“สุดยอด!”

 

 ดวงตาของเคทลินส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางเส้นผมสีน้ำเงินจนออกดำของนาง ราวกับดวงดาวที่ส่องสว่างกลางค่ำคืนอันมืดมิด

 

 หลังจากที่พวกเขาเดินทางกลับมาที่กระโจมเพื่อฟังคำอธิบายอย่างละเอียด คริสต์ได้แต่ส่ายหน้าบ่นสบถ ต่างจากเคทลินที่มองดูอินกองอย่างชื่นชม

 

“พับผ่าสิ รวมเคล็ดวิชาที่เรียนจากปราชญ์ดาบกับเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ? แถมทำโดยไม่รู้ตัว?”

 

 ไม่ต้องมีคำบรรยายอันใดเพิ่มเติม แม้แต่คริสต์ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะก็ไม่เคยคิดทำเรื่องอะไรเช่นนี้

 

“ตั้งแต่ตอนเรียนลมปราณก็รู้หรอกนะว่าเอ็งมีพรสวรรค์ แต่นี่มัน… ”

 

 ยิ่งเมื่อหวนนึกคิดย้อนกลับไปแล้ว กระบวนการเรียนรู้ลมปราณของฉัตรก็ผิดแปลกไปจากปกติ นอกเหนือจากนี้การเรียนรู้ที่กล่าวถึงก็เพิ่งผ่านไปได้ราวไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ตอนนี้ฉัตรกลับประมือกับเคทลินได้อย่างสูสี นี่มันนอกเหนือขอบเขตของคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ไปไกล

 

 เฟลิซีกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีชัยต่อสีหน้าของคริสต์ นางกอดอกพลางเอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิ

 

“แม้แต่ปราชญ์ดาบเองก็ยังแปลกใจ แถมยังบอกอีกด้วยว่าพรสวรรค์ของฉัตรอาจเทียบเท่าแซเฟียโอราบอนีเลยด้วย”

 

“ว้าวว จริงหรือคะ?”

 

 นัยน์ตาของเคทลินเบิกกว้าง แม้นางจะไม่เคยได้พบปะกับแซเฟียร์ แต่นางก็รู้ถึงคำร่ำลือทั้งหลาย

 

 เฟลิซีพยักหน้าหลายครั้ง

 

“แน่นอน ฉันก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง? เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นโจบุทำหน้าประหลาดใจขนาดนั้น”

 

 อันที่จริงเฟลิซีเคยพบกับปราชญ์ดาบเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เรื่องที่นางไม่เคยเห็นปราชญ์ดาบทำสีหน้าประหลาดใจก็ยังคงเป็นความจริง

 

 เฟลิซีกล่าวพลางเชิดคางของนาง แน่นอนว่านี่ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาของเคทลิน ก่อนคริสต์ที่ฟังอย่างเงียบเชียบจะพูดตัดบทขึ้น

 

“อะไรของนูนิมเนี่ย? ที่เจ๋งจริงๆคือฉัตรตะหาก ไม่ใช่นูนิมซะหน่อย”

 

 แต่เฟลิซีกลับไม่มีที่ท่าหัวเสียสักนิด นางทำเพียงหัวเราะให้คริสต์ก่อนจะหันไปทางอินกอง

 

“เอาเป็นว่าฉันก็ประหลาดใจเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก”

 

 ในยามแรกที่คริสต์พบกับฉัตรในปฏิบัติการปราบกบฏสายฟ้าชาด ความรู้สึกเดียวที่เขามีก็คือ ฉัตรเป็นญาติต่างมารดาที่เคทลินอยากสนิทสนมด้วย

 

 แต่ก็ไม่ใช่อีกต่อไป ฉัตรในตอนนี้มีมูลค่ามากกว่านั้น ดั่งอัญมณีที่ปราศจากการเจียระไน

 

 การตัดสินใจสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพให้ฉัตรเรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

 

 นอกจากนี้ฉัตรยังเป็นเจ้าชายที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดในสามขั้วอำนาจของวังจอมมาร

 

 มาถึงตอนนี้ คริสต์จึงพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา

 

“ฉัตร เอ็งพอจะสอนเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรให้เคทกับเราได้ไหม?”

 

 แน่นอนว่าต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติมจึงจะได้ข้อสรุปชัดเจน แต่คริสต์ก็มั่นใจว่านี่เป็นเคล็ดวิชาขั้นพัฒนาของเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ การเรียนเคล็ดวิชานี่ไม่น่ามีผลกระทบอะไรร้ายแรงต่อตัวเขาและเคท

 

 ไฟทะเยอทะยานถูกจุดขึ้นในดวงตาของคริสต์

 

 หากทว่าเป็นเรื่องอันน่าเสียดายที่เคล็ดวิชาขั้น SS นี้ไม่สามารถถ่ายทอดได้

 

 อินกองหรี่ตาใช้ความคิดก่อนจะตอบปฏิเสธ

 

“ผมขอโทษครับ แต่อาจเป็นเพราะผมทำไปโดยไม่รู้ตัว… ผมไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้อย่างไร”

 

 คำพูดของอินกองเป็นเรื่องจริง เขายังไม่บรรลุเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร เขาไม่รู้กระทั่งเส้นทางการโคจรลมปราณที่ชัดเจน และนอกเหนือจากนี้

 

‘ทักษะวิชาต้องถึงขั้น5 ก่อนถึงจะถ่ายทอดได้’

 

 เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรเพิ่งจะถึงเพียงขั้น3 เพราะนี้เป็นทักษะระดับ SS แต้มทักษะที่ต้องใช้ในการเพิ่มระดับจึงเรียกได้ว่ามหาศาล การจะเพิ่มระดับถึงขั้น5 ในตอนนี้จึงเป็นไปไม่ได้

 

 เคทลินไหล่ตกอย่างผิดหวัง คริสต์จ้องมองเข้าไปในดวงตาของอินกองก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

 

“ดูแล้วเอ็งไม่ได้โกหก แต่การที่ผู้คิดเคล็ดวิชาไม่สามารถถ่ายทอดมันได้นี่จะว่าไงดี… มันดูงี่เง่าพิลึก”

 

 ท้ายที่สุดคริสต์ก็หัวเราะพลางตบบ่าอินกอง

 

‘คริสต์ไม่ไว้ใจสินะ’

 

 ต่างไปจากเคทลิน คริสต์ไม่เชื่อในคำพูดของอินกองทันที นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ หากอินกองอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เขาก็คงคิดในลักษณะเดียวกัน

 

‘เหมือนเคทลินจะไม่ได้ว่าอะไร’

 

 อินกองชำเลืองมองเคทลินที่กำลังกำหมัดของนางแน่นก่อนประกาศออกมา

 

“สุดยอดดดด ฉันไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังแน่นอน ฉันต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้”

 

 มีความจริงใจและความมุ่งมั่นแฝงอยู่ในเสียงนั้น

 

 อินกองชื่นชมที่เคทลินไม่รู้สึกอิจฉาแม้แต่น้อย ขณะที่ลมปราณของอินกองพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาเพียงสองเดือน แทนที่เคทลินจะอิจฉา นางกลับมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนตัวเองให้เก่งกาจยิ่งขึ้น

 

 ไม่ใช่การตัดสินใจที่จะทำได้ง่าย บางทีนี่อาจจะเป็นคุณลักษณะของเคทลิน

 

‘นางดูส่องประกายกว่าปกติ’

 

 นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะเฟลิซีก็คิดเช่นเดียวกัน

 

“ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าเคทลินจะเป็นญาติฉัน”

 

 เฟลิซีกางแขนออกไปโอบกอดเคทลิน คริสต์มองนางก่อนจะพูดประชดออกมา

 

“เราก็เป็นญาตินูนิมเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”

 

 แต่เฟลิซีไม่สนใจคริสต์ นางยังคงลูบหัวเคทลินจนท้ายที่สุดคริสต์ก็หัวเราะออกมา

 

“เอาเถอะ ตอนนี้เอ็งก็เก่งขึ้นมากโขเลย… แบบนี้เราก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วสิ?”

 

 ลมปราณของคริสต์ยังคงแกร่งกล้ากว่าอินกองอยู่เยอะ แต่ด้วยการเติบโตอันรวดเร็วของอินกองแล้ว หากคริสต์ไม่ระวัง อินกองก็อาจจะแซงเขาไปได้ในไม่ช้า

 

 อินกองรีบยกมือทั้งสองขึ้นโบกปัด

 

“ผมยังต้องฝึกฝนอีกไกลครับ ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากถึงจะบรรลุเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพได้”

 

 ยังมีเคล็ดวิชาทักษะอีกหลากหลายในโลกใบนี้ ที่อินกองสารภาพออกไปก็เพราะเขายังต้องการความช่วยเหลือจากเคทลินและคริสต์อยู่

 

 คริสต์ผงกหัวช้าช้า

 

“ความต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นนั่นดูไม่เลว แม้เราไม่อาจจะเทียบเท่าปราชญ์ดาบได้ แต่เราจะช่วยสอนให้เต็มที่”

 

“ขอบคุณครับ”

 

 เป็นภาพมิตรภาพอันอบอุ่นระหว่างพี่ชายน้องชาย เฟลิซีจ้องมองทั้งสองก่อนเคทลินจะพูดขัดขึ้น

 

“จะว่าไปแล้ว ทั้งสองมาทำอะไรกันที่นี่?”

 

“น่าจะมีเหตุผลบางอย่าง นูนิมกับฉัตรเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ใช่ว่าทั้งสองต้องรีบกลับวังจอมมารเพื่อรายงานภารกิจหรอกหรือ?”

 

 คริสต์ถามอย่างสงสัย เฟลิซีหรี่ตาของนางลงก่อนจะยักไหล่ตอบออกมา

 

“ปราชญ์ดาบแนะนำเพื่อนให้พวกฉัน”

 

 เฟลิซีหันไปสบตากับอินกอง ก่อนจะอธิบายเรื่องของอมิตาภาให้คริสต์กับเคทลินฟังอย่างคร่าว

 

“อืมม ไม่เคยรู้เลยว่ามีช่างฝีมือที่เก่งกาจขนาดนั้นอยู่ใกล้ๆ สงสัยต้องสละเวลาไปพบเข้าสักครั้ง”

 

 คริสต์ตอบมาอย่างใจเย็นต่างจากเคทลินที่กระพริบตาไม่หยุด

 

‘ชื่ออาจจะดูแปลกๆ แต่ถ้าเป็นถึงเพื่อนของปราชญ์ดาบ ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่นอน’

 

 เพราะเผ่าไลแคนโทรปไม่ต้องใช้ยุทโธปกรณ์มากมาย ทำให้คริสต์เยือกเย็นไม่ตื่นเต้น

 

 เคทลินถามอินกองอย่างอยากรู้

 

“เธอจะเอาหนังมังกรดำไปทำอุปกรณ์สินะ?”

 

“ถ้าเป็นไปได้ผมจะขอให้พวกนั้นทำเผื่อนูนะด้วย”

 

 เขามีวัตถุดิบเหลือเฟือ ปัญหาก็คือจะทำอย่างไรให้อมิตาภายอมรับคำขอ

 

“แต่ผมยังไม่สามารถยืนยันอะไรได้”

 

“ไม่ต้องลำบากหรอก”

 

 เคทลินหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงอีกครั้ง เพียงพบใบหน้าของนางก็ทำให้อินกองรู้สึกผ่อนคลายลงได้ พวกเขานั่งลงสี่มุมโดยมีเฟลิซีและเคทลินอยู่ด้านซ้ายและขวาถัดจากอินกอง แล้วเฟลิซีก็ถามขึ้น

 

“เอาละทีนี้ก็ตาพวกเธอ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?”

 

 คริสต์ได้ปัดเปลี่ยนประเด็นไปแล้วถึงสองครั้ง นั่นทำให้เฟลิซีรู้สึกเคลือบแคลง

 

 เคทลินหันไปมองคริสต์ก่อนเขาจะถอนหายใจแล้วพูดความจริงออกมา

 

“เราบอกฉัตรได้ แต่ลำบากใจนิดหน่อยที่จะบอกนูนิม”

 

 เฟลิซีหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า ถึงแม้นางจะหงุดหงิดแต่นางก็เข้าใจ

 

“ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันไปรออยู่ทางนั้นไหม?”

 

 คำถามจากเฟลิซีทำให้คริสต์ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

 

“เราจะบอกนูนิมด้วยก็ได้ แต่นูนิมต้องสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ”

 

“เชื่อใจฉันขนาดนั้นเชียว?”

 

“ก็ตอนนี้ละนะ”

 

 คำตอบทำให้เฟลิซีพึงพอใจ แม้ในอดีตคริสต์อาจจะระแวงนาง แต่หลังจากปฏิบัติการปราบกบฏ ความสัมพันธ์ของทั้งสามก็เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมาก

 

“เอาเป็นว่าเราจะบอกนูนิม แต่นูนิมห้ามบอกซิลวานหรือกระทั้งราชินี”

 

 คริสต์เชื่อในคำสัญญาของเฟลิซี นั่นเพราะนางไม่ใช่ผู้ที่จะรับปากสัญญาในเรื่องที่นางไม่คิดจะรักษาคำพูด

 

 แล้วคริสต์ก็เอ่ยปากอย่างช้าช้า

 

“มีนักโทษแหกคุก เรากับเคทตามรอยมาจนถึงที่นี่”

 

“เป็นเรื่องปกติที่พวกเธอต้องตามสะกดรอยนักโทษงั้นหรือ?”

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ นักโทษตนนี้ถูกขังลืมอยู่ที่ชั้นลึกสุดของของหอคอยนิลกาฬ”

 

 หอคอยนิลกาฬคือแหล่งคุมขังนักโทษที่เลวร้ายที่สุดของเผ่าไลแคนโทรป มีเหตุการณ์บางอย่างในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าที่นำพาผู้เล่นมายังหอคอยนี้

 

 ส่วนนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในชั้นที่ลึกที่สุด…

 

 อินกองรู้จักชื่อของนักโทษนั้นดี

 

“จีราด มูนไลท์”

 

 ดวงตาของเฟลิซีเบิกกว้างทันทีที่ชื่อนั้นหลุดจากปากของคริสต์ นางลุกขึ้นแล้วถามทันที

 

“เดี๋ยวนะ มูนไลท์?”

 

 เพราะนั่นคือชื่อตระกูลหลักของราชวงศ์ไลแคนโทรป

 

 เคทลินยักไหล่ก่อนจะตอบนาง

 

“จีราด มูนไลท์… หรือก็คือแพกบู(ลุง)ของพวกเรา”

 

&

 

“เวลาล่วงเลยมาได้ยี่สิบปีนับตั้งแต่ที่จีราดถูกคุมขังในหอคอยนิลกาฬ ก่อนเรากับเคทจะเกิดเสียอีก ก่อนนูนิมจะเกิดด้วย”

 

 คริสต์อธิบายเพิ่มอย่างหยาบ ดูเหมือนเขาจะไม่คิดว่าจีราดเป็นญาติเสียเท่าไร

 

“เดิมทีจีราดเป็นนักรบผู้กล้าที่เผ่าไลแคนโทรปภาคภูมิ ถ้าไม่ใช่ว่าจีราดเกิดคลั่งขึ้นมาก่อน จีราดก็คงได้สืบบัลลังค์”

 

 หรือก็คือจีราดเป็นรัชทายาทที่แท้จริงของบัลลังค์ไลแคนโทรป และยังเป็นนักรบผู้กล้าด้วย

 

 แต่เฟลิซีกลับไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

 

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“จีราดลุ่มหลงในพลัง เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพไม่เพียงพอต่อความทะเยอทะยานนั้นได้ จีราดจึงก้าวหาพลังที่นอกเหนือจากนั้น ส่วนจุดจบก็… ไม่ต้องอธิบายหรอกใช่ไหม?”

 

 สีหน้าของคริสต์ตึงเครียดขึ้นมาทันที อินกองรู้ถึงวีรกรรมของจีราดจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า เขาได้แต่ผงกหัวเห็นด้วย

 

“จีราดคลุ้มคลั่งอาละวาดไปทั่ว ด้วยความที่เป็นถึงสายเลือดราชวงศ์หลักและผู้สืบทอดเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ การจะปราบเขาลงได้ก็สร้างความสูญเสียไม่น้อย”

 

 ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นไปถึงหลักร้อย ซึ่งจำนวนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารหัวกะทิระดับสูงของเผ่าไลแคนโทรปทั้งสิ้น

 

“โชคยังดีที่เรื่องราวทั้งหมดจบลงในเขตราชวังทำให้ความเสียหายมีไม่มาก ประชาชนทั่วไปไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น… ทางวังทำลายหลักฐานเกี่ยวกับจีราดหมดสิ้นแล้วให้ข่าวไปว่าจีราดป่วยตาย”

 

“แต่ความจริงก็คือเขายังมีชีวิตอยู่?”

 

 คริสต์พยักหน้าให้กับคำถามของเฟลิซี

 

“อามอนิม(ท่านแม่)ทำใจฆ่าเขาไม่ลง จนสุดท้ายจีราดก็เลยถูกคุมขังอยู่ในชั้นลึกที่สุดของหอคอยนิลกาฬ”

 

 และในตอนนี้ ไลแคนโทรปที่โหดร้ายที่สุดก็ได้หลุดออกจากที่คุมขัง

 

 เฟลิซีส่ายหน้าก่อนจะถามกลับอย่างจริงจัง

 

“เดี๋ยวนะ เดี่ยวก่อน เรื่องนี้มันต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง? การที่พวกเราอยู่ที่นี่จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ?”

 

 คริสต์กับเคทลินมาที่นี่ก็เพื่อจับตัวจีราด

 

 คริสต์โบกปัดเพื่อให้เฟลิซีสบายใจ

 

“วางใจได้ ถึงจีราดจะเป็นนักรบที่ร้ายกาจแต่นั่นมันก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว จะเรียกว่าเขาเสียพลังไปเกินครึ่งก็ไม่เกินเลยไป ยิ่งเมื่อถูกคุมขังอยู่ในหอคอยนิลกาฬด้วยแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้พลังทั้งหมดได้”

ธงจ๋า ไอเลิฟยูว

 

 พี่ชายผู้บ้าคลั่งของราชินีเอเลน มูนไลท์… ไม่มียาชนิดใดที่จะสามารถรักษาความลุ่มหลงของเขาได้

 

 เคทลินกุมมือของเฟลิซีไว้ก่อนจะอธิบายเพิ่ม

 

“มีรายงานแจ้งเข้ามาเมื่อเช้า พบร่องรอยของแพก… ไม่สิจีราดทางทิศตะวันออก”

 

 นั่นเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับบริเวณที่พวกเขาอยู่

 

 เฟลิซีถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่อินกองยังไม่สามารถวางใจได้โดยง่าย เขาจ้องกลับไปยังคริสต์พร้อมถามเพิ่ม

 

“แน่นอนว่าจีราดไม่ได้แหกคุกออกมาด้วยตนเองหรอกใช่ไหม?”

 

 อินกองรู้เรื่องเกี่ยวกับจีราดและหอคอยนิลกาฬ เพราะเกมบทกวีแห่งผู้กล้ามีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นที่นั่น

 

 ปล่อยตัวจีราดออกมาเพื่อลดทอดพลังรบของเหล่าไลแคนโทรป… เงื่อนไขเสริมที่สามารถจะทำหรือไม่ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื่องหลังก็คือแซเฟียร์ หรือว่าการที่จีราดแหกคุกออกมาในตอนนี้จะเป็นฝีมือของแซเฟียร์?

 

 คริสต์หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับมา

 

“เรามั่นใจว่าต้องมีผู้ช่วยเขาออกมาแน่นอน ซึ่งพวกเราก็กำลังตรวจสอบอยู่”

 

 ถ้าแซเฟียร์มีส่วนเกี่ยวด้วยจริง เรื่องราวจะต้องยุ่งเหยิงขึ้นแน่นอน และถ้าเป็นแซเฟียร์จริง อินกองก็ต้องหาสาเหตุว่าทำไมแซเฟียร์ถึงได้ลงมือเร็วกว่าเวลาที่เกิดขึ้นในเกม

 

 หลังจากเล่าเรื่องเสร็จ คริสต์ก็มองสลับไปมาระหว่างเฟลิซีกับอินกอง

 

“นี่เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบปีที่แล้วและก็เป็นปัญหาของพวกเรา ไลแคนโทรป ปัญหาที่ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ เราจะใช้พลังของเหล่าไลแคนโทรปแก้ไขมัน เฉกเช่นกับที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว”

 

 คริสต์พยายามจะบอกว่าเขาไม่ต้องการให้พวกอินกองเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แม้จะเป็นความหวังดีก็ตาม

 

 เฟลิซีแลกเปลี่ยนสายตากับอินกองก่อนทั้งสองจะพยักหน้า

 

 เฟลิซีตอบออกมา

 

“ตกลง พวกเราแค่เพียงผ่านทางมาเฉยๆ หวังว่าปัญหาจะจบลงด้วยดี”

ธงเอ๋ยธง จงปักมันกันเข้าไป~

 

“ขอบคุณ”

 

 คริสต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมร้องขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“นี่มันก็ตึงเครียดกันเกินไปแล้ว อย่างที่บอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อไลแคนโทรปที่เก่งกาจที่สุดพูดออกมาแบบนี้ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยเถอะ”

 

“งั้นฉันขอตัวไปหาของกินก่อนละกัน”

 

 เฟลิซีตอบกลับมาด้วยเสียงแบบเดียวกัน คริสต์หัวเราะปรบมือเรียกทหารที่รออยู่ด้านนอกก่อนจะเลี้ยงอาหารคณะอินกองอย่างสมเกียรติ

 

&

 

 กระโจมที่ถูกจัดให้อินกองไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกหรูหราจากแผ่นหนังที่ปกคลุมหลายชั้น

 

 หลังจากฝึกฝนประจำวันอันประกอบด้วย ทักษะเทเลคิเนซิส อักขระดวอฟ อักขระมังกร และเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร อินกองก็ล้างตัวเข้านอน เขารู้สึกผิดกับการทิ้งให้คริสต์และเคทลินแก้ปัญหากันตามลำพัง แต่เขาต้องออกเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น

 

 อินกองเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางห้วงความมืดมิด

 

 เป็นภาพอันคุ้นเคยทว่าบางสิ่งต่างไปจากทุกที นั่นเพราะในห้วงความมืดมิดนี้มีบุคคลเพียงหนึ่ง มิใช่สี่

 

‘อาณัติ’

 

 สตรีชุดขาวสวมมงกุฏทอง ดวงตาทั้งสองสีของนางจดจ้องมายังอินกอง

 

 อินกองเคลื่อนตัวเข้าใกล้นาง เขาสัมผัสถึงตัวตนของนางชัดเจนมากขึ้นในทุกย่างก้าว เป็นหลักฐานอันชัดเจนว่ามีบางสิ่งดำรงอยู่ที่นั่น

 

 ต่างจากใบหน้าอันโหดเหี้ยมที่เขาเห็นบนแผ่นศิลา นางมีสีหน้าโอบอ้อมอารีเช่นเดียวกับที่เขาเห็นจากร่างเงาของอันเคล

 

 อินกองเดินเข้าใกล้นางมากขึ้นก่อนจะหยุดห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าว เขาหยุดนิ่งจ้องมองยังใบหน้าอันยิ้มแย้มของสตรีชุดขาว

 

 อาณัติ หนึ่งในบุคคลทั้งสี่ที่จารึกบนแผ่นศิลา… ตัวตนที่เทียบเท่าเหล่ามังกรบรรพกาล

 

 นางเป็นใครกันแน่? หรือนางจะเป็นผู้นำอินกองเข้ามาสู่โลกใบนี้? แล้วเพราะอะไรนางจึงปรากฏตัวต่ออินกอง?

 

“ท่านเป็นใคร?”

 

 อินกองถามออกไป ทว่ากลับมีแต่ความเงียบงันเป็นคำตอบ สตรีชุดขาวมองอินกองด้วยดวงตาอันเศร้าสร้อย ก่อนนางจะยกมือของนางชี้ไปด้านหลังอินกองอย่างกระทันหัน

 

 นั่นทำให้อินกองรีบเหลียวมองในทันที นอกจากท่าทีของสตรีสีขาวแล้ว อินกองเองก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

 มีบางอย่างอยู่ท่ามกลางความมืด

 

 อาณาบริเวณอันมืดมิดที่สามารถแบ่งออกได้อย่างชัดเจนท่ามกลางความมืดรอบตัว

 

 ความรู้สึกที่คุ้นเคยแต่ก็แปลกใหม่ เป็นความรู้สึกที่อินกองเคยสัมผัสได้มาแล้วครั้งหนึ่ง

 

 ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากไอพลังสีน้ำเงินของมือหอกนิรนามในตัวปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 ทว่าความรู้สึกนี้ต่างออกไป ไม่ใช่กลิ่นอายแห่งความตายอย่างอาสัญ

 

“ทุพภิกขภัย”

 

 ทันทีที่สิ้นเสียงอินกองความมืดก็ปลีกตัวออก แล้วไอพลังสีดำก็พวยพุ่งเข้าปกคลุมดั่งเพลิงทมิฬ