บทที่ 65 ไม่พอใจ

บทที่ 65 ไม่พอใจ

คำของเจ้าหย้าหนานทั้งจริงใจและจริงจัง

“ระหว่างคุณกับเถ้าแก่หลิวเคยมีเรื่องบาดหมางกันหรือครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

เมื่อครู่เถ้าแก่หลิวต้องการช่วงชิงการค้าไม้ชิงชันจากเจ้าหย้าหนาน ถึงกับยอมให้ราคาสูงกว่า นอกจากนั้น ท่าทีของเขาต่อเจ้าหย้าหนานก็ยังทำอู๋ฝานรู้สึกได้ ว่ามันจะต้องเคยมีเรื่องราวอะไรต่อกันมาก่อน

เจ้าหย้าหนานลังเลไปชั่วครู่ “มีเรื่องราวกันมาก่อนจริงค่ะ”

บางทีอาจเป็นเพราะการกระทำของอู๋ฝานเมื่อครู่ จึงทำเจ้าหย้าหนานเกิดรู้สึกว่าอู๋ฝานเป็นคนที่ควรค่าให้เชื่อถือ ดังนั้นจึงไม่คิดปิดซ่อนเรื่องราว

“อันที่จริง เขากับพ่อของฉันรู้จักกันมายาวนานหลายปี เรียกได้ว่าแต่ก่อนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากเลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยพ่อของฉันก็มองเขาเป็นเพื่อนที่ดีค่ะ” เจ้าหย้าหนานเริ่มบอกเล่าออกมา “ร้านนี้เดิมเป็นของพ่อฉัน ร้านข้างเคียงเป็นของเถ้าแก่หลิว ทั้งสองเข้าวงการนี้พร้อมกัน เปิดร้านทำเฟอร์นิเจอร์เหมือนกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กิจการของพ่อฉันค่อนข้างแย่ ขณะที่กิจการของเถ้าแก่หลิวดีวันดีคืน เพียงแต่ภายหลังกิจการของเขาดีขึ้น ก็ไม่ได้คิดช่วยพ่อของฉันแต่อย่างใด ซ้ำเลือกที่จะฮุบร้านของพ่อเอาไว้แทน ทั้งที่นี่และร้านเฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดก็เพื่อขยายหน้าร้านของเขา”

พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเจ้าหย้าหนานจึงแสดงความโกรธออกมา

“พ่อของฉันไม่ตกลง ดังนั้นเขาจึงเริ่มใช้วิธีการสกปรก” เจ้าหย้าหนานบอกเล่าต่อ “เขาหาลูกค้ามาคนหนึ่งแนะนำให้พ่อของฉัน บอกว่าอีกฝ่ายต้องการสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จำนวนมาก เพราะตัวเถ้าแก่หลิวมีรายการสั่งซื้อในมือจนยุ่งมากแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำให้พ่อของฉันแทน ตอนนั้นพ่อของฉันดีใจจนตัวลอย ใครกันจะรู้ ว่าเขากับลูกค้าคนนั้นจะรวมหัวกันแก้ไขเนื้อหาสัญญา เพราะความเชื่อใจ พ่อก็เลยไม่ได้อ่านสัญญาให้ดี ผลลัพธ์ที่ได้ พ่อถูกหลอก ตอนแรกสัญญาบอกว่าให้ใช้ไม้ธรรมดาทำเฟอร์นิเจอร์ แต่แล้วในสัญญา มันกลับเรียกร้องให้ใช้ไม้ชิงชัน ไม้หนานมู่ รวมถึงไม้ล้ำค่าอีกหลายประเภท อีกฝ่ายจ่ายเงินมัดจำเข้ามา และแจ้งว่าถ้าหากละเมิดสัญญา ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนสิบล้านหยวน ภายหลังพ่อรู้เข้าจึงโกรธมาก ฉันต้องเข้ามาจัดการแทน ซึ่งก็คือตอนนี้ ต้องใช้เส้นสายและความสัมพันธ์มากมายที่ยังเหลือ ซื้อหาไม้ดิบมาจำนวนหนึ่ง แต่ปัจจุบันยังขาดไม้ชิงชัน แน่นอนว่ากับช่วงเวลาเช่นตอนนี้ เพื่อซื้อหาไม้ล้ำค่าหลากหลาย ร้านจึงขาดสภาพคล่อง เพราะแบบนั้นแหละค่ะคุณอู๋ รบกวนรอการชำระเงินสักสองเดือน ขอให้วางใจได้นะคะ พวกเราจะไม่บิดพลิ้วคำสัญญาการชำระเงินอย่างแน่นอนค่ะ”

เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนี้

ผ่านการบอกเล่าของเจ้าหย้าหนาน อู๋ฝานทราบดีถึงความคับข้องระหว่างพวกเขากับเถ้าแก่หลิว ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะยอมจ่ายราคาสูงเพื่อช่วงชิงไม้ชิงชันที่เขานำมาขาย สำหรับไม้ล้ำค่าเช่นนี้ มันไม่ใช่อะไรที่ต่อให้อยากซื้อก็จะหาได้ หากว่าพลาดรอบนี้ไป เจ้าหย้าหนานอาจไม่สามารถหาไม้อีกรอบในช่วงระยะเวลาอันสั้น ถึงเวลานั้น เมื่อครบกำหนดเวลาของสัญญาส่งมอบ เจ้าหย้าหนานจะไม่เพียงต้องจ่ายค่าเสียหายสิบล้านคืนให้อีกฝ่าย แต่ยังรวมถึงการต้องถือเฟอร์นิเจอร์ซึ่งสั่งทำไปแล้วเอาไว้เสียเอง จนสุดท้ายก่อให้เกิดการสูญเสียที่มากยิ่งขึ้น

“ถ้าหากเป็นแบบนั้น ต่อให้คุณทำตามสัญญาที่ตกลงไปแล้ว ก็ถือว่ายังต้องขาดทุนมหาศาลอยู่ดีนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

ตอนที่อีกฝ่ายจ่ายเงินค่ามัดจำมา คือการจ่ายตามข้อกำหนดที่ว่าให้ทำเฟอร์นิเจอร์ด้วยไม้ธรรมดา จำนวนจึงไม่ใช่มากมายแต่อย่างใด มันจะไม่มากเท่าการจ่ายค่ามัดจำที่ต้องใช้ไม้ล้ำค่าในการทำเฟอร์นิเจอร์ มันจะต้องสมดุลกันระหว่างค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ และเพื่อทำตามสัญญาที่ทำเอาไว้ เจ้าหย้าหนานนำเงินทุนของตัวเองลงไปกับร้าน ที่แม้ว่าต่อให้ทำตามสัญญาไปแล้ว จำนวนเงินที่จ่ายภายหลังจะไม่ได้มากมาย เพราะสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้ตอนแรกเป็นไม้ธรรมดา

“ใช่แล้วค่ะ” เจ้าหย้าหนานเผยสีหน้าหมองหม่น ทว่าก็ยังโกรธเคือง “เพียงแต่ พวกเราจะไม่ยอมให้คนแซ่หลิวได้ทำสำเร็จดังที่หวัง ต่อให้สุดท้ายพวกเราขาดทุน พวกเราก็จะไม่โอนย้ายร้านให้เขา!”

เห็นได้ชัด ว่าเจ้าหย้าหนานเกลียดชังเถ้าแก่หลิวมากมาย เพียงแต่มันเป็นเรื่องเข้าใจได้ หากว่าเป็นตัวอู๋ฝาน ที่ถูกเถ้าแก่หลิวกระทำการคล้ายคลึงกัน ก็คงตอบโต้ไม่ต่างกับเจ้าหย้าหนาน

เพียงแต่อู๋ฝานเกิดเป็นห่วงเจ้าหย้าหนานในช่วงหลังสองเดือนจากนี้ ว่าจะจ่ายเงินกลับคืนมาทันเวลาหรือไม่ อย่างไรแล้วสภาพคล่องของครอบครัวเจ้าหย้าหนานก็ไม่ค่อยดี เรียกได้ว่าอาจล้มละลายได้ทุกเมื่อ

ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง อู๋ฝานจึงกล่าวกับเจ้าหย้าหนาน “ผมเห็นใจกับเรื่องราวที่ครอบครัวของคุณประสบนะครับ ผมสามารถขายไม้ให้คุณได้ เพียงแต่ผมก็ต้องคิดถึงตัวเองด้วย ทุกเรื่องราวจำเป็นต้องมีทางถอย เอาแบบนี้เป็นอย่างไรครับ หากเมื่อไรถึงเวลา แล้วทางคุณไม่อาจจ่ายเงินได้ทันกำหนด ก็ให้จำนองร้านกับผมเป็นอย่างไรครับ แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริง พวกเราจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาประเมินมูลค่าของร้านและมูลค่าการค้า เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่แม่นยำ คิดว่าอย่างไรครับ?”

ข้อเสนอของอู๋ฝาน มันทำเจ้าหย้าหนานเกิดความลังเล เห็นได้ชัดว่าเธอยังมีความผูกพันกับร้านอย่างเหนียวแน่น เธอไม่คิดขายร้านนี้เว้นแต่จะถึงที่สุด แม้แต่ข้อเสนอของอู๋ฝาน เจ้าหย้าหนานก็ยังเกิดความสงสัย ไม่ว่าจะอู๋ฝานหรือเถ้าแก่หลิว ต่างก็ดูจะต้องการเป็นเจ้าของร้านที่เธอครอบครอง

เพียงแต่พอคิดทบทวนอีกครั้ง ก็เกิดรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก หากว่าอู๋ฝานและเถ้าแก่หลิวเป็นพวกเดียวกัน ก็เพียงแค่ไม่ขายไม้ให้ก็จบเรื่องราว อย่างไรในเวลาอันสั้นคิดหาไม้ชิงชันมาให้ได้ก็เป็นเรื่องยากเย็น ถึงเวลานั้น อย่างไรก็ต้องละเมิดต่อสัญญา ร้านแห่งนี้ย่อมถูกโอนต่อไปยังเถ้าแก่หลิว มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ที่อู๋ฝานจะต้องเข้ามาแทรกแซง

อีกทั้งภายหลังอู๋ฝานทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางฝั่งของเธอ หากเขาคิดหาทางถอยออกจะดูเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ ตัวเจ้าหย้าหนานมีความเข้าใจต่อเรื่องราวนี้ดี

สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือมีเพียงแต่ไม้รอบนี้ของอู๋ฝานที่จะช่วยชีวิตเธอและร้านแห่งนี้ เจ้าหย้าหนานไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

“ก็ได้ ตกลงค่ะ” เจ้าหย้าหนานพยักหน้ารับให้อู๋ฝาน

ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง ถัดจากนี้คือการทำสัญญา มูลค่าของไม้จะถูกประเมินตามน้ำหนัก รวมแล้วหกตันครึ่ง ด้วยมูลค่าตันละหนึ่งล้านสี่แสน รวมทั้งสิ้นจึงเป็นเก้าล้านหนึ่งแสนหยวน

ภายหลังทำสัญญา อู๋ฝานยังรู้สึกว่ามันราวกับไม่ใช่เรื่องจริง เขาไม่เคยนึกคิดว่าจะมีเงินหลักหลายล้านในเวลาอันสั้นเพียงนี้ ครุ่นคิดถึงตัวเองเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านไปไม่นาน ตัวเขายังต้องวุ่นวายกับการหางาน ตอนนี้กลับก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ ทุกสิ่งอย่างมันจึงไม่ต่างกับฝันไปตื่นหนึ่ง

“โชคไม่ดีตรงที่ต้องใช้เวลากว่าจะได้เงินมา และมันยังมีตัวแปรระหว่างนั้นอีกด้วย” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง

ภายหลังลงชื่อในสัญญาต่อกัน เจ้าหย้าหนานจึงแสดงความขอบคุณต่ออู๋ฝานซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้เธอไม่อาจทราบว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้ อู๋ฝานได้ช่วยเหลือเธอแล้ว และความช่วยเหลือนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าการได้รับฟืนกลางหิมะเสียอีก ในใจของเจ้าหย้าหนานจึงมีแต่ความซาบซึ้งขอบคุณต่ออู๋ฝาน กระทั่งคิดว่าหากไม่อาจรักษาเอาไว้ได้จริง การส่งมอบร้านให้อู๋ฝานก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินยอมรับ