อินกองสะดุ้งตัวตื่นขึ้นท่ามกลางความมืดมิดและอากาศอันเหน็บหนาว แต่แผ่นหลังของเขากลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

 ความฝัน

 

 ไม่สิ นั่นไม่ใช่เพียงภาพลวงอย่างแน่นอน

 

 สตรีชุดขาวและอาณาเขตแห่งความมืดที่เขาสัมผัสได้ท่ามกลางความมืดรอบตัว…

 

 อินกองหันมองไปยังทิศทางที่สตรีชุดขาวชี้ แม้จะเพียงผิวเผิน แต่อินกองก็สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายบางอย่าง

 

 ทุพภิกขภัย

 

 อินกองไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุที่ ‘ทุพภิกขภัย’ ผุดขึ้นมาในหัวของเขา แต่คำนี้ใช้บรรยายกลิ่นอายที่เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน

 

 อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญ

 

 ไอพลังที่เขาสัมผัสในปราสาทธันเดอร์ดูมเป็นของอาสัญ

 

 และในครานี้ก็เป็นทุพภิกขภัย

 

 เพราะเหตุใดกัน?

 

 เมื่ออ้างอิงจากรูปภาพบนแผ่นศิลา พวกนี้ควรจะเป็นฝ่ายเดียวกับอินกองที่เป็นอาชาแห่งอาณัติ แต่ความรู้สึกที่เขารับรู้กลับไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย กลับเป็นแรงอาฆาตแค้นเสียด้วยซ้ำ

 

 อินกองหยุดความคิดของเขาไว้เพียงแค่นั้น เขาสัมผัสกลิ่นอายได้ชัดเจนและรุนแรงขึ้น นั่นหมายความว่าทุพภิกขภัยเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขา นี่ไม่ใช่เวลามามัวนั่งคิดอีกต่อไป เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง

 

‘คารัค’

 

 อินกองนึกถึงคารัคขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และในเวลาเดียวกันแรง พยาบาทที่เทียบไม่ได้กับเมื่อสักครู่ก็พุ่งถาโถมเข้ามา เพราะคารัคเป็นหนึ่งในทหารมหาดเล็กราชวัลลภของอินกอง จึงเรียกได้ว่าทั้งคู่เชื่อมโยงกันอยู่ในระดับหนึ่ง

 

“คารัค!”

 

 อินกองตะโกนเรียกใช้ทักษะรับสั่ง

 

“แค่ก!”

 

 คารัคปรากฏตัวต่อหน้าเขา มันล้มลงกระแทกกับพื้นก่อนจะตั้งสติได้แล้วรีบร้องบอกอินกอง

 

“ข้าศึกบุก! ทหารสองนายที่เฝ้ายามอยู่กับข้าถูกโจมตี!”

 

 อินกองรีบคว้าชุดของเขามาแต่งตัว พร้อมนำอาวุธวิเศษประจำตัวออกมาจากช่องเก็บของ

 

 คารัคยังคงรายงานต่อไป

 

“ร่างของมันดูเล็กแต่มันทรงพลังมาก มันมีผมสีเทาและถูกห่อหุ้มด้วยพลังสีดำบางอย่าง ใบหน้าของมันมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่… มันเป็นนักรบที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า”

 

 สมกับที่เป็นคารัค มันรายงานข้อมูลรายละเอียดที่อินกองอยากรู้ได้แทบจะครบถ้วน

 

 ผมสีเทา บาดแผลบนในหน้า นักรบที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า…

 

 

“จีราด มูนไลท์”

 

 แม้จะยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง แต่สัญชาติญาณของอินกองบอกได้ว่าต้องเป็นจีราดอย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้ข้อมูลที่ได้รับจากคารัคอาจจะดูไม่ปะติดปะต่อ แต่หากเมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน อินกองก็นึกถึงจีราดขึ้นมาได้ในทันที

 

“คารัค ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

 

“เอ่อ ข้าออกไปลาดตระเวณรอบนอก เพราะฉะนั้นมันยังอยู่นอกค่าย”

 

 คารัคมีบุคลิกที่คอยระแวดระวังภัยอยู่เสมอ นั่นทำให้มันคอยสำรวจบริเวณโดยรอบเผื่อหาช่องทางหลบเลี่ยงยามคับขัน

 

 อินกองมองไปยังแผนที่ย่อของเขา แม้จะไม่มีจุดสีแดงหรือสีน้ำเงินแสดงขึ้นมา แต่เขาก็พอจะเดาระยะทางโดยคร่าวได้

 

 ประมาณ 500 เมตร หากเขาเคลื่อนที่โดยใช้เคล็ดไอศวรรย์ ระยะทางนี้เรียกได้ว่าสั้นเพียงนิดเดียว

 

 อินกองรีบออกจากกระโจม แสงจันทร์บนท้องฟ้าสาดส่องทำให้เขามองเห็นรอบตัวได้ชัดเจน นั่นทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง

 

“ฉัตร?”

 

 คริสต์และเคทลินพร้อมทหารไลแคนโทรปอีกราว 20 นายตั้งกระบวนแถวอยู่ด้านหลัง

 

 หรือว่าพวกเขาจะเตรียมรับมือกับการซุ่มจู่โจมของจีราด?

 

‘ไม่มีทาง’

 

 หากเหล่าไลแคนโทรปรู้ถึงการจู่โจมของจีราด เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ควรจะดังขึ้นเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าของทั้งสองก็ไม่ใช้ในลักษณะที่จะใช้พบศัตรู ออกจะดูเขินอายที่ถูกอินกองพบเห็นเข้าเสียด้วยซ้ำ

 

 ทำไมกัน?

 

 แล้วอินกองก็กระจ่างขึ้นในทันที

 

‘นี่ไม่ใช่เรื่องของจีราด พวกนี้มาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น’

 

 ทั้งที่มีรายงานว่าพบเห็นจีราดทางทิศตะวันออก แต่กลับไม่มีการเคลื่อนพลแต่อย่างใด

 

 และก็ไม่ใช่เพื่อเตรียมการตั้งรับการลอบจู่โจมอย่างแน่นอน

 

 ด้านจีราดเองก็แปลก แทนที่จะออกจากอาณาเขตของไลแคนโทรป จีราดกลับมุ่งหน้ามาหาคริสต์และเคทลิน หากเขามุ่งไปยังทิศตะวันออกเพื่อหลบหนี มีเหตุผลอะไรที่เขาจะกลับมา?

 

“จีราดโผล่มาแล้ว เขาลอบจู่โจมทหารยามลาดตระเวณและบางทีอาจกำลังมุ่งมาที่นี่ในไม่ช้า”

 

 อินกองรีบบอกออกไป นั่นทำให้สีหน้าของคริสต์และเคทลินเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แต่อินกองไม่ปล่อยให้ทั้งคู่ได้ทันตั้งตัว

 

“ทีนี้ก็บอกผมทีว่าทั้งคู่มาทำอะไรกันครับ? ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับจีราด”

 

 คริสต์ขบกราม แววตาของเขาลอกแลก เขากำลังสับสนว่าควรจะบอกอินกองดีหรือไม่ และผู้ที่เปิดปากออกก็เป็นเคทลิน

 

“ผลึกจันทรา”

 

 คริสต์รีบมองไปยังเคทลิน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามนาง เคทลินรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้าจีราดปรากฏตัวออกมาแล้วจริง นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมัวเก็บงำความลับอีกต่อไป

 

“มันเป็นพืชที่ผลิดอกทุก 100 ปี ฉันกับอปป้ามาทีนี่ก็เพื่อรอคอยผลึกจันทราผลิบาน พวกเราเพิ่งจะรับรู้เรื่องของจีราดในภายหลัง ตอนนี้พวกเราก็กำลังจะไปเก็บผลึกจันทรา”

 

 เรื่องราวเริ่มจะปะติดปะต่ออีกครั้ง

 

 ผลึกจันทรา แน่นอนว่าเป็นชื่อที่อินกองคุ้นหู สมบัติลับของเหล่าไลแคนโทรปก็ว่าได้ หนึ่งในของที่ได้รับจากการปราบคริสต์และเคทลินในเกม ผลึกจันทราเรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตให้กลับมาเต็มที่ได้ แม้กระทั้งกับผู้ที่ใกล้ตาย

 

 คริสต์จ้องมองมายังอินกอง

 

“หรือว่าจีราดก็เล็งผลึกจันทราเอาไว้เหมือนกัน?”

 

 มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนั้น

 

 ร่างกายของจีราดทรุดโทรมไปมากนับตั้งแต่ถูกคุมขังในหอคอยนิลกาฬ

 

 แต่นั่นไม่ทำให้เขาหยุดกระหายในพลัง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้ร่างกายทนอยู่ในภาวะอ่อนแอ

 

 คริสต์ไม่รอคำตอบ เขาหายใจออกมาอย่างรุนแรง

 

“จะอะไรก็ช่าง ยังไงการจับกุมจีราดก็เป็นเรื่องสำคัญ หากมันมาทีนี้ พวกเราก็จะใช้กำลังเข้าจับกุม”

 

 ลมปราณสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมา และในทันใดนั้น…

 

“กรี๊ดดด!”

 

 เสียงกรีดร้องดังขึ้น แม้จะอยู่ห่างออกไป แต่อินกองก็สามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงของเฟลิซี

 

“นูนิม!”

 

 อินกองรีบพุ่งตัวไปในทันที ตามมาด้วยคริสต์และเคทลิน จุดหมายสามารถมองเห็นได้ไม่ยากนั่นเพราะมีเปลวไฟลุกโชนขึ้น เวทมนตร์ที่เฟลิซีเชี่ยวชาญ ม่านกำแพงเพลิง

 

“กรีนวินด์!”

 

 อินกองเงื้อแขนซ้ายของเขาขว้างไวท์อีเกิ้ลออกไป กรีนวินด์เข้าใจในทันที โล่ไวท์อีเกิ้ลก็สยายปีกบินไปหาเฟลิซีอย่างรวดเร็ว

 

 คริสต์ก็ออกคำสั่งระหว่างออกวิ่งเช่นกัน เสียงแตรสัญญาณดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำรามร้องของเหล่าไลแคนโทรปนับร้อย

 

 ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางระยะเวลาที่ดูเหมือนยาวนาน อินกองมาถึงจุดหมายในที่สุด ตรงหน้าเป็นร่างของเฟลิซีที่หลบอยู่หลังโล่ไวท์อีเกิ้ล นางประคองเดเลียที่บาดเจ็บหนักอยู่ด้านข้าง

 

‘นายท่าน!’

 

 ไม่ต้องเสียเวลามากมาย อินกองรีบพุ่งตัวเขาหาเฟลิซี โล่ไวท์อีเกิ้ลกลับมายังแขนซ้ายของเขาอีกครั้ง อินกองชำเลืองมองแผนที่ย่อพร้อมกับร่างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

 

 อีกฟากหนึ่งของม่านเพลิงเป็นร่างของชายเผ่าไลแคนโทรป

 

 มีจุดสีแดงเพียงหนึ่งจุดในแผนที่ย่อของเขา

 

 ไอพลังสีดำ

 

 ทุพภิกขภัย

 

 จีราดตรงหน้าต่างไปจากจีราดที่เขารู้จักจากในเกม แทนที่จะเป็นลมปราณสีเทา ร่างของจีราดห่อหุ้มด้วยไอพลังสีดำ แฝงไปด้วยพลังแห่งการกลืนกินทุกสิ่งอย่าง

 

 ทหารไลแคนโทรปล้มกองอยู่แทบเท้าของจีราด ร่างของหนึ่งในนั้นมีสภาพไม่ต่างไปจากมัมมี่

 

 แม้จะเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรก แต่คอของอินกองก็แหบแห้ง

 

 ไม่ต่างจากในตอนที่เขาพบมือหอกปริศนาในปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 จีราดเทียบเคียงใกล้กับมือหอกคนนั้น แม้อินกองจะไม่สามารถตอบได้ว่าใครเก่งกว่าใคร แต่เป็นที่แน่นอนว่าจีราดสร้างความกดดันให้กับอินกองอย่างมาก

 

 จีราดจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้ามิได้แข็งแกร่งขนาดนี้ นั่นก็เพราะหอคอยนิลกาฬทำให้ร่างกายของจีราดอ่อนแอลงมากอย่างที่คริสต์บอก

 

 หากมีบางสิ่งที่ทำให้แตกต่าง นั่นก็คือพลังแห่งทุพภิกขภัยที่ห่อหุ้มร่างของจีราด

 

 คริสต์ เคทลิน และเหล่าไลแคนโทรปล้อมรอบจีราดไว้ ลมปราณของทั้งหมดลุกโชน

 

 อินกองเห็นจุดสีฟ้ามากมายล้อมรอบจุดสีแดง แต่จีราดตรงหน้ากลับไม่มีทีท่ากลัวเกรงแต่อย่างใด

 

“เจ้าคือคริสต์ บุตรแห่งเอเลน ส่วนนั่นก็เคทลิน?”

 

 มีความโหยหาแฝงอยู่ในเสียงนั้น เคทลินกัดริมฝีปากของนาง คริสต์กางแขนออกมาบังนางไว้แล้วจ้องเขม็งไปยังศัตรูตรงหน้า

 

“จีราดผู้ทรยศ จะไม่มีการสนทนาใดระหว่างเรา จีราด มูนไลท์แห่งราชวงศ์ไลแคนโทรปได้ตายไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว”

 

 ดูเหมือนคริสต์ตั้งใจจะบอกกล่าวกับเคทลินมากกว่าจีราดตรงหน้า เคทลินกำหมัดของนาง ส่วนจีราดกลับยิ้มเยาะ

 

“ความจริงจังนั่น ช่างเหมือนกับเอเลนเสียจริง”

 

 เวทมนตร์ของเฟลิซีคลายตัวลงในที่สุด และในช่วงเวลานั้นจีราดก็ตวัดมือ ไอพลังสีดำพุ่งโจมตีเข้ามาหลายทิศทาง

 

 ไวท์อีเกิ้ลกางปีกออกปกป้องอินกอง เฟลิซี และเดเลียไว้ คริสต์เหวี่ยงหมัดของเขาป้องกันเคทลิน คารัคตั้งโล่ของมันพลางรวบตัวเซร่าเข้ามาปกป้อง

 

 ทว่าไม่ใช่ทหารไลแคนโทรปทั้งหมดที่จะเก่งกาจพอรับการโจมตีนี้ได้ ไลแคนโทรปจำนวนมากถูกโจมตีเข้าบริเวณลำคอและใบหน้า กลิ่นไหม้จากพิษและกรดคละคลุ้งไปทั่ว

 

 จีราดแสยะยิ้ม มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว ส่วนมืออีกข้างก็กวักเรียกอย่างท้าทาย

 

“จับมัน!”

 

 เหล่าไลแคนโทรปพุ่งกรูเข้าหาจีราดอย่างพร้อมเพรียง ทั้งหมดเห็นการโจมตีของจีราดและไม่อาจปล่อยให้จีราดทำตามใจชอบได้อีกต่อไป

 

 จีราดชำเลืองมองกองทหารตรงหน้าก่อนจะหวดหมัดของเขาลงพื้น

 

บรึ้มมม!

 

 ผืนดินสั่นสะเทือนตามด้วยไอพลังสีดำที่แผดพุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่าง จีราดพุ่งตัวเข้าหาทหารไลแคนโทรปที่ถูกไอพลังซัดลอยขึ้นกลางอากาศ

 

 ไม่เพียงเท่านั้น จีราดกระโจนตัวขึ้นคว้าคอของทหารเคราะห์ร้ายเหวี่ยงลงพื้นพลางส่งเสียงออกมา

 

“เดรน”

 

 เป็นคำที่แฝงไปด้วยพลังอันลึกลับ

 

 อินกองสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

 

 เสียงของอาณัติดังก้องขึ้นในหัวของเขา

 

‘ทุพภิกขภัย!’

 

 นี่เป็นพลังที่กลืนกินพลัง!

 

 ไลแคนโทรปเคราะห์ร้ายมีร่างที่ไม่ต่างไปจากหมียักษ์ แต่ร่างนั้นกลับผอมแห้งลงอย่างรวดเร็วจนมีสภาพไม่ต่างไปจากมัมมี่ที่ถูกทิ้งไว้หลายร้อยปี

 

 พลังแห่งอาณัติที่เข้าปกครองทุกสิ่งและมอบพลังให้เหล่าบริวาร

 

 พลังแห่งทุพภิกขภัยที่ดูดกลืนกินซึ่งทุกพลัง…

 

 ไอพลังสีดำที่ห่อหุ้มจีราดดูหนาแน่นขึ้น แน่นอนพลังที่ถูกกลืนกินย่อมไปเพิ่มให้กับเขา

 

 จีราดเงยหน้าขึ้น เหล่าไลแคนโทรปเริ่มลังเลหลังจากเห็นจุดจบที่รออยู่ คริสต์กำหมัดแน่นก่อนพุ่งกระโจนเข้าหาจีราดอย่างเกรี้ยวกราด

 

“เคท!”

 

 เคทลินเคลื่อนลมปราณพุ่งเข้าโจมตีทันทีเช่นกัน

 

 จีราดแสยะยิ้มพร้อมรอต้อนรับหลานทั้งสองอย่างอบอุ่น

 

อู้ไปนาน ปัญหาชีวิตถาโถม o(〒﹏〒)o