ตอนที่ 47 หม่อมฉันวางก้อนหินบนอกแล้วให้คนทุบได้
“ท่านอ๋องสาม พระชายา ข้าน้อยเข้ามาเพื่อเก็บจานเปล่าไปทำความสะอาดเพคะ” หลังจากซวงหวนกล่าวทักทายแล้ว นางก็เริ่มเก็บจานไปล้าง
หมี่ฉงเกิดความคิดขึ้น “หากเจ้าชนะ ข้าจะพาเจ้าไปหมิงเทาเยี่ยนอีกครา ฤดูใบไม้ร่วงกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ปูขนที่ร้านเป็นที่เลื่องชื่อเป็นสิ่งที่ต้องลิ้มลองในอาณาจักร แม้แต่อ๋องก็ยังต้องจองที่นั่งไว้ล่วงหน้า”
ปูขน! ฉินปู้เข่อไม่อาจขยับตัวได้
“พี่ชายสาม หม่อมฉันต้องเรียนแต่งบทกวี ร้องเพลงและเต้นรำหรือ หม่อมฉันควงกระบองไฟได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันเคยฝึกสิ่งนี้มาก่อน” ฉินปู้เข่อพูดแล้วเบ่งกล้ามเพื่อแสดงให้เห็นว่านางทำได้
นางไม่รู้วิธีแต่งบทกวีจริง ๆ ร้องเพลงไม่ได้ เต้นรำก็ไม่ได้ หากนางต้องการชนะก็ต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่นางถนัดเท่านั้น
“ลืมมันไปเถิด เจ้าควรซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแล้วกิน ให้ความสนใจกับภาพลักษณ์ของเจ้าและกินให้น้อยลงด้วย” หมี่ฉงตบหน้าผากของตนเองอย่างเงียบ ๆ แล้วเดินออกจากห้องด้วยท่าทางเหยียดหยาม
“พี่ชายสาม อย่าเพิ่งไปเพคะ พี่ชายสาม หม่อมฉันยังสามารถแสดงวางก้อนหินไว้บนอกแล้วให้คนทุบได้ด้วยนะเพคะ!” ฉินปู้เข่อเห็นว่าเขากำลังจะจากไปจึงตบหน้าอกตัวเองเสียงดัง ‘แปะ แปะ’ “พี่สาม หม่อมฉันแน่ใจว่าจะสามารถชนะการแสดงครั้งนี้ได้…พี่ชายสาม…”
ในวันต้นฤดูใบไม้ร่วง บรรดาขุนนางมีชื่อเสียงที่ได้รับคำเชิญจากเมืองหลวงต่างก็รีบไปยังพระราชวัง พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวที่มีวัยเหมาะสม
อ๋องจั่วเสียนผู้นี้เป็นพระอนุชาองค์สุดท้องของฮ่องเต้ หลังจากเดินทางไปสู้รบที่ต่างแคว้นมาหลายปี อายุของเขาก็ 30 ปีแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน การกลับมาอย่างมีชัยครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมาอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานาน
ฮองเฮาและฮ่องเต้ทรงกังวลเรื่องการแต่งงานของเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่งานเลี้ยงในพระราชวังครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
เหล่าครอบครัวชนชั้นสูงล้วนเข้าใจดีว่างานนี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้คัดเลือกพระชายาของอ๋องจั่วเสียน ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงอดไม่ได้ที่จะพาลูกสาวในวัยเดียวกับเขามาด้วย เพราะหวังว่าจะได้รับโอกาส ‘หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย’
เมื่อนางเข้าไปในรถม้า ฉินปู้เข่อก็หวนนึกถึงจุมพิตแรกของตนขึ้นมาทันที นางเลือกที่นั่งที่ห่างไกลจากหมี่โม่หรู่แล้วนั่งอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นว่าเขาหลับตาลง นางจึงคลายความกังวลใจ
“หม่อมฉันจำเป็นต้องทำการแสดงต่อหน้าท่านอ๋องผู้นั้นหรือไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อเอ่ยถามด้วยความลังเล
หมี่โม่หรู่ลืมตาขึ้นก่อนจะเหลือบมองฉินปู้เข่อแล้วตอบเสียงเบาว่า “หากเป็นการแสดงวางก้อนหินบนอกของเจ้าแล้วให้คนทุบ หรืออะไรทำนองนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแสดง”
“โอ้” ฉินปู้เข่อถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหวังเรื่องปูขนแล้ว
นางยักไหล่แล้วยกม่านรถม้าขึ้นเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มีแถวยาวอยู่ที่ประตูวัง ทหารเฝ้ายามหลายคนที่ประตูพระราชวังกำลังตรวจดูรถม้าแต่ละคันอย่างถี่ถ้วน
“หากเจ้าต้องการกินปูขน ข้าสามารถขอให้พ่อครัวจากหมิงเทาเยี่ยนอันเลื่องชื่อมาทำให้เจ้ากินได้”
ราวกับว่าเขารู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ หมี่โม่หรู่ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างอยู่นาง เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวของนางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนนาง
จู่ ๆ ฉินปู้เข่อก็เงยหน้าขึ้นแล้วบังเอิญสบตากับเขา เมื่อสบตากัน ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าว
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ไม่รู้ว่าหัวใจของใครเต้นแรง
หมี่โม่หรู่ยกยิ้มกรุ้มกริ่ม นางน่ารักและขี้อายมาก
ขณะที่เขากำลังจะก้าวต่อไป ฉินปู้เข่อก็ขยับถอยหลังแล้วชี้ไปที่เก้าอี้รถเข็นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านอ๋อง รีบนั่งลงโดยเร็วเถิดเพคะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในรถม้าแล้วแต่ก็อย่าได้ประมาทเลยเพคะ”
“อืม” หมี่โม่หรู่ยกมือเรียวสวยของเขาออกจากหัวของนางด้วยความเขินอาย สตรีผู้นี้เข้าใจอะไรยากเสียจริง บัดนี้นางควรจะโอบเอวเขาหรืออะไรประมาณนี้ไม่ใช่หรือ
เมื่อเขากลับไปนั่งรถเข็นได้สักพัก ชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนขันทีก็ก้าวเข้ามาพูดกับเขาจากนอกรถม้า
“ท่านอ๋องหลี่ชิน พระชายาหลี่ชิน อ๋องจั่วเสียนแจ้งว่าพระองค์ไม่สะดวก ดังนั้นท่านจึงสามารถตามคนรับใช้ไปเข้าทางประตูเซวียนอู่ทางด้านซ้ายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของเสด็จอาเก้า” หมี่โม่หรู่ตอบด้วยเสียงต่ำ แล้วรถม้าประจำตำหนักของอ๋องหลี่ชินก็เคลื่อนไปตามคำแนะนำของขันทีแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูเซวียนอู่
บรรยากาศในรถม้าเริ่มเคร่งขรึม
ฉินปู้เข่อเหลือบมองหน้าหมี่โม่หรู่แล้วก็เห็นว่าเขายังคงไม่แสดงท่าทีใด ๆ แต่นิ้วของเขาบนเก้าอี้รถเข็นเกร็งเล็กน้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วนางก็กระซิบเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีความบาดหมางกับอ๋องจั่วเสียนผู้นี้หรือเพคะ?!”
…………………………………………………………………………..