บทที่ 38 ที่รัก คุณยังหนาวอยู่ไหม

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ทำไมงั้นหรือ? เนื่องจากเรื่องแบบนั้นได้เกิดขึ้นกับเธอ ไม่มีใครสนใจเธอ แม้แต่พ่อแม่บุญธรรมของเธอที่ต้องการมอบเธอให้กับชายแก่วัยห้าสิบปี

แต่เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นตอนที่เธอหมดหวังที่สุดในชีวิต ไม่เพียงแต่ยอมรับเธอเข้ามาในชีวิต แต่ยังช่วยให้เธอพบความมั่นใจและทิศทางในการใช้ชีวิตอีกครั้ง

เขาจัดเตรียมหาครูให้เธอ ให้กำลังใจเธอ และบอกให้เธอรู้ว่าเธอไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ ราวกับว่าในความมืดมิดได้มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในทันใด และชั่วขณะหนึ่งก็ทำให้ร่างกายและจิตใจอบอุ่นขึ้นทันที

ดังนั้นแม้ว่าเธอจะรู้ว่ามีพิษ แต่เธอก็ไม่รีรอที่จะช่วยเขา

“เพราะว่าฉันไม่สามารถดูคุณตายต่อหน้าได้ยังไงล่ะ” หลานเสี่ยวถางหันศีรษะไปพูดกับสือมูเฉิน “อย่างไรก็ตามฉันไม่กลัวความตาย ได้ตายพร้อมกันยิ่งดี สิบแปดปีต่อมามันจะเป็น……”

สือมูเฉินลูบผมเปียกของเธอ “อืม ผมจะแต่งงานกับคุณอีกครั้งหลังจากสิบแปดปี และจะตอบแทนคุณอีกครั้ง”

ในความมืดมิดหลานเสี่ยวถางพยุงสือมูเฉินเดินไปยังทิศทางของบ้านพักด้วยความยากลำบาก

โชคดีที่สือมูเฉินมาที่นี่บ่อย ดังนั้นแม้ว่าโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องจะเปียกและไม่สามารถใช้เป็นไฟฉายได้ แต่ก็ไม่หลงทางและในที่สุดก็ได้เดินมาถึงที่ลำธาร

เนื่องจากฝนตกหนักทำให้ระดับน้ำในลำธารสูงขึ้น หลานเสี่ยวถางเดินไปที่ลำธารและ พูดกับสือมูเฉินว่า “มูเฉิน ฉันจะไปดูระดับน้ำว่าสูงแค่ไหน ถ้าไปไม่ง่ายฉันจะไปก่อนแล้วค่อยเรียกใครสักคนมาช่วยคุณ”

“ระวังตัวด้วยนะ” สือมูเฉินกล่าว “โคลนทั้งสองข้างของลำธารมันลื่น ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าดึงดัน รอให้คนเดินผ่านมาตอนรุ่งสางจะดีกว่า”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า“ฉันจะระวังให้ดี”

เธอเดินไปที่ลำธาร แล้วลองเดินไปข้างหน้าช้าๆ สองก้าว

ทันทีที่เธอก้าวขาเธอก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เนื่องจากกระแสน้ำไหลเชี่ยว เธอจึงยืนไม่ได้และตกลงไปในน้ำทันที

สือมูเฉินรู้สึกตึงเครียดเมื่อได้ยินคำอุทานของหลานเสี่ยวถาง เขาตะโกนเสียงดังออกไป “เสี่ยวถาง เกิดอะไรขึ้น?”

เขาเรียกเธออยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับของหลานเสี่ยวถาง

ชั่วครู่สือมูเฉินไม่สนใจสิ่งอื่น เขาเดินขากะเผลกตรงไปทางลำธาร

ช่วงเวลาที่หลานเสี่ยวถางตกลงไปในน้ำ เพราะความไม่ได้ตั้งสติเธอจึงได้สำลักน้ำโคลนเข้าไป

แต่เธอสามารถว่ายน้ำได้ ดังนั้นเธอจึงได้สติอย่างรวดเร็ว

เธอว่ายน้ำออกจากกระแสน้ำเชี่ยว จากนั้นเมื่อพบทิศทางที่ถูกต้องเธอจึงดิ้นรนที่จะขึ้นฝั่ง

โชคดีที่ลำธารไม่กว้าง หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเธอก็สามารถว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ด้วยความยากลำบาก

ทันทีที่ขึ้นฝั่งได้ก็ได้ยินเสียงร้องกังวลของสือมูเฉินจากอีกทางหนึ่ง หลานเสี่ยวถางขานตอบเขาอย่างรวดเร็ว แต่เพราะสำลักน้ำโคลนเข้าไปเสียงของเธอจึงแหบแห้ง

เมื่อสือมูเฉินได้ยินเสียงของเธอ เขาที่กำลังจะลงไปในน้ำก็ต้องหยุดชะงัก แล้วเคลื่อนตัวไปยังความมืดที่หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่

หลานเสี่ยวถางรีบวิ่งเข้าไปหาเขา เมื่อเธอมาอยู่ตรงหน้าสือมูเฉินก็โผล่เข้ากอดเธอทันที

เขาก้มศีรษะลงไปจูบเธอ ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย

เมื่อกี้เธอไม่รู้สึกอะไร แต่ในตอนนี้เธอมีความรู้สึกบางอย่างเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หลานเสี่ยวถางจึงกอดสือมูเฉินแน่นขึ้นและเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบสนองต่อรสจูบของเขา

เขาสอดลิ้นเข้าไปในปากของเธอจึงได้ลิ้มรสชาติแปลกๆ เขาอดไม่ได้ที่จะแตะหน้าผากของเธอแล้วถามว่า “เสี่ยวถาง คุณกินอะไรเข้าไป?”

หลานเสี่ยวถางรู้สึกเขินเล็กน้อย “อาจจะเป็นดินโคลน”

“งั้นพวกเราก็กินด้วยกันสิ!” สือมูเฉินพูดพร้อมกระชับแขนของเขาทันที เขาตวัดลิ้นเข้าไปในทุกพื้นที่ในปากของเธออย่างบ้าคลั่ง และกวาดทรายที่ยังไม่ได้อาเจียนออกจากปากของเธอ

หลังจากผ่านไปสักพักสือมูเฉินถึงปล่อยหลานเสี่ยวถาง เขาพาเธอไปนั่งที่ชายฝั่ง “เสี่ยวถาง พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับกันนะ อย่าเสี่ยงเลย”

“อืม” หลานเสี่ยวถางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ร่างกายที่เปียกโชกเธอจึงจามหลายครั้งติดต่อกันเมื่อลมพัดปลิวมา

“นั่งบนตักผม” สือมูเฉินสั่งเธอ

“คุณมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า ถ้าฉันนั่งทับมันจะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดของคุณ” หลานเสี่ยวถางยังพูดไม่จบ แต่ถูกอุ้มเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของสือมูเฉิน

เขากอดเธอแน่น วางคางบนบ่าของเธอ และเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นในหูของเธอ “ที่รัก คุณยังหนาวอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อถูกเขาเรียกแบบนี้หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหัวใจของเธอสั่นไหว หลังจากผ่านไปสองวินาทีเธอถึงตอบเขา “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”

สือมูเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวถาง คุณเคยมีเรื่องที่เสียใจทีหลังไหม?”

หลานเสี่ยวถางนึกถึงสือเพ่ยหลินแล้วตอบว่า “เรื่องเมื่อสองปีที่แล้วถือว่านับได้ไหม?”

สือมูเฉินพูดว่า “เรื่องนั้น ตอนนี้ผมได้เปลี่ยนมันไปพร้อมกับคุณแล้ว แต่ผมเคยทำเรื่องบางอย่างมาก่อน บางทีมันอาจไม่สามารถแก้ไขมันได้ตลอดชีวิตของผม…..”

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะถาม “เรื่องอะไรคะ?”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมทั้งตระกูลหลานและตระกูลสือถึงไม่พูดถึงแม่ของผม?” สือมูเฉินกล่าว

หลานเสี่ยวถางส่ายหัว “ฉันไม่รู้ ทำไมเหรอ?”

“เพราะแม่ของผมหนีออกจากบ้าน” เมื่อสือมูเฉินพูดขึ้น แขนที่กอดหลานเสี่ยวถางได้สั่นเล็กน้อย “เธอช่วยผมไว้ที่ใต้ต้นไม้ที่คุณไปเจอผม และได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนเกือบจะทิ้งผมไป หลังจากนั้นเธอหายจากอาการบาดเจ็บแล้วพวกเราก็กลับไปที่เมืองหนิงเฉิงด้วยกัน ครั้งหนึ่งตอนผมเลิกเรียนตอนบ่าย……”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งสือมูเฉินก็พูดขึ้นว่า “ผมเดินผ่านร้านเปียโนเห็นแม่และผู้ชายคนหนึ่งเล่นเปียโนในห้องกระจก เมื่อผมเดินเข้าไปผมเห็นชายคนนั้นยืนขึ้นราวกับว่ากำลังจูบ แม่ของผม ตอนนั้นผมตกใจมาก พอกลับมาถึงบ้านก็เล่าให้พ่อฟัง”

หลานเสี่ยวถางรู้สึกอึ้ง เป็นไปได้ไหมที่แม่ของสือมูเฉินจะทรยศต่อพ่อของเขา และทุกอย่างที่เกี่ยวกับแม่ของเขากลายเป็นข้อห้ามในภายหลัง?

สือมูเฉินพูดต่อว่า “แม่ของผมกลับบ้านไปในวันนั้นถูกพ่อผมที่โกรธจัดตบเข้าที่หน้า ทั้งสองคนทะเลาะกันครั้งใหญ่ แม่ของผมรีบออกจากบ้านไปในทันที หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย……”

หลานเสี่ยวถางไม่รู้ว่าจะให้กำลังใจเขาอย่างไร จึงฟังเขาพูดต่อ “หลังจากที่แม่ของผมหนีออกจากบ้านไป พ่อของผมเสียใจมาก เขาตามหาเธอทุกที่แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ต่อมาพ่อของผมได้พบเจอชายคนนั้นจึงถามเขาอย่างละเอียด เมื่อได้รู้ว่าเขาไม่ได้ต้องการจะจูบแม่ของผมเลย แต่เป็นการช่วยแม่ของผมเอาขนตาที่เข้าไปในตาออกมา และผู้ชายคนนั้นที่จริงก็คือลูกพี่ลูกน้องของแม่ผมที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ดังนั้นพ่อผมจึงไม่รู้จักเขา”

“ดังนั้น เพราะคำพูดของคุณเลยทำให้แม่ของคุณต้องหนีออกจากบ้านไปงั้นหรือ? แล้วเธอก็ไม่กลับมาอีกเลยใช่ไหม?” หลานเสี่ยวถางถาม

“ไม่ใช่แค่นั้น” สือมูเฉินพูดอย่างเจ็บปวด“พ่อของผมโทษตัวเองมาตลอดตั้งแต่รู้ความจริง เขาไม่เคยสูบบุหรี่เลย แต่หลังจากนั้นเขาได้สูบบุหรี่และดื่มเหล้าอย่างหนัก หนึ่งปีต่อมาเขาเสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งตับ”

เขาตัวสั่นและมีเสียงเศร้าในลำคอของเขา “เป็นผมเองที่ทำลายทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะผมพูดมั่วซั่ว พวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ และต้องไม่เหมือนตอนนี้อย่างแน่นอน……”

หลานเสี่ยวถางเข้าใจทันทีว่าทำไมผู้ใหญ่ของตระกูลสือถึงต้องห้ามสิ่งนี้ และทำไมสือมูเฉินถึงยืนตากฝนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นในวันนี้ด้วยความรู้สึกหดหู่และเหงา

เพราะเขาใช้ชีวิตด้วยความเสียใจและโทษตัวเองมานานกว่ายี่สิบปี

ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูดีของเขา มีความทุกข์ซ่อนอยู่ลึกๆ บางทีอาจเป็นครั้งแรกที่เขาพูดออกมา?

เธอกอดเขาแน่นขึ้น ตบหลังเขาเบาๆ แล้วพูดที่ข้างหูของเขาว่า “มูเฉิน ตอนนั้นคุณยังเด็กอยู่ และคุณคงไม่รู้ว่าคำพูดประโยคเดียวจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ใหญ่ได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ ตอนนี้พ่อของคุณไม่อยู่แล้ว แต่คุณยังคงเป็นลูกชายสุดที่รักของเขาตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเขารู้เขาคงไม่ต้องการให้คุณใช้ชีวิตอยู่ในตราบาปเช่นนี้ คุณก็รู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจในความผิดพลาดนี้ การที่คุณพยายามจะชดเชยมาหลายปีมันก็เพียงพอแล้ว”

“แต่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้” สือมูเฉินพูดอย่างเหนื่อยหน่าย

“ถึงแม้ว่าจะกลับไปไม่ได้ แต่ยังต้องเดินต่อไปข้างหน้าได้” หลานเสี่ยวถางชี้ไปที่ลานฝั่งตรงข้ามแล้วพูดว่า “เราจะมาที่นี่ทุกปีตราบเท่าที่เรามีเวลา บางทีอาจได้พบเจอกับแม่ของคุณก็ได้? เชื่อเถอะว่าเมื่อเจอเธอในตอนนั้น เธอคงพูดได้เต็มปากว่ายกโทษให้คุณไปนานแล้ว”

“เสี่ยวถาง คุณคิดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ไหม?” สือมูเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถาม

“แน่นอน เหมือนกับฉันที่เชื่อมาตลอดว่าพ่อแม่แท้ๆ ของฉันยังมีชีวิตอยู่” หลานเสี่ยวถางกล่าว

“เสี่ยวถาง คุณอยากรู้จริงๆ เหรอว่าพ่อแม่แท้ๆ ของคุณเป็นใคร?” สือมูเฉินจงใจเปลี่ยนจากเรื่องสนทนาที่น่าหดหู่

“ใช่ ฉันอยากรู้จริงๆ” หลานเสี่ยวถางพูดขณะครุ่นคิดเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ดังนั้นเธอจึงพูดว่า“ฉันพบหญิงชราคนหนึ่งในเมืองตอนเย็น เธอบอกว่าเธอได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ฉันหน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้นมากและเธอท้องด้วย ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นแม่ของฉันหรือเปล่า……”

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ? มีเบาะแสอะไรไหม?” สือมูเฉินถาม

“เธอให้ต่างหูกับคุณยายคนนั้นไว้ เมื่อขาของคุณหายดีแล้ว ไปดูด้วยกันไหม?”

“ได้สิ” สือมูเฉินพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวถาง ผมจะช่วยคุณตามหาพวกเขาอย่างถึงที่สุด”

“ขอบคุณนะคะ!” หลานเสี่ยวถางยิ้มอย่างมีความสุข

ในเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี สือมูเฉินมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เสี่ยวถาง ดูสิมันกำลังจะเช้าแล้ว”

“อืม” หลานเสี่ยวถางมองสือมูเฉินผ่านแสงสลัวๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเกรงว่านี่คือช่วงเวลาที่ฉันเห็นคุณจนตรอกที่สุด?”

สือมูเฉินหัวเราะเยาะตัวเอง “ช่างมันเถอะ! งั้นเมื่อตอนผมเจอคุณช่วงแรกล่ะ?”

หลานเสี่ยวถางยิ้มแล้วพูดว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันจนตรอกมากที่สุดเช่นกัน”

สือมูเฉินมองไปที่บ้านพักเล็กๆ ผ่านสายหมอกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงของเขางัวเงียเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เสมอกันแล้ว”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งแบกตะกร้าเดินผ่านมาอยู่ฝั่งตรงข้ามของลำธาร หลานเสี่ยวถางโบกมือให้คนคนนั้นอย่างรวดเร็ว “สวัสดีค่ะ พอดีพวกเราได้รับบาดเจ็บ คุณช่วยไปเรียกใครมาพยุงพวกเราข้ามลำธารหน่อยได้ไหมคะ? ”

ชายคนนั้นพยักหน้า “ได้สิครับ พวกคุณรอก่อนนะ ผมจะไปเรียกคนมาช่วย!”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ชายคนนั้นกลับมาพร้อมกับชาวบ้านอีกสองสามคน ชาวบ้านช่วยพยุงพวกเขาสองคนข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของลำธาร หลานเสี่ยวถางกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของสือมูเฉิน เธอไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ดังนั้นจึงตรงไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับทุกคนเพื่อพาสือมูเฉินไปฉีดยา

เมื่อเสร็จทุกอย่างกลับบ้านมาอาบน้ำก็เป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว

หลานเสี่ยวถางมองดูเกี๊ยวที่ทำไว้เมื่อวาน พบว่ามันแห้งหมดแล้วเธออดขำไม่ได้ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้กินเกี๊ยวซ่าแล้วล่ะ”

“เสี่ยวถาง ทานข้าวเสร็จแล้วไปบ้านคุณยายคนนั้นกันเถอะ”

“มูเฉิน แต่เท้าของคุณ……” แม้ว่าจะทำแผลและฉีดยาแล้ว แต่ก็ไม่สะดวกที่จะขยับตัว

“ไม่เป็นไร ในเมืองมีรถสามล้อ เราแค่จ้างมาสักคันก็ได้แล้ว เรื่องราวชีวิตของคุณสำคัญกว่า”