชิญเข้าเรียนมาให้เผยจี้ฉือดูสิ ทั้งชีวิตนี้หากเขาได้เห็นสักครั้งก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
เฉินไคชุนเลียริมฝีปาก รู้สึกว่ายังพูดไม่พอ
“เย่าจงของเรา ต่อไปจะได้เป็นอัครเสนาบดีให้ฮ่องเต้เชียวนะ มา ๆ ๆพวกเจ้ารีบมาดูเขาซะ เพราะต่อไปจะไม่สามารถแตะต้องเขาได้แล้วนะ”
เฉินไคชุนเอ่ยจบก็เอาเทียบเชิญนั้นลงมาจากศาลบรรพชน เขาหยิบมันออกมาจากกล่องไม้ต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน
เฉินเย่าจงรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างประหลาด ในเทียบเชิญนั้นจะมีชื่อของเผยจี้ฉืออยู่หรือไม่?
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ห้ามเฉินไคชุนที่ทำตัวโอ้อวด เฉินไคชุนก็เปิดเทียบเชิญนั้นออกมาเสียแล้ว ทั้งยังหมุนตัวไปทั่วให้ทุกคนได้ดูอย่างละเอียด
“ดูซะ อ่านไม่ออกใช่หรือไม่? พวกเจ้าต้องอ่านไม่ออกอยู่แล้ว!” เฉินไคชุนภาคภูมิใจยิ่งนัก เขารู้สึกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด
คนในหมู่บ้านไหนเลยจะรู้หนังสือกัน การเรียนหนังสือมีแต่คนที่มีเงินเท่านั้นถึงจะทำได้
จนกระทั่งเฉินไคชุนมาถึงโต๊ะของจี้จือฮวน และกลัวว่าพวกนางจะมองเห็นไม่ชัด แต่จู่ ๆ เฉินเย่าจงก็รีบเข้ามาหาเสียก่อน “ท่านปู่ ท่านปู่ เทียบนี้ข้ายังต้องใช้ ท่านอย่าทำมันขาดนะขอรับ”
เฉินไคชุนสะบัดมือของเฉินเย่าจงออก “แค่ดูเท่านั้นไม่เป็นอะไรหรอก ต่อให้เจ้าไม่มีเทียบเชิญ เจ้าจะเข้าเรียนไม่ได้หรืออย่างไร!”
เฉินเย่าจงประดักประเดิดเป็นอย่างมาก ในใจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เขากลัวว่าบนเทียบเชิญนั้นจะมีชื่อเขียนอยู่
เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งกลัวสิ่งใดก็จะยิ่งเป็นเช่นนั้น บนเทียบเชิญไม่ได้มีเพียงชื่อเท่านั้น แต่ยังมีตราประทับส่วนตัวของหลินเซวียเหวินอีกด้วย
จี้จือฮวนแม้จะยังไม่รู้ตัวหนังสือตัวอื่น แต่เผยจี้ฉือเคยสอนจี้จือฮวนมาบ้างแล้ว นางมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าที่เขียนบนนั้นเป็นชื่ออาฉือของพวกเขา ใช่เฉินเย่าจงที่ไหนกัน!
ครอบครัวเฉินที่หน้าไม่อาย นึกว่าจะโลภเอาแค่ของขวัญที่หลินเซวียเหวินส่งมา แต่กลับน่ารังเกียจยิ่งกว่า เพราะกล้าขโมยเทียบเชิญเข้าเรียนของอาฉือไปให้เฉินเย่าจง!
เผยจี้ฉือเองก็เห็นเช่นกัน จี้จือฮวนตบลงบนโต๊ะและลุกขึ้นทันที ก่อนจะแย่งเทียบเชิญนั้นมา จากนั้นก็หิ้วคอเสื้อของเฉินไคชุนและลากตัวออกไป พร้อมกับสีหน้าที่ไร้อารมณ์
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงขึ้นทันที
.
.
.