“สรุปก็คือปราชญ์ดาบมาหาฉัตรถึงที่ปราสาทธันเดอร์ดูม เพื่อที่จะสอนเคล็ดวิชาบางอย่างให้ฉัตร?”
คริสต์กล่าวออกมาด้วยสีหน้าอันสุดเหลือเชื่อ สีหน้าที่ต่างจากยามปกติอย่างสิ้นเชิง
อินกองตอบกลับราวกับไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร
“ใช่ครับ ผมพ้นวิกฤตมาได้ก็เพราะปราชญ์ดาบ”
อินกองอธิบายรวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดในที่ราบอินคาด้วย นอกจากเรื่องเกี่ยวกับปราชญ์ดาบแล้ว เรื่องเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็สำคัญไม่แพ้กัน
คริสต์ใช้ความคิดแยกแยะเรื่องเล่าของอินกองอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“ความคิดเราสะเปะสะปะไปหมดแล้ว เรื่องที่ปราสาทธันเดอร์ดูมนี่เรียกว่าร้ายแรงเลย… แต่เรายังคาใจกับการปรากฏตัวของปราชญ์ดาบมากกว่า”
หากตัดจอมมารออกไป ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกมารก็คือปราชญ์ดาบ
นั่นก็เพราะเรื่องของปีศาจอา… พี่สาวตนหนึ่งเป็นความลับที่รู้เพียงหยิบมือ
ผู้อาวุโสแห่งเผ่าสุร นักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกมาร ปราชญ์ดาบใช้ชีวิตปลีกวิเวกสันโดษ การพบกับปราชญ์ดาบจึงเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก
ทว่าโลกมารนับถือผู้ที่แข็งแกร่ง การที่ปราชญ์ดาบมีพลังมากพอจะพลิกขั้วอำนาจได้โดยง่าย ทำให้ตัวตนของปราชญ์ดาบไม่สามารถถูกมองข้าม นอกจากนี้ผู้ที่จงรักภักดีต่อปราชญ์ดาบก็ยังมีอยู่มากจนนับไม่ถ้วน
ถึงกระนั้นตำนานผู้นี้ก็ออกสู่โลกภายนอก และเพียงเพื่อพบกับฉัตร
ปราชญ์ดาบกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงออกมาแทรกแทรงเรื่องทางโลก?
หากปราชญ์ดาบหนุนหลังฉัตรในการสืบบัลลังค์จอมมาร ฉัตรก็จะขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งขั้วอำนาจที่สูสีกับอีกสามฝ่าย
‘นี่เป็นเรื่องที่เราไม่เคยคาดคิดจริงๆ’
คริสต์ได้แต่กล้ำกลืนคำนี้ไว้ เพราะคริสต์ทะนงตนว่าสามารถคำนวนทุกสิ่งทุกอย่างเอาในกำมือ
แต่เคทลินต่างออกไป อาจเรียกได้ว่านางยังคงใสซื่อไม่เปลี่ยนแปลง นางพุ่งความสนใจไปที่สภาพร่างกายของฉัตรมากกว่าเรื่องปราชญ์ดาบและการเมือง
“นั่นเป็นศัตรูที่อันตรายมาก เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เคทลินมองสำรวจอินกองและเฟลิซี อินกองยิ้มรับความเป็นห่วงที่แสดงออกจากแววตาของนาง
“ผมไม่เป็นอะไรครับ ปราชญ์ดาบโผล่มาช่วยไว้ทันก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้น”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เวลาเหมาะเหม็งมาก ยังกับโจบุแอบดูอยู่ข้างนอกรอโผล่เข้ามาตอนจังหวะวิกฤตเลยละ”
할아버지(ฮาราบอจิ) กับ 조부(โจบุ) เข้าใจว่ามันต่างกันตรงอันนึงเป็นทางการอันนึงเป็นกันเองมั้ง? น่าจะทำนองเดียว 아버지(อะบอจิ) กับ 아바 마마(อะบามามะ)
เฟลิซีเสริมด้วยเสียงตื่นเต้นเพื่อคลายกังวลให้กับเคทลิน
ซึ่งมันก็ได้ผล สายตาของเคทลินเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็นแทนก่อนนางจะถามเพิ่ม
“แล้วซอมบี้ดราก้อนใหญ่มากไหมคะ?”
“มากกกก”
“แล้วฉัตรก็ตบมันลงไปกองในครั้งเดียว”
เฟลิซีหัวเราะพลางแสดงท่าทางหวดมันในอากาศ นั่นทำให้ดวงตาเคทลินเป็นประกาย
“สุดยอด”
เคทลินพยายามมโนภาพที่อินกองต่อสู้กับซอมบี้ดราก้อนขึ้นในหัว คริสต์เอื้อมมือมากอดไหล่นางไว้แล้วหัวเราะออกมา
“ตอนนี้เอ็งก็กลายเป็นนักฆ่ามังกรแล้ว เจ๋งไปเลยมั้ยละ?”
“นั่นก็ต้องขอบคุณอาซคาลัน แล้วพวกผู้พิทักษ์ก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราด้วย”
อินกองพยายามตอบอย่างนอบน้อม แต่ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนใบหน้าปลื้มปิติไปได้ อินกองยังคงเป็นปุถุชนคนหนึ่ง คำชมลักษณะนี้ย่อมทำให้เขายินดี ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขามองย้อนกลับไปเขาก็อดปลาบปลื้มไม่ได้เช่นกัน
ก่อนสายตาคริสต์จะเปลี่ยนไป เขาเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้แล้วจ้องมองยังดวงตาของอินกอง
“มีอะไรหรอครับ?”
คริสต์ยักไหล่เล็กน้อย
“เปล่าก็แค่ จะเรียกว่าเป็นตาพายุดีมั้ย? ไม่ว่าเอ็งจะไปที่ไหนก็เหมือนจะเกิดเรื่องรอบตัวตลอด”
เทือกเขาจิชก้า วังจอมมาร ที่ราบอินคา วังจอมมารอีกครั้ง แล้วก็ที่ปราสาทธันเดอร์ดูม…
อย่างที่คารัคเคยว่าไว้ ไม่ว่าอินกองจะไปที่ไหนก็มักจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นตลอด
คริสต์พูดออกมาอย่างขบขัน
“อดคิดไม่ได้เลย อาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นี่ก็ได้ว่ามั้ย?”
ปักธงเรียบร้อย (☆ω☆)
“อปป้า”
เคทลินพูดขัดคริสต์ออกมา คริสต์ยักไหล่ก่อนจะตบบ่านาง
“ก็แค่หยอกเล่นนะ ล้อเล่นเอง”
‘ภาวนาให้เป็นแค่โจ๊กเถอะ นี่ถ้าคารัคอยู่ด้วยมันจะต้องบอกว่าสังหรณ์ใจไม่ดีแน่นอน’
ปักธงอีกฉึก! (★ω★)/
เสียงลมพัดขึ้นที่หูของอินกอง เขาหันไปมองร่างอันโปร่งแสงของกรีนวินด์ นางตามดูพวกคารัคและดูเหมือนนางเพิ่งจะกลับมา
“พวกคารัคทำอะไรกันอยู่บ้าง?”
คำถามของอินกองทำให้สีหน้าของกรีนวินด์เปลี่ยนในทันที
‘เท่าที่ข้าเห็น พวกนั้นก็แค่พูดคุยกันปกติ แต่บรรยากาศดูยังกับอยู่ในสนามรบ ข้าก็เลยหนีกลับมาที่นี่’
เจ้าออร์คคารัค
บางทีมันอาจจะเป็นพระเอกตัวจริงของจริง แต่มันกลับไม่ระแคะระคายในเรื่องพวกนี้เลย
ก่อนเคทลินจะถามขัดอินกองอย่างลังเล
“ฉัตร?”
“อ๋อ ผมแค่คุยกับกรีนวินด์นิดหน่อยครับ”
อินกองชี้ไปยังบริเวณที่กรีนวินด์ลอยตัวอยู่
“เธอหมายถึงเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคา? พวกเราจะพบนางได้ไหม?”
“เราก็อยากเห็นนางเช่นกัน”
“ฉันด้วย”
สิ้นเสียงเคทลินก็ตามมาด้วยเสียงจากคริสต์และเฟลิซี ทั้งหมดอยากจะเห็นกรีนวินด์ที่ร่ำลือ…
“กีวี่?”
‘ข้าไม่ได้ชื่อกีวี่ ข้าไม่ชอบที่นายท่านไม่ใส่ใจคำพูดข้า’
กรีนวินด์ทำหน้างอนขึ้นมาในทันที ทำให้อินกองเรียกชื่อของนาง
“กรีนวินด์”
‘เชอะ!’
กรีนวินด์ทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมปรากฏกายตามคำขอ
“ว้าว”
“เทพารักษ์แห่งที่ราบอินคา”
ทั้งคริสต์และเคทลินต่างก็เคยผ่านภารกิจปราบปรามคาเซียมาแล้ว เคทลินตื่นเต้นที่นางได้เห็นเทพารักษ์ แต่ความคิดของคริสต์ลึกซึ้งกว่านั้น
‘ไอ้หนูนี่ได้พวกเซนทอร์หนุนหลัง’
กรีนวินด์เป็นเทพพิทักษ์ของเหล่าเซนทอร์ แน่นอนว่าเหล่าเซนทอร์รวมถึงเฟโรเชียสอายย่อมสนับสนุนฉัตร
เขาไม่ใช่เจ้าชายกำมะลออีกต่อไป
นอกจากความสามารถส่วนตัวแล้ว บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปด้วย
ความสนใจจากจอมมาร วิชาที่ปราชญ์ดาบถ่ายทอด และเทพารักษ์คุ้มกาย… แม้จำนวนไม่มาก แต่ฉัตรก็ได้รับการสนับสนุนจากพลังที่ยากจะมองข้าม
คริสต์ลองคำนวนการสนับสนุนจากเผ่าไลแคนโทรปเสริมเข้าไป
‘แล้วก็…’
คริสต์ชำเลืองมองไปทางเฟลิซี พบกับดวงตาสีแดงของนางที่จ้องมองมาทางเขาเช่นกัน
ทั้งคู่สบตากันชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปมองกรีนวินด์ตามเสียงเรียกของเคทลิน
นั่นเพราะกรีนวินด์ได้หายตัวไป
“นางอายนะครับ”
‘ไม่ใช่ซะหน่อย’
กรีนวินด์พูดอ้างออกมาก่อนอินกองจะหันไปมองทางคริสต์ คริสต์ยักไหล่ก่อนจะพูดออกมา
“เอาเป็นว่า… พลังปริศนาพวกนั้น… บางทีต้นตอการก่อกบฎของเผ่าสายฟ้าชาดอาจจะมาจากพลังพวกนั้นก็ได้ และดูเหมือนจะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต”
สิ่งที่คริสต์คาใจมากที่สุดคือเรื่องมือหอกที่ระเบิดพลีชีพ
การตัดสินใจสละชีพโดยไม่ลังเลของมนุษย์ที่ทรงพลังขนาดนั้น… นี่หมายความว่าเขามาจากองค์กรที่เคร่งครัดหรือถือเป็นเรื่องธรรมดาของผู้แข็งแกร่ง?
“ก็นะมันช่วยไม่ได้ ที่นี่มันโลกมาร”
คำพูดของคริสต์ดูไม่ต่างไปจากปราชญ์ดาบสักเท่าไร
เป็นธรรมดาของโลกมารที่จะมีผู้คิดต่อต้านจอมมาร และในฐานะทายาทจอมมาร การพบปะกับบุคคลเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา
นั่นทำให้คริสต์ไม่ติดใจในเรื่องเหล่านี้สักเท่าไร เขากลับสนใจในบางเรื่องขึ้นมาแทน
“จอมมารแล้วก็ยังจะปราชญ์ดาบอีก… นี่ถ้าซิลวานรู้หมอนั่นต้องโวยวายแน่นอน”
คริสต์มีสีหน้ายินดีอย่างเห็นได้ชัด จากเรื่องที่อินกองเคยถามจากเคทลิน และการไม่ใช้คำเรียกให้เกียรติอย่างที่เขาเรียกเฟลิซี‘นูนิม’แล้ว อินกองพอจะเดาความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์และซิลวานได้ไม่ยาก
เฟลิซีถอนหายใจออกมาก่อนจะบ่นพึมพำ
“ซิลวานก็ใช้ดาบ แน่นอนว่าการเรียนรู้จากปราชญ์ดาบเรียกได้ว่าเป็นความฝัน”
แต่ความฝันก็เป็นได้แค่… ความฝัน
ยิ่งในตอนนี้ปราชญ์ดาบเป็นฝ่ายเข้าหาฉัตรเพื่อจะถ่ายทอดวิชาให้ด้วยแล้ว
“หืม บางทีปราชญ์ดาบอาจเป็นผู้ปกครองของฉัตร?”
คริสต์ทำท่าลูบเคราหลังจากได้ยินคำถามที่เฟลิซีพึมพำก่อนนางจะตอบออกมาเอง
“คงใช่”
“ทำไม? หรือว่านูนิมอยากจะเป็นผู้ปกครองซะเอง?”
เฟลิซีสะดุ้งก่อนจะกางพัดขึ้นปกปิดใบหน้าของนาง เคทลินไม่สนใจทั้งสองก่อนจะถามอินกอง
“ฉัตร แล้วปราชญ์ดาบสอนอะไรเธอบ้าง?”
“เราก็อยากรู้เหมือนกัน”
คริสต์เปลี่ยนความสนใจไปยังอินกองอยากรวดเร็ว เฟลิซีเชิดคางขึ้นก่อนจะพูดกระตุ้นยั่ว
“ถ้ารู้แล้วไม่กลัวตกใจกว่าเดิมรึไงนะ?”
สายตาของคริสต์กลับไปจ้องที่เฟลิซีอย่างรวดเร็ว และก็เป็นอีกครั้งที่นางกางพัดขึ้นมาปิดหน้า
อินกองยังคงจ้องมองเคทลินก่อนความคิดที่เขาเคยคิดเอาไว้จะผุดขึ้นมา
“เคทลินนูนะสนใจประลองกับผมไหมครับ?”
เคทลินตาโตขึ้นในทันที แต่นี่ต่างไปจากสายตา‘สุดยอด’อย่างทุกครั้ง นี่เป็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้น
“ได้เลย”
แล้วเคทลินก็ลุกจากเก้าอี้ของนางในทันที
&
“ฉันจะยอมให้ก่อนห้ากระบวนท่า”
อินกองและเคทลินยืนหันหน้าเข้าหากันในบริเวณที่โล่ง อินกองไม่ต้องการจะแสดงฝีมือมากมายนั่นทำให้ผู้ชมมีเพียงคริสต์และเฟลิซี
ห้ากระบวนท่า…
เป็นคำพูดที่เขาเคยพบเจอในนิยายอยู่บ่อยครั้ง และก็เป็นคำพูดที่เขาคุ้นเคย นั่นเพราะในการซ้อมกับเคทลินทุกครั้งที่ผ่านมา นางจะต่อให้เขาเช่นนี้เสมอ
นางจะยืนอยู่เฉยและคอยรับการโจมตีจากอินกอง
‘แค่ห้า… นี่แสดงว่าเราพัฒนาขึ้นมาก’
แรกเริ่มเดิมทีนางจะต่อให้เขาราว 20~30 กระบวนท่า แต่อินกองก็ไม่ต้องการจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แน่นอนว่าอินกองเก่งกาจขึ้นมาก หากจะนำไปเปรียบเทียบกับ นาย ก เหมือนแต่ก่อนก็คงจะไม่มีประโยชน์
แต่เขาเก่งขึ้นมาขนาดไหนกัน? เป็นคำถามที่อินกองก็นึกสงสัย เมื่อเทียบเขากับเหล่าทายาทจอมมารตนอื่นรวมถึงเคทลินแล้ว เขาต้องการที่จะรับรู้จุดยืนของเขาว่าอยู่ที่ระดับไหน
‘ลองดูซักตั้งละวะ’
อินกองไม่คิดจะเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น ยังไงเสียเคทลินก็ยินยอมที่จะประมือกับเขา
‘เอาละเริ่มจากไอศวรรย์ราชันสุร’
ลมหายใจของเขาเปลี่ยนไป ไอลมปราณพวยพุ่งขึ้นทั่วร่างดั่งเปลวเพลิง
เคทลินและคริสต์แปลกใจกับฉากตรงหน้าเล็กน้อย แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด อินกองยังเหลือกลยุทธในการเพิ่มพลังให้ตนเองอยู่
พรแห่งสายลมขั้น2 ทักษะที่เขาได้รับจากกรีนวินด์
กระตุ้นขั้น1 อีกหนึ่งทักษะที่เขาได้รับจากดาฟเน่
สายลมจากกรีนวินด์ลอยอยู่รอบฝ่าเท้าของเขา เพิ่มพลังในการเคลื่อนที่ขึ้นอีกมาก
และยังเหลืออีกหนึ่ง
‘โลหิตมังกร!’
พลังของร่างมังกรจำแลงที่เขาได้รับหลังกลืนแก่นมังกรของอันเคล
แม้จะยังไม่ได้ใช้พสุธากัมปนาทหรือไวท์อีเกิ้ล พลังในการต่อสู้ของอินกองก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ลมปราณพวยพุ่งไปรอบบริเวณ สายลมพัดกรรโชกราวกับตะโกนคำรามร้อง
อินกองหายใจอย่างรุนแรง เขาตั้งกระบวนท่าของเคล็ดไอศวรรย์พลางจ้องมองไปยังเคทลิน เคทลินก็รีบตั้งกระบวนท่ารับเช่นกันหากแต่สีหน้าของนางดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นสีหน้าเช่นเดียวกับตอนที่อินกองขอให้นางถล่มหน้าผาด้วยมือเปล่า
ทำไมกัน?
ก่อนเฟลิซีจะทุบหลังอินกองอย่างแรง
“ฉัตร ไอ้เด็กบ้า! นี่มันแค่การประลองไม่ใช่ไง? หรือเธอคิดจะฆ่าเคทลินในห้ากระบวนท่า?”
“ไม่ต้องต่ออะไรหรอกเคท ทุ่มพลังทั้งหมดไปเลย”
คริสต์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน นัยน์ตาของเขาดูลังเล ไม่เหลือแววขี้เล่นอีกต่อไป
“แต่ว่า…”
เคทลินหันมามองอินกองก่อนจะกลืนคำพูดไว้ อินกองเข้าใจนาง นั่นเพราะนางรักษาคำพูดเสมอ
อินกองยังคงตั้งกระบวนท่าของเขาไว้พลางพูดขอร้องเคทลินอย่างจริงจัง
“ผมก็ขอเหมือนกันครับ ผมอยากรู้ระดับความสามารถของตัวเอง”
เป็นคำที่ออกมาจากใจจริง เขาต้องการรู้ระดับของตัวเองมากกว่าได้รับคำสรรเสริญเยินยอ
มือหอกนิรนาม
หากไม่ใช่เพราะปราชญ์ดาบ แน่นอนว่าเขาย่อมตายไปแล้ว
โอมาเอะวา โม ชินเดรุ! หน่านี้?!
อินกอง เฟลิซี คารัค กัมมะ ดาฟเน่ เดเลีย พวกเขาล้วนได้ล้มตายกันหมดแน่ แม้กระทั้งกรีนวินด์ก็อาจดับสูญ
เขาต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปกว่านี้ มากพอที่จะต่อกรกับแซเฟียร์!
เคทลินพยักหน้าพลางเค้นลมปราณของนาง
ลมปราณสีน้ำเงินเข้มจนออกดำ
ลมหายใจของทั้งสองพ่นเป็นไอพลังออกมา เคทลินกำหมัดของนางแล้วพุ่งกระโจนเข้าหาอินกอง
การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วดุจสายฟ้า เป็นความเร็วในชั่วเสี้ยววินาที แต่อินกองในตอนนี้สามารถที่จะมองทันการเคลื่อนไหวของนางได้ เขากางมือออกเข้ารับการพุ่งโจมตีของนาง
ประกาศิตจิตสุร – ภูผา
กระบวนท่าที่ได้รับถ่ายทอดจากปราชญ์ดาบ
ราวกับกระจกที่สะท้อนเงา การเคลื่อนมือของอินกองก่อให้เกิดม่านพลังที่เปลี่ยนการโจมตีสะท้อนกลับไปด้วยพลังที่รุนแรงกว่าเดิม แต่แทนที่เคทลินจะตกใจ นางรีบดึงตัวเองกระโดดถอยห่างกลับตัวลดแรงกระแทก และพุ่งกระโจนเข้าโจมตีอีกครั้งในทันทีที่เท้าของนางแตะพื้น
กิมย้งก็ดาวเคลื่อนดาราคล้อย ถ้าสาวกโกวเล้งก็เด็ดบุปผาต่อหยก
แต่ในคราวนี้อินกองก็พุ่งเข้าโจมตีเช่นกัน
สายตาของทั้งคู่ประสานกัน กำปั้นของเคทลินพุ่งเข้าโจมตีศีรษะ อินกองรีบเคลื่อนร่างกายท่อนบนหลบการโจมตีแล้วสวนกลับดุจคลื่นกระแทกบนผิวน้ำ
ประกาศิตจิตสุร – อัสนี!
ตามชื่อกระบวนท่า ประกายแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเคทลินและพุ่งผ่าลงมาอย่างรวดเร็ว เคทลินกลิ้งตัวหลบตามพื้นเลยไปด้านหลังก่อนพุ่งเป้าโจมตีแผ่นหลังที่ไร้การป้องกันของอินกอง เสียงร้องตะโกนของกรีนวินด์ดังขึ้น
‘นายท่าน!’
ลมปราณสีน้ำเงินจนออกดำรวมตัวที่หมัดของเคทลิน กำปั้นนั้นเคลื่อนตัวเข้าหาแผ่นหลังของอินกองอย่างรวดเร็ว แต่อินกองก็ไม่ปล่อยการโจมตีนี้ไว้ นั่นเพราะเขารับรู้ได้จากการเคลื่อนตัวของสายลม
พลังทำลายของเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ และความเร็วจากเคล็ดประกาศิตจิตสุร – วายุ
เช่นเดียวกับที่เคทลินพุ่งโจมตีเขา อินกองก็หมุนกลับตัวพลางส่งหมัดของเขาออกไปเช่นกัน
การปะทะกันของเคล็ดวิชาทั้งสองระเบิดพลังออกมา แม้อินกองจะมีพละกำลังมากกว่า แต่เคทลินก็รวดเร็วกว่า สิบกระบวนท่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่าด้วยพลังทั้งหมดตามสัญญา
เป็นการประมือที่ตั้งป้องกันในทันทีที่มีการตั้งโจมตี
กระบวนท่าเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ลมปราณทั้งสองปะทะกันระเบิดออกไปทั่วอาณาบริเวณ ท่านกลางการประลองที่รุนแรงและคลุ้มคลั่งนี้ ทั้งสองได้แต่หัวเราะออกมาราวกับเสียสติ
ระเบิดลมปราณ!
ลมปราณสีขาวและน้ำเงินระเบิดออกปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสว่างส่องจ้าไปรอบบริเวณ เสียงคำรามจากทั้งสองดังขึ้นท่ามกลางทัศนวิสัยที่ถูกบดบังด้วยแสงเหล่านี้
ผืนดินเปลี่ยนรูปไปอย่างยากจะหวนคืน อินกองยิ้มเยาะขึ้นพลางดึงหมัดของเขากลับมาตั้งกระบวนท่า และเคทลินก็เช่นกัน ไม่ต่างจากผู้ล่าที่เตรียมพร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่อ นางแสยะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ยกที่สองกำลังจะเริ่มขึ้น
ทั้งสองเค้นลมปราณออกมาเตรียมปะทะ ก่อนจะมีลมปราณที่สามเข้ามาขวางทั้งคู่เอาไว้
คริสต์ มูนไลท์
เขาเค้นลมปราณออกมาขวางหยุดการประลองระหว่างทั้งสอง
“ไอศวรรย์สัตว์เทพแต่ก็ไม่ใช่ไอศวรรย์สัตว์เทพ อย่างกับมันเปลี่ยนกลายเป็นบางอย่าง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
แม้การประมือจะเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว
ทว่าคริสต์เป็นถึงผู้สืบทอดเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ แน่นอนว่าเขาย่อมสังเกตเห็นความผิดแปลก ต้นตอของลมปราณสีขาวมาจากบางสิ่งที่ไม่ใช้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพที่เขารู้จัก
อินกองคลายลมปราณของเขาออกก่อนจะตั้งท่ากลับมาในท่ายืนปกติอย่างใจเย็นไม่หวั่นเกรง
นั่นเพราะคริสต์เป็นดั่งภูเขาลูกใหญ่ แต่เป็นภูเขาที่สักวันก็สามารถปีนข้ามไปได้
“ไอศวรรย์ราชันสุร”
ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรเพราะพันธมิตรระหว่างพวกเขาแน่นแฟ้น และเพื่อจะพัฒนาเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรให้ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก เขาต้องการความช่วยเหลือจากทั้งสองในการบรรลุเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ
“ไอศวรรย์… ราชันสุร?”
อินกองพยักหน้ารับคำคริสต์ เขาโคจรลมปราณฟื้นร่างกายระหว่างตอบเพิ่ม
“เป็นเคล็ดวิชาใหม่ที่ผมผสานเคล็ดประกาศิตจิตสุรกับเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเข้าด้วยกัน”
ดวงตาเคทลินเบิกกว้าง ร่างกายคริสต์สั่นเทา ทั้งคู่มองไปยังอินกองอย่างเหลือเชื่อ