บทที่ 48 งานเลี้ยงในพระราชวัง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 48 งานเลี้ยงในพระราชวัง

“ไม่” หมี่โม่หรู่กลอกตามองนาง และนางก็ไม่กล้าถามเขาต่อ

นางต้องการจะถามว่า ความสัมพันธ์ของเขากับอ๋องจั่วเสียนเป็นอย่างไร เหตุใดอ๋องจั่วเสียนจึงเชิญนางเพียงลำพัง

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ต้องการจะตอบ ฉินปู้เข่อก็ถอยกลับไปนั่งแล้วส่ายหัว

อารมณ์ของอ๋องผู้นี้คล้ายอิสตรี มันเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกล่วงหน้า

หลังจากเข้าประตูพระราชวังมาแล้ว ฉินปู้เข่อก็เข็นหมี่โม่หรู่ออกจากรถม้าไปยังโถงฉางอานตามคำแนะนำของข้าราชบริพารในพระราชวัง

“ตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อไปหาเสด็จพ่อและฮองเฮาก่อน จากนั้นเจ้ากับซวงหวนค่อยไปยังโถงทิศตะวันตก” หมี่โม่หรู่อธิบายเบา ๆ

โถงฉางอานเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์ใช้จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ บุรุษอยู่ในโถงทิศตะวันออก ส่วนสตรีอยู่ในโถงทิศตะวันตก และผู้อาวุโสเช่น ฮ่องเต้ ฮองเฮาและข้าราชบริพารคนสำคัญจะอยู่ในห้องโถงใหญ่

“เพคะ” ฉินปู้เข่ออดกลั้นหายใจไม่ได้ นางเก็บมือไว้ข้างหน้าแล้วย่างเท้าดอกบัวแช่มช้า ใบหน้าอันงดงามเผยรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน

หมี่โม่หรู่เหลือบมองนาง เขาคิดในใจว่าแม้ว่าสาวน้อยผู้นี้จะไม่ได้ถูกฝึกฝนในตำหนักตลอดทั้งวัน แต่นางก็ค่อนข้างวางตัวได้ดีเมื่อจำเป็น

เนื่องจากงานเลี้ยงในวังนี้มีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกพระชายาของอ๋องจั่วเสียน สตรีทุกคนที่มีตำแหน่งสูงกว่านางสนมจึงย่อมได้รับเชิญให้เข้าร่วม ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อให้ช่วยเลือกสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงที่เหมาะสม และดูว่าผู้ใดจะมีคุณสมบัติทั้งมีพรสวรรค์และมีรูปลักษณ์งดงามพอที่จะอวดโฉมต่อหน้าอ๋องจั่วเสียนได้

หลังจากที่หมี่โม่หรู่กับฉินปู้เข่อคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว พวกเขาก็หันไปคำนับพระสนมเสียนผินที่อยู่ด้านข้าง

พระสนมเสียนผินพยักหน้าเบา ๆ ให้ทั้งสองคน จากนั้นนางกำนัลฝูหลิงที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นกล่องผ้าสี่เหลี่ยมออกมา

“คราวที่แล้วพระชายารีบจากไป ส่วนครั้งนี้ข้าไม่มีเวลาเตรียมตัวสำหรับพิธีการมากนัก ข้าจึงเตรียมของเล็กน้อยมาให้ หวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจ”

เดิมทีพระสนมเสียนผินคลางแคลงใจเกี่ยวกับเจตนาของฉินปู้เข่อ แต่หลังจากเห็นท่าทีกังวลใจของนางเมื่อได้ยินว่าหมี่โม่หรู่จะถูกลงโทษ และการกระทำของนางในตำหนักหยางซิน นางก็มองฉินปู้เข่อที่ได้แต่งงานอย่างฉาบฉวยผู้นี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

หมี่โม่หรู่โค้งคำนับแสดงความขอบคุณ “ขอบพระคุณเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินปู้เข่อขอบคุณนางเช่นกัน แต่นางมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบแม่และลูกชายของหมี่โม่หรู่กับพระสนมเสียนผิน

ในวันนั้นนางเห็นสีหน้าวิตกกังวลของพระสนมเสียนผินอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายพระสนมเสียนผินก็ไม่ได้ไปที่ตำหนักหยางซินเพื่อวิงวอนฮ่องเต้ต้าเซี่ย

หมี่โม่หรู่ไม่ได้ไปเยี่ยมพระสนมเสียนผินในวันนั้น และแม้แต่ในเวลานี้ ท่าทีแบบแม่และลูกชายของพวกเขาก็สุภาพพอที่จะทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกอึดอัด

นางยืนขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อเอื้อมมือไปหยิบกล่องผ้าในมือของฝูหลิง ทันทีที่นางวางมือลงสัมผัสกล่องผ้า กลิ่นแปลกประหลาดก็ลอยเข้ามาในจมูกของนาง

ฉินปู้เข่อสัมผัสได้ถึงออร่าราวกับได้จับอะไรบางอย่าง

ครั้งสุดท้ายที่นางไปทำความเคารพพระสนมเสียนผิง นางถูกหยุดไว้ที่ขั้นบันไดก่อนจะขึ้นไปได้ แต่คราวนี้ไม่มีขั้นบันได นางเดินไปเพียงระยะ 3 เมตรก็ถึงตัวพระสนมเสียนผิงแล้ว บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่นางไม่ขอความเมตตาอย่างไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล

“ขอบพระคุณเสด็จแม่เพคะ” ฉินปู้เข่อยกยิ้มแล้วเปิดกล่องผ้า ดวงตาคู่งามของนางกะพริบหลังจากเห็นสิ่งของในกล่องผ้า “ว้าว สร้อยข้อมือหยกนี้ช่างงดงามเสียจริง หม่อมฉันชอบมากเพคะ”

ฉินปู้เข่อกล่าวก่อนจะสวมสร้อยข้อมือหยกลงบนข้อมือของนาง ก่อนจะโบกมืออวดหมี่โม่หรู่ราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นใหม่แล้วขอคำชม “ท่านอ๋องว่ามันงดงามหรือไม่เพคะ เหมาะกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”

“งดงามมาก ของขวัญที่เสด็จแม่สามีเลือกให้นั้นดีนัก” เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง หมี่โม่หรู่ก็ขมวดคิ้วพลางยกยิ้มเล็กน้อยบนริมฝีปากของเขา

พระสนมเสียนผิงไม่คิดว่านางจะเปิดกล่องผ้าทันที สีหน้าของนางเย็นชาแต่เมื่อเห็นว่านางมีความสุขมาก นางก็เลิกคิ้วแล้วแสดงสีหน้าสงบ

“ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮาเถิด” หมี่ฉงเข้ามาในห้องโถงจากด้านนอกห้องโถงเพื่อเข้าเฝ้า

จากนั้นเขาก็ไปหาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพื่อทักทายนาง

เมื่อเขากำลังจะไปหาหมี่โม่หรู่ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เหลือบมองมาที่เขา “ฉงเอ๋อร์!”

หมี่ฉงหันหน้าไปยกยิ้มให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแล้วตรงไปหานาง “คำนับฮองเฮาและพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อฉินปู้เข่อเห็นเขามา นางจึงโบกสร้อยข้อมือไปทางเขาอย่างภาคภูมิใจแล้วกล่าวว่า “พี่ชายสาม ท่านแม่สามีมอบสิ่งนี้ให้แก่หม่อมฉันเพคะ”

ผู้คนเข้ามาเข้าเฝ้าในโถงมากขึ้นเรื่อย ๆ หมี่ฉงกระซิบว่า “กระหม่อมจะเข็นน้องชายเจ็ดออกไปก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” พระสนมเสียนผิงพยักหน้าอย่างมีมารยาท เมื่อนางเงยศีรษะขึ้นมอง เสียงอันแผ่วเบาก็ดังขึ้น “แม่นางเข่อมีนิสัยราวกับเด็ก เสด็จแม่โปรดอย่าได้ตำหนินางเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นพวกเขาเดินออกจากประตูพระราชวังไปแล้ว ฝูหลิงก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “พระสนมเพคะ พระชายาชอบของขวัญที่พระสนมเตรียมไว้มากเพคะ”

“ใช่แล้ว” พระสนมเสียนผิงมองออกไปข้างนอกอีกครั้งแล้วรำพึงกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าโม่หรู่จะพึงใจพระชายาผู้นี้นัก”

นางไม่เคยเห็นหมี่โม่หรู่เต็มใจจะพูดอะไรกับใครมาทั้งปี

อีกด้านหนึ่งพระสนมเฉินกุ้ยเฟิยเองก็ขมวดคิ้ว เมื่อนางคิดว่าหมี่ฉงวิ่งไปอยู่ที่ตำหนักของอ๋องหลี่ชินทั้งวัน นางก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่พักหนึ่ง

หลังจากที่ฉินปู้เข่อและหมี่โม่หรู่แยกจากกันแล้ว นางก็ไปยังโถงทิศตะวันตกกับซวงหวน

มีสตรีผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่ในห้องโถงราว 5 หรือ 6 คน ทันทีที่พวกนางเห็นนางเข้ามาในห้องโถง ทุกคนต่างก็มองมาที่นาง แต่ดวงตาส่วนใหญ่ดูหมิ่นและเหยียดหยาม

“คำนับพระชายาหลี่ชินเพคะ” สตรีสองสามคนเป็นผู้นำในการทักทาย

ฉินปู้เข่อเหลือบมองใบหน้าของคนหลายคน พลางพยายามนึกถึงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม

สตรีในชุดสีเขียวคือฉาเหอ ลูกสาวของมหาราชครูฉาเหยียน

สตรีในชุดเหลืองคือลู่ชูอี้ ลูกสาวของราชองครักษ์ลู่จ่าน นางจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นสตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในต้าเซี่ย และเนื่องจากลู่ชูอี้ผู้นี้พ่ายแพ้ทักษะการเล่นพิณของนาง จึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นสตรีผู้นี้มีความสามารถเป็นอันดับสองรองจากฉินปู้เข่อ

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงินที่กำลังยืนอยู่อีกฟากหนึ่งพลางยกยิ้มให้นางอย่างอบอุ่นคือจานหานชิว ลูกสาวของปราชญ์มหาสำนักจานซื่อเจีย ซึ่งนางเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของร่างเดิม

ฉินปู้เข่อกำลังจะพูด แต่แล้วเสียงประหลาดที่คาดเดาไม่ได้ก็ดังขึ้น

……………………………………………………………………