ตอนที่ 122 สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของแคลร์

เดิมที่ซู่เจินก็ไม่ค่อยอยากกินข้าวกับแคลร์มากสักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากการที่เขาได้พบกับเธอโดยบังเอิญและเธอก็ค่อนข้างที่จะคาดหวังเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธเธอ ยิ่งไปกว่านั้นการได้กินข้าวกับสาวงามก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรอ ?

“ไปกันเถอะ” ซู่เจินเปิดประตูให้พร้อมกับเขยิบไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ แต่ทันใดนั้นชาวเฮติก็เดินกลับมาพร้อมกับของในมือ ทําให้เขาโบกมือไปที่ชาวเฮติเบา ๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็สตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“คุณอยากกินอะไรอย่างงั้นหรอ ?”

ในขณะที่ซู่เจินกําลังขับรถอยู่ เขาก็หันไปถามกับแคลร์

“ฉันกินอะไรก็ได้!” แคลร์ตอบขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินยิ้มและไม่ได้พูดต่อ เพราะว่าเขาได้ยินเสียงที่อยู่ภายในความคิดของเธอหมดแล้ว

“คือว่า…”

เมื่อเห็นว่าซู่เจินไม่ได้พูดอะไร แคลร์ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรขึ้นมา จนกระทั่งซู่เจินขับรถมาจอดในร้านอาหารตะวันตกแห่งหนึ่ง ทําให้แคลร์มองไปที่ซู่เจินด้วยความประหลาดใจและพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้จักร้านนี้ได้อย่างไร ? ฉันหมายความว่า อาหารของที่นี่มันอร่อยมาก และฉันก็อยากมาที่ร้านนี้นานมากแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเลย!”

“บางทีผมอาจจะได้ยินเสียงจากภายในจิตใจของคุณ ?”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่ตําแหน่งหัวใจของเธอ

ใบหน้าของแคลร์แดงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ลงรถพร้อมกับซู่เจิน

เมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็อดส่ายหัวขึ้นมาอย่างลับ ๆ ไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้มันยังเร็วก่อนไปจริง ๆ ที่เด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ จะเติบโตจนได้เต็มที่ เห็นได้ชัดว่าที่เขาหมายถึงก็คือ ปัญหาหัวใจของสาวน้อยแคลร์ ไม่ได้หมายถึงเรื่องอื่นเลยแม้แต่น้อย

และก็ดูเหมือนว่าเขาจะทิ้งความประทับใจเอาไว้ภายในจิตใจของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แคลร์ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน ดังนั้นเธอจะมีควา มรู้สึกชอบพอเกี่ยวกับตัวของเขามันก็ไม่แปลก เพราะว่าเขาเป็นคนที่ช่วยเธอเอาไว้จริงไหม ?

หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปในร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เข้าใจได้ในทันทีเลยว่าทําไมแคลร์ถึงได้อยากมาที่นี่

เพราะว่าร้านอาหารแห่งนี้มันเป็นร้านอาหารที่มีไว้สําหรับให้คู่รักมาดินเนอร์ด้วยกัน โดยดูได้จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก

และหลังจากที่พวกเขานั่งลง พลังงานเสิร์ฟก็รีบยื่นเมนูมาให้กับซูเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินก็ส่งต่อมั่นให้แคลร์อีกที แคลร์มองดูไปที่มันและลังเลว่าจะสั่งอะไรดี เพราะว่าราคาอาหารของที่นี่มันก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลย แถมแคลร์ก็อายที่จะต้องใช้เงินของซู่เจินจ่าย ดังนั้นเธอจึงเลือกไม่ได้สักทีว่าจะสั่งอะไรดี

“งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้ก็แล้วกัน”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดชื่ออาหารขึ้นมาสองสามอย่างกับพนักงานเสิร์ฟ

แคลร์มองไปที่ซู่เจินด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “คุณได้ยินเสียงที่อยู่ในใจของฉันจริง ๆ อย่างงั้นหรอ ?”

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

แคลร์รอจนกว่าพนักงานเสิร์ฟจะเดินจากไปและเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของคุณใช่ไหม ? มันเหมือนกับความสามารถของฉันก่อนหน้านี้หรือเปล่า ?”

ซู่เจินยิ้มและไม่ได้พูดตอบคําถามของเธอ แต่เขากับพูดอย่างอื่นขึ้นมาแทนว่า “อันที่จริง คุณไม่จําเป็นที่จะต้องตอบแทนผมเลย ถึงแม้ว่าผมจะช่วยแก้ปัญหาให้กับคุณ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ดังนั้นคุณควรที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแบบที่คุณต้องการได้แล้ว เพราะหลังจากที่ผมรับประทานกับคุณเสร็จแล้ว … ผมจะออกไปจากที่นี่ทันที”

“คุณจะไปไหนอย่างงั้นหรอ ?”

“นิวยอร์ค!”

หลังจากที่ซู่เจินกับแคลร์ถามคําถามกันหมดแล้ว แคลร์ก็เงียบไปพร้อมกับท่าทางที่ดูหดหูเล็กน้อย ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา จนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟเอาอาหารมาให้ แคลร์ก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย

พวกเขาใช้เวลาในการกินอาหารกันแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

และหลังจากที่ซู่เจินจ่ายบิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับแคลร์

“เอาไว้ค่อยเจอกันใหม่ แล้วคุณ .. จะกลับบ้านหรือไปที่โรงเรียนล่ะ ผมจะได้ไปส่งคุณก่อน ?” ซู่เจินถามหันไปถามกับแคลร์หลังจากที่พวกเขาเดินมาถึงที่รถ

“คุณ … อยู่กับฉันก่อนได้ไหม ?”

แคลร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปมองซูเงินและค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ซู่เจินมองไปที่เธอและยังไม่ได้ตอบในทันที เพราะเขารู้ว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่

ไปที่นั่นและทําอะไรต่อหลังจากนั้น!

ซึ่งซู่เจินก็รู้สึกแปลกใจไม่ใช่น้อย เพราะว่าเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแคลร์จะมีความคิดแบบนี้

แคลร์รู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และถ้าเกิดลองฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงหัวใจของเธอมันเต้นแรงมาก ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซู่เจินสามารถเดาสิ่งที่เธอคิดอยู่ได้หรือเปล่า ? แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้อย่างแน่นอน

“ขึ้นรถเถอะ!”

หลังจากนั้นไม่นาน ซู่เจินก็พูดขึ้นมา

แคลร์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับรีบขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว

การรอคอยแบบนี้เป็นสิ่งที่ทรมาณเธอเป็นอย่างมาก และถ้าเกิดว่าซู่เจินยังไม่พูดขึ้นมาอีก เธอคิดว่าเธอคงจะทนไม่ไหวอย่างแน่นอน

หลังจากที่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วซู่เจินก็ไม่ได้ถามเธอว่าจะไปไหน แต่เขากับสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งนี้ทําให้แคลร์รู้สึกประหม่าและสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าซู่เจินกําลังคิดอะไรอยู่ภายในจิตใจของเขากันแน่ และถ้าเกิดว่าเขารู้จริง ๆ ล่ะก็ว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ บวกกับการที่เขาขับรถออกไปแบบนี้ แสดงว่าเขาเห็นด้วยกับเธอแล้วใช่ไหม ?

เสียงความคิดอะไรต่าง ๆ นา ๆ ของแคลร์พุ่งเข้าสู่โสตประสาทของซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ทําให้ซู่เจินในตอนนี้ค่อนข้างที่จะรู้สึกลําบากใจเป็นอย่างมากและเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกของแมตต์ขึ้นมาแล้ว

การได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา มันค่อนข้างที่จะสร้างความรําคาญให้กับเขาเป็นอย่างมาก

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้ความสามารถนี้ในยามที่จะต้องใช้มันจริง ๆ จะดีกว่า!” ซู่เจินคิดขึ้นมาเงียบ ๆ ภายในจิตใจของเขา ซึ่งอย่างน้อยในตอนนี้เขาจะต้องรีบความคุมความสามารถนี้ให้ได้สมบูรณ์ ไม่งั้นมันจะสร้างภาระให้กับเขามากเกินไป

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถก็ค่อย ๆ หยุดลงที่ปาในแถบชานเมือง ป่าที่นี่มันทึบ และห่างไกลจากผู้คนเป็นอย่างมาก และก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครมาที่นี่สักเท่าไหร่

หลังจากนั้นพวกเขาก็ลงมาจากรถ ซู่เจินเหลือบมองไปที่แคลร์พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณนําทางเลย”

“อืม!”

แคลร์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และไม่ได้ถามกับซู่เจินว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะเธอรู้แล้วล่ะ ว่าซู่เจินจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้

หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในปากันประมาณสิบนาที ทันใดนั้นทิวทัศน์เบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างว่างเปล่าแห่งนี้ และเหนือพื้นดินขึ้นไป ห้าถึงหกเมตรก็มีบ้านต้นไม้อยู่หลังหนึ่ง

“คุณสร้างสิ่งนี้ด้วยตัวของคุณเองอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินหันไปถามกับแคลร์

แคลร์พยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “มันนานมากแล้วล่ะ และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่สําคัญกับฉันมาก”

“ผมรู้!” เพราะถ้าเกิดว่าที่นี่มันไม่สําคัญจริง ๆ เธอก็คงจะไม่มาที่นี่อย่างแน่นอน

“ปกติฉันจะปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้ฉันไม่อยากปืนขึ้นไปเลย”

“งั้นเดี๋ยวผมช่วยคุณเอง!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับโอบไปที่เอวของแคลร์ หลังจากนั้นร่างของเขาและแคลร์ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ

บ้านต้นไม้หลังนี้ไม่ค่อยใหญ่มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นความสูงมันก็พอดี ทําให้เขาไม่จําเป็นที่จะต้องก้มหัวเวลาเดิน ซึ่งด้านในมันก็เต็มด้วยไปข้าวของเครื่องใช้มากมาย ส่วนด้านนอกก็เต็มไปด้วยวิวอันสวยงาม

แคลร์เอาเบาะรองนั่งออกมาว่างให้ซู่เจิน เมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ค่อย ๆ นั่งลง หลังจากนั้น แคลร์ก็คุกเข่าลงต่อหน้าของซู่เจินพร้อมกับหายใจเข้าไปลึก ๆ และจ้องมองไปที่ซู่เจิน

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เธอกับคิดอยู่ภายในใจของเธออย่างเงียบ ๆ

เสียงความคิดของเธอมันดังก้องอยู่ภายในหัวของซู่เจิน มันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ

ทันใดนั้นซู่เจินก็จ้องมองไปที่แววตาของแคลร์ที่ยังมีความประหม่าอยู่ ทําให้เขาค่อย ๆ ยื่นมือออกมาพร้อมกับจับไปที่กระดุมเสื้อของเธอและค่อย ๆ แกะมันออกมาอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นไม่นานเสื้อผ้าแต่ละชิ้นก็ค่อย ๆ ถูกถอดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับแคลร์ที่ค่อย ๆ หลับตาลง

” ผมจะทําให้เบามือที่สุด … “