ตอนที่ 54 โฉมงามประดิษฐ์
หลินเซวียนผู้เป็นพี่สาวกลับมาถึงบ้านก่อนวันตรุษจีน
ทันทีที่เธอกลับถึงบ้านก็จ้องหลินเยวียนไม่วางตา “ตอนที่พี่กลับมาบ้าน น้องผู้หญิงคนข้างๆ ฮัมเพลงสีแดงสีเขียวสีฟ้าอยู่ครึ่งชั่วโมง…”
“แล้ว?”
หลินเยวียนไม่เข้าใจอยู่บ้าง
หลินเซวียนยิ้มตาหยียื่นมือออกมา “เพลงของน้องชายทรมานพี่มาตลอดทาง ยังไงก็ต้องจ่ายค่าเสียหายทางจิตใจมาสักหน่อยแล้วล่ะมั้ง”
“งั้นผมส่งซองแดงแล้วกัน”
หลินเยวียนส่งเงินหนึ่งหมื่นหยวนในกลุ่มแช็ตครอบครัว กลุ่มแช็ตครอบครัวมีแม่ หลินเยวียน หลินเหยา และหลินเซวียนรวมสี่คน ดังนั้นหลินเยวียนจึงแบ่งเป็นสี่ซอง
สองวินาทีผ่านไป
แบ่งซองแดงเสร็จสรรพ
แต่ทันทีที่หลินเซวียนเปิดออก ใบหน้าก็มืดครึ้มขึ้นมา “ซองแดงหนึ่งหมื่นหยวนแบ่งสี่คน เหยาเหยาคนโชคดีได้ไปแล้วหกพันหยวน?”
เธอกอดหลินเหยาไว้แน่น เพื่อดูดซับความโชคดี!
หลินเยวียนครุ่นคิด เขายื่นมือออกไปบีบแก้มหลินเหยา จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องไปด้วยท่าทางพิลึกกึกกือ
“ทำอะไรของเขาน่ะ”
หลินเซวียนกับหลินเหยามองหน้ากัน
ถึงแม้ว่าจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจและเข้าใจหลินเยวียนมากพอ แต่ท่าทางที่เขาบีบแก้มน้องสาวเสร็จแล้วก็พุ่งเข้าห้องไปทันทีนั้นออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย
“ระบบ รีบเปิดกล่องสมบัติหนึ่งใบเร็ว!”
หลินเยวียนกลับมาถึงห้องพร้อมกับเสียงกู่ร้องในใจ เพิ่งจะจับหน้าหลินเหยามา ตอนนี้โชคดีที่ติดมือมาคงยังไม่สลายไป
กล่องสมบัติเปิดออก
ระบบแจ้งเตือนว่า [ยินดีด้วยคุณได้รับเรื่องสั้นห้าเรื่อง]
“เรื่องสั้นห้าเรื่อง?”
ชั่วขณะนั้นหลินเยวียนก็รู้สึกกระหยิ่มใจขึ้นมา
ถึงแม้จะเป็นเรื่องสั้น แต่หลินเยวียนก็ชอบมาก!
เป็นเพราะระบบต้องการให้หลินเยวียนพิมพ์เอง ฉะนั้นเขาเลยไม่อยากเขียนเรื่องยาว
นอกจากนั้น ข้อดีของเรื่องสั้นก็คือผู้อ่านใช้เวลาไม่นานก็อ่านจบ ดังนั้นความเร็วในการเก็บเกี่ยวชื่อเสียงก็น่าจะมากกว่าอีกสักหน่อย
“ตีพิมพ์ยังไงเหรอ”
นี่เป็นคำถามที่หลินเยวียนขบคิดในเวลาต่อมา
ในตอนนั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกขึ้นมาได้ว่าสามารถโพสต์เรื่องสั้นในปู้ลั่วได้
ก่อนหน้านี้หยางเฟิงได้ช่วยตนยืนยันบัญชีในปู้ลั่วแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนั้นเรื่องก็ง่ายขึ้นมาแล้วละ ใช้บัญชีผู้ใช้ของฉู่ขวงโพสต์เรื่องสั้นพวกนี้ก็ได้
เขียนเรื่อง ‘โฉมงามประดิษฐ์’ ก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็มีไม่กี่พันตัวอักษร
ขอแนะนำก่อนแล้วกัน
ผลงานที่ชื่อว่าโฉมงามประดิษฐ์นั้นไม่อาจจัดว่าเป็นเรื่องสั้น น่าจะเป็นนิยายสั้นเสียมากกว่า ผู้แต่งมีชื่อว่าโฮชิ ชินอิจิ
โฮชิ ชินอิจิ
นักเขียนนิยายไซไฟสมัยใหม่ ได้รับการขนานนามว่าเจ้าพ่อนิยายไซไฟขนาดสั้น จุดเด่นของผลงานก็คือพล็อตเรื่องอันชาญฉลาด
อีกเรื่องที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ ชื่อของนักสืบคุโด ชินอิจิก็มาจากชื่อของเขานี่เอง
หลินเยวียนเปิดคอมพิวเตอร์ ล็อกอินเข้าปู้ลั่ว
สิ่งที่เรียกว่าปู้ลั่ว อันที่จริงก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับเวยปั๋วหรือเฟซบุ๊กในโลกเดิม
ถ้าจะถามว่าตรงไหนที่ต่างกันละก็ เห็นจะอยู่ที่ส่วนนิยายในปู้ลั่วดังมากทีเดียว
ผู้คนมากมายชอบโพสต์นิยายขนาดสั้นในปู้ลั่ว
โดยทั่วไปจะไม่มีใครโพสต์นิยายขนาดยาว
บัญชีผู้ใช้ในปู้ลั่วของหลินเยวียนชื่อว่า ‘ฉู่ขวง’ คำแนะนำอย่างเป็นทางการก็คือนักเขียนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส
หลินเยวียนเข้าไปในบัญชีแล้วถึงรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาตนไม่เคยมีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่เคยมีการโปรโมตใดในบัญชีผู้ใช้ของปู้ลั่ว แต่ก็มีคนติดตามหมื่นกว่าคนแล้ว
ด้านหลังยังมีข้อความอีกมากมาย ล้วนส่งมาจากแฟนคลับทั้งนั้น
ทว่าคำถามส่วนมากล้วนเกี่ยวข้องกับปรินซ์ออฟเทนนิส หรือไม่ก็เป็นคำยกย่องชื่นชมฉู่ขวง
หลินเยวียนไม่ได้ตอบ
เขาเปิดเซกชันนิยายทันที ก่อนจะเริ่มพิมพ์โฉมงามประดิษฐ์
[นี่คือหุ่นยนต์หญิงสาวยอดอัจฉริยะซึ่งถูกสร้างขึ้น ต่อให้หญิงสาวจะงามพิเลิศเฉิดฉันท์แค่ไหนก็ไม่อาจเทียบได้กับหญิงสาวแสนทันสมัยซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นคนนี้ เพราะได้รับจุดเด่นของสาวงามมาทั้งหมด ทำให้หุ่นยนต์หญิงสาวนี้กลายเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเธอมักจะวางมาด ไม่สนใจใคร ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ เพราะมีสาวสวยไม่น้อยที่ชอบหยิ่งทะนง ภูมิอกภูมิใจในตนเองมาก]
เขียนมาถึงตรงนี้
หลินเยวียนถาม “ระบบ นายบอกไม่ใช่เหรอว่าว่าจะเพิ่มความเร็วมือให้ฉัน”
ระบบตอบ “ใช่ไง”
หลินเยวียนเอ่ย “แล้วเพิ่มหรือยัง”
ระบบตอบ “โฮสต์ได้รับสกิลเปียโนระดับเชี่ยวชาญ ก็เป็นการเพิ่มความเร็วมืออย่างหนึ่งแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ…”
“คืออะไร”
“นายโสด”
“โสดแล้วยังไง”
ระบบ “…”
ดูท่าแล้ว คนที่เล่นมุกตลกไม่เป็น ก็มักจะฟังมุกตลกไม่ออกเหมือนกัน
แต่ว่าหลินเยวียนก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยก็แค่นั้น เขาพิมพ์ต๊อกแต๊กๆ ลงไปบนแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊ก […ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดในธุรกิจ มีบาร์แห่งหนึ่งซึ่งล้มละลายจนจวนเจียนจะปิดตัวลงเต็มที เถ้าแก่จึงทุ่มเงินผลิตหุ่นยนต์หญิงสาวทรงเสน่ห์ เพื่อเรียกลูกค้าโดยเฉพาะ]
ผ่านไปสิบห้านาที
หลินเยวียนกดปุ่มเอนเทอร์
เขาค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตนใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ก็เขียนโฉมงามประดิษฐ์เสร็จ
นิยายเรื่องนี้ยาวเกือบสามพันตัวอักษรเลยนะ!
เห็นทีความเร็วของตนนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้ แถมข้อดีของหลินเยวียนตอนเขียนเรื่องอยู่ที่เขาไม่ต้องขบคิดเรื่องราว
ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่บั่นทอนความเร็วในการพิมพ์มักจะไม่ใช่ความเร็วของมือ แต่เป็นความเร็วของสมอง
มีหลายครั้งที่ความเร็วในการประมวลผลพล็อตของสมองนั้นตามไม่ทัน พลอยให้นักเขียนเขียนเรื่องช้าไปด้วย
ถ้าหากไม่ต้องขบคิดเนื้อเรื่อง ต่อให้เป็นนักเขียนที่มือไม้ไม่คล่องแคล่ว หนึ่งวันก็คงเขียนได้สักหนึ่งหมื่นตัวอักษร
แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่ได้เงอะงะขนาดนั้น และยิ่งไม่ต้องเค้นสมองคิดเรื่อง ดังนั้นเขาจึงเขียนได้เร็วขนาดนี้
หลังจากเขียนเสร็จ
หลินเยวียนก็ไม่ได้คิดมาก โพสต์นิยายลงในปู้ลั่วทันที
ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเอง
เสียงของแม่ก็ดังมาจากนอกประตู “กินข้าวได้แล้ว!”
ไม่นานทุกคนในครอบครัวก็นั่งล้อมโต๊ะกินข้าว อาหารมื้อนี้หลากหลายมาก มีกับข้าวทั้งหมดห้าอย่าง แม่ง่วนทำอาหารอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน
แต่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องกินไม่หมด เพราะหลินเซวียนกลับมาแล้ว
ถึงแม้หลินเซวียนจะรูปร่างผอมเพรียว แต่ที่จริงแล้วเธอกินเก่งมาก และก็น่าจะเป็นเหตุผลที่แก้มยุ้ยๆ เหมือนเด็กของพี่ยังไม่หายไปสักที
ขณะกำลังกินข้าว
หลินเซวียนยังอวดกับน้องสาวว่า “ตอนนี้พี่รู้จักนักเขียนชื่อดังเยอะแยะเลย เธอสุ่มชื่อมาสักคนพี่อาจรู้จักก็ได้!”
“ฉู่ขวง”
น้องสาวก็ตามน้ำไป
หลินเซวียนกระแอม “ฉู่ขวงพี่รู้จักอยู่แล้ว…ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวด้วยกัน…แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนบริษัทเดียวกัน…ทุกคนก็เลยไม่คุ้นเคยกับเขาเท่าไหร่…”
ตัวตนของฉู่ขวงถูกเปิดเผยแล้วเหรอ
หลินเยวียนมองพี่สาวด้วยความเคลือบแคลงใจ
พี่สาวไม่ได้สังเกตเห็นสายตาระคนความสงสัยของหลินเยวียน จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างประดักประเดิด เอ่ยถามน้องสาวว่า “เธอก็อ่านปรินซ์ออฟเทนนิสเหรอ”
“เพื่อนหนูอ่าน”
หลินเหยาพูด “หนูต้องตั้งใจเรียน ไม่มีเวลามาอ่านนิยายหรอก”
น่าจะยังไม่ถูกเปิดเผยแฮะ
หลินเยวียนจึงเบาใจลงสักหน่อย
และในตอนนั้นเอง นิยายของหลินเยวียนก็ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการของปู้ลั่ว บัญชีผู้ใช้ในปู้ลั่วที่ติดตามฉู่ขวงก็ล้วนได้รับการแจ้งเตือน ‘ฉู่ขวงโพสต์นิยายขนาดสั้น’
…………………………………….