ตอนที่ 6-2 บุกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พบสหายเก่า
หลังจากกินยาเปลี่ยนเสียงเสร็จแล้ว นางก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก อย่าให้พูดเลย ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบิดาของปิงเอ๋อร์ตัวจริงขึ้นมานิดๆ แล้ว
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้ทางดี พวกเขาจึงขึ้นมานั่งบนรถม้าพาทั้งสามคนมาส่งใกล้ๆ กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไห่สือซานกระโดดลงจากรถม้าแล้วบอกเฉียวเวยว่า “พวกท่านเดินตามถนนเส้นนี้ มุ่งหน้าไปทางใต้ตลอดจนผ่านหุบเขาแคบขนาดเล็กแห่งหนึ่งก็จะถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้ากับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะรอพวกท่านอยู่ที่นี่”
เฉียวเวยพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พวกเจ้าหาที่มิดชิดหน่อยซ่อนตัวเถิด อย่าให้ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์พบตัวเข้า”
“พวกเราจะทำเช่นนั้น” ไห่สือซานตอบ สายตาของเขาจับจ้องเฉียวเวย จากนั้นประสานหมัดเอ่ยด้วยความเคารพ “ฮูหยินน้อย โปรดระวังตัวด้วย”
สาวน้อยที่เริ่มแรกพวกเขาต่างรังเกียจและไม่ต้องการคนนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมานางกลับเป็นฝ่ายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อพวกเขา สิ่งเหล่านี้แต่เดิมเป็นเรื่องที่พวกเขาสมควรต้องทำ แต่นางกลับรับไปแบกไว้เองอย่างไม่รักตัวกลัวตายสักนิด
ไห่สือซานมองเงาแผ่นหลังของเฉียวเวยที่หันหลังเดินจากไป ในที่สุดเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตะโกนเรียกนาง “ฮูหยินน้อย ความจริงยังมีวิธีหนึ่งให้พวกเราเข้าไปได้”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้อยู่แล้ว เปลี่ยนพวกเจ้าให้กลายเป็นร่างพิษสินะ แต่ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าเป็นเช่นนั้น”
ไห่สือซานมองราชันอสูรที่อยู่ด้านข้าง “แต่มันรักษาให้หายได้”
เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “ข้าบอกว่าไม่จำเป็นก็คือไม่จำเป็น วางใจรอฟังข่าวจากข้าเถิด”
ไห่สือซานขานรับ “ขอรับ”
เฉียวเวยทำตามที่ไห่สือซานบอก นางเดินทางไปตามทางเส้นน้อยในชนบทเส้นนี้ หลังจากผ่านหุบเขาแคบยาวแห่งหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา หากไม่ใช่ว่าเห็นอยู่กับตาตนเอง เฉียวเวยคงคิดว่าตนเองโผล่มาที่เผ่าซยงหนีว์แล้ว
เหนือทุ่งหญ้ามีหิมะทับถมเป็นชั้นหนา พวกเขาเดินย่ำทีละก้าวๆ จนผ่านไปราวหนึ่งเค่อก็มาถึงปราสาทโบราณของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าลือกัน
ปราสาทก่อสร้างอยู่บนภูเขาสีเขียวสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ตัวปราสาทโบราณเรียบง่ายแต่ดูเคร่งขรึม มันสูงตระหง่านยิ่งกว่ายอดภูเขาสีเขียวและใหญ่เท่าปราสาทเฮ่อหลันสองหลัง นอนนิ่งสงบอยู่ใต้ผืนนภาสีครามประหนึ่งสัตว์ร้ายที่นอนหลับใหลอยู่ตัวหนึ่ง
เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเก่าแก่โบราณได้ตั้งแต่ไกล จู่ๆ นางก็เริ่มสงสัยว่าเผ่าเยี่ยหลัวอับจนหนทางจนถูกบีบให้มาตั้งรกรากสร้างเผ่าพงศ์อยู่ ณ ที่แห่งนี้จริงๆ หรือว่าเพราะที่แห่งนี้มี ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ อันมหัศจรรย์และมิอาจรุกรานได้เช่นนี้อยู่ก่อนแล้วจึงชักนำให้ชาวเผ่าเยี่ยหลัวเดินทางมาถึงที่นี่
เฉียวเวยส่ายศีรษะแล้วพาราชันอสูรกับสือชีเดินเข้าไปที่ด่าน
ตรงด่านตรวจมีลูกศิษย์สวมเสื้อผ้าสีเทาอ่อนอยู่สองคน
ศิษย์คนนั้นจำอูมู่ตัวได้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่เอ่ยทักทายอันใดตามมารยาททั้งสิ้น เขาเอาแต่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตรงนั้น
เฉียวเวยส่งป้ายหยกในมือให้เขา
ศิษย์ตรวจสอบป้ายหยกยืนยันว่าไม่ผิดพลาดเสร็จก็ปล่อยอูมู่ตัวเข้าไป
‘นักรบมรณะดาบยาว’ อย่างสือชีกับราชันอสูรถูกเข้าใจว่าเป็นลูกน้องของอูมู่ตัวโดยดุษฎี จึงผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
หลังจากผ่านด่านมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มขึ้นภูเขา
เส้นทางบนภูเขาเป็นช่องทางเดินหินที่เซาะลงไปในตัวภูเขา มันกว้างราวสี่ฉื่อ ชาวจงหยวนต่างชอบสร้างถนนไว้บนพื้น หลังจากนั้นสร้างกำแพงขนาบปิดสองฝั่ง ทว่าที่แห่งนี้กลับขุดถนนลงไปในพื้น เมื่อฝนตกน้ำย่อมท่วม แต่หากเป็นยามสงคราม มันก็จะกลายเป็นคูดินที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ภายใน ‘คูดิน’ ว่างเปล่าไม่มีใคร รอบด้านเงียบสงัด
จู่ๆ ราชันอสูรก็หยิบถั่วเคลือบน้ำตาลออกมาจากอกเสื้อแล้วเคี้ยวเสียงดัง กร้วม!
เฉียวเวยหัวใจกระตุกวูบ ตกใจจนเกือบจะล้มหน้าคว่ำ!
“รอให้ไปถึงที่แล้วค่อยกินไม่ได้หรือ” เฉียวเวยกระซิบเสียงเบา
ราชันอสูรอ้าปาก
“ห้ามคำราม!” เฉียวเวยจ้องเขาอย่างจริงจัง แล้วบอกท่าทางขึงขัง “เดี๋ยวเถอะข้าจะริบถั่วเคลือบน้ำตาลของเจ้า”
ราชันอสูรซุกถุงถั่วเคลือบน้ำตาลกลับเข้าไปในอกเสื้ออย่างเงียบๆ
เฉียวเวยพรูลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วหันหลังกลับไปด้านหน้าต่อ
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ราชันอสูรก็หยิบถุงออกมาแล้วเงยหน้า เทถั่วเคลือบน้ำตาลเข้าปากในรวดเดียว หลังจากนั้นเสียงเคี้ยว กร้วมๆ! ก็ดังไปทั่วทุกหนแห่ง
เฉียวเวย “…”
สือชี “…”
ก่อนเข้าปราสาท พวกเขาพบการตรวจสอบอีกหนึ่งหน หนนี้ศิษย์ที่เฝ้าประตูถามถึงตัวตนของราชันอสูรกับสือชี เฉียวเวยจึงตอบด้วยภาษาเยี่ยหลัวที่ท่องมาตลอดทาง “…เจ้าพวกนี้ถูกฝึกอยู่ด้านล่างมาตลอด เพิ่งจะฝึกฝนสำเร็จ หนนี้ข้าจึงลงจากเขาไปรับพวกเขาสองคน”
ใต้หล้านี้คงมีแต่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่รู้ว่าวิธีฝึกฝนนักรบมรณะทำเช่นไร ผู้ใดยังจะสงสัยอันใดอีกเล่า ยิ่งไปกว่านั้นสือชีกับราชันอสูรก็เคยเป็นนักรบมรณะของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพียงแต่ว่าทั้งสองคนเปลี่ยนมาอยู่กับเจ้านายคนใหม่ก็เท่านั้น
พวกเฉียวเวยสามคนเข้าไปในปราสาทอย่างราบรื่น ด้านในปราสาทมีหอคอยหินตั้งเรียงราย ไม่ทราบเหมือนกันว่าอูมู่ตัวผู้นั้นพักอยู่ที่ใดกันแน่
เฉียวเวยเปิดตำราเล่มน้อยในมืออ่าน จากนั้นดวงตาแวววาวก็กลอกไปมา ก่อนจะใช้ภาษาเยี่ยหลัวเรียกศิษย์ที่ปัดกวาดอยู่คนหนึ่ง “อะแฮ่ม เจ้าน่ะ”
ศิษย์หยุดงานที่ทำอยู่ในมือแล้วมองมาหาเฉียวเวยด้วยท่าทางฉงน “ผู้ดูแลอู ท่านมีสิ่งใดต้องการสั่งหรือขอรับ”
ประโยคนี้ในตำรามีเขียนไว้อยู่ เฉียวเวยจึงฟังออก แล้วพูดตอบเขาว่า “ข้ามีธุระนิดหน่อย เจ้าช่วยข้าพาสองคนนี้กลับไปก่อน”
ศิษย์คำนับอย่างนอบน้อมตอบว่า “ขอรับ”
ศิษย์พาสือชีกับราชันอสูรเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยเหลือบมอง จากนั้นสะกดรอยตามไปไม่ใกล้ไม่ไกล คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามาที่ทางเดินเส้นหนึ่งก็ถูกมือเรียวที่โผล่มาจากไหนไม่ทราบข้างหนึ่งหิ้วคอเสื้อไว้
เฉียวเวยเลิกคิ้ว ถูกจับได้แล้วหรือ!
“อูมู่ตัว เจ้ายังกล้ากลับมาอีกหรือ หืม”
นี่เป็นเสียงสตรี เสียงนั่นทรงพลังจนน่ากลัว ทว่ากลับมีน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน
จับไม่ได้ว่าเป็นตนเองก็ดีไป เฉียวเวยลอบถอนหายใจแล้วหันหน้ากลับไปยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนให้อีกฝ่าย
คนผู้นี้เป็นสตรีรูปโฉมงามล้ำเลิศ นางสวมกระโปรงสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมผ้าโปร่งสีแดง ใบหน้าสวมผ้าคลุมศีรษะโปร่งบาง ตรงขอบผ้าคลุมศีรษะขลิบทอง
สตรีนางนี้ดันเฉียวเวยไปจนติดผนังแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “หนก่อนข้าเตือนเจ้าไว้ว่าอย่างไร ข้าบอกแล้วว่าหากเจ้าไม่เอาของๆ ข้ามาคืน ข้าจะควักดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าออกมาเสีย!”
เฉียวเวยฟังออกแค่คำว่า ‘เตือน’ กับ ‘ของของข้า’ ทว่าเมื่อรวมกับมือของนางที่ทำท่าจะควักลูกตาของตน ต่อให้เป็นคนโง่ก็เข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฉียวเวยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนตอบว่า “ใกล้แล้วๆ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็นชา “ใกล้แล้วคืออีกนานเท่าใด เจ้าไปเอามาให้ข้าตอนนี้! หากเอามาไม่ได้ ข้าจะควักลูกตาเจ้าเสียตรงนี้!”
สตรีนางนี้มีฐานะอะไรกันแน่ เหตุไฉนจึงกล้าทำเช่นนี้กับอูมู่ตัว
“หัวหน้าผู้ดูแล” ศิษย์คนหนึ่งเดินผ่านมาด้านข้าง แล้วก้มหัวคำนับสตรีนางนี้
ที่แท้ก็หัวหน้าของอูมู่ตัวนี่เอง มิน่าจึงเหิมเกริมเช่นนี้
อูมู่ตัวผู้น่าตายคนนั้นเอาของสิ่งใดของผู้อื่นไปกันแน่
“เป็นอะไร ไม่กล้าไปเอามาหรือ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเอามาไม่ได้! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า ให้เจ้ารู้ผลลัพธ์ของการล่วงเกินข้า!”
นางกล่าวจบก็สะบัดแส้เก้าท่อนในมือ แส้ฟาดบนพื้นดัง เปรี้ยง! ไอสังหารอันน่าหวั่นเกรงแผ่อบอวลทั่วอากาศในพริบตา
เฉียวเวยแววตาสั่นไหว นางไม่ใช่อูมู่ตัวจริงๆ เสียหน่อย หากสู้กันขึ้นมาคงถูกจับไต๋ได้กันพอดีสิ แต่หากไม่สู้ จะปล่อยให้นางฟาดตนเองสักสองสามหนหรือไร
เหตุไฉนเพิ่งมาถึงก็เจอตอเช่นนี้เลยนะ
เฉียวเวยเอ่ยปากขึ้นมาว่า “หากท่านทุบตีข้า ท่านไม่กลัวหรือว่า…”
สตรีนางนั้นหัวเราะหยัน ก่อนเอ่ยขัดคำพูดของเฉียวเวย “กลัวอะไร กลัวเจ้าไปฟ้องหรือ อาจารย์ของข้าคือผู้พิทักษ์ ข้าต้องกลัวเจ้าไปฟ้องด้วยหรือ! อาจารย์ของข้าเอ่ยปากแล้ว ต่อให้ตีเจ้าจนตาย ข้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบ!”
ผู้พิทักษ์ก็คือผู้มีตำแหน่งถัดลงมาจากเจ้าลัทธิในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ นางมีผู้พิทักษ์เป็นคนหนุนหลัง เฉียวเวยยังจะพูดอันใดได้อีกเล่า หรือจะให้ขนเจ้าลัทธิออกมาเป็นโล่กันธนูหรืออย่างไร ปลาซิวปลาสร้อยอย่างอูมู่ตัวเกรงว่าคงจะไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าของเจ้าลัทธิด้วยซ้ำ….หากนางบอกว่านางรู้จักเจ้าลัทธิ ผู้ใดจะเชื่อเล่า
ขณะที่เฉียวเวยกำลังเค้นสมองคิดว่าจะหนีรอดจากมือหัวหน้าผู้ดูแลคนนี้อย่างไร หัวหน้าผู้ดูแลกลับเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง จู่ๆ นางก็เก็บแส้กลับไปแล้วถอยห่างจากเฉียวเวย จากนั้นก็คุกเข่าลง ทั้งร่างฟุบหมอบไปกับพื้น คุกเข่าคำนับอย่างนอบน้อมหันไปยังทิศทางหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
โอ๊ะ ผู้ใดกันทำให้หัวหน้าผู้ดูแลที่มีผู้พิทักษ์หนุนหลังคนนี้ตกใจกลัวจนเป็นเช่นนี้
เฉียวเวยเลิกคิ้ว หันไปมองทิศทางที่นางก้มตัวคำนับ แล้วก็เห็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างคนหนึ่งกางร่มกระดาษน้ำมันที่วาดลายกิ่งท้อ เยื้องย่างมาทางด้านนี้อย่างเชื่องช้า
ร่างนั้น แลดูคุ้นตาอยู่นะ…
————————–