ตอนที่ 7-1 คนงามลงมือ (1)
เขาเดินอยู่กลางผืนหิมะ อาภรณ์ถูกสายลมหนาวที่พัดมาทางด้านหน้ากระพือพลิ้วไหวประหนึ่งเปลวเพลิงเริงระบำ ราวกับว่าโลกที่โอบล้อมด้วยสีเงินยวงถูกแต้มด้วยสีสันสดสว่างจุดหนึ่งในชั่วพริบตา
ยามเขาเดินเข้ามาใกล้เผยให้เห็นใบหน้างามล่อลวงดวงวิญญาณใต้ร่มกิ่งท้อสีขาว สีหน้าของเฉียวเวยก็ตะลึงงันไปทันที
มิน่านางจึงรู้สึกว่าคุ้นตา นี่ไม่ใช่กงซุนฉางหลียอดฝีมือคนที่เจ็ดของจีหมิงซิวหรอกหรือ
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
แล้วอีกอย่าง หัวหน้าผู้ดูแลที่ยโสหังคนนี้เหตุใดจึงหวาดกลัวเขาเช่นนี้
หรือว่าเขาก็เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วย
เขามีฐานะอะไรในลัทธิศักดิ์สิทธิ์กันแน่
ไม่มีเวลาให้เฉียวเวยคิดพิจารณามากมาย กงซุนฉางหลีก็ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เฉียวเวยรีบคุกเข่าเลียนแบบท่าทางของหัวหน้าผู้ดูแล
กงซุนฉางหลีเหยียบเข้ามาในทางเดิน ฝ่าเท้าเหยียบย่างแผ่วเบาไปตามแผ่นหินเขียวอันแข็งกระด้างและเย็นเฉียบ
ทั้งที่เป็นเพียงแผ่นหินปูพื้นอันเย็นเฉียบไม่กี่แผ่นแท้ๆ ทว่ายามเขาเดินอยู่บนนั้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนมันเป็นพรมแดงคุณภาพดี เฉียวเวยรั้งปลายหางตากลับมาแล้วหลุบตาลง ปล่อยให้กงซุนฉางหลีเดินผ่านเบื้องหน้าของตนเองไปอย่างนอบน้อม
ทันใดนั้นฝีเท้าของกงซุนฉางหลีก็ชะงักกึก
หัวใจของเฉียวเวยเหมือนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ แม้นางจะมั่นใจในวิชาแปลงโฉมของตนเองอย่างยิ่ง แต่กงซุนฉางหลีมีสายตาที่คนธรรมดามิอาจเทียบได้ เขาคงจะไม่…จำนางได้ใช่หรือไม่
เฉียวเวยใช้ปลายหางตากวาดมองหัวหน้าผู้ดูแลด้านข้างหนึ่งหน พบว่านางเองก็หวาดกลัวจนทั้งตัวสั่นระริกแทบจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
หรือว่าสตรีนางนี้เคยล่วงเกินกงซุนฉางหลีมาก่อน
หัวหน้าผู้ดูแลเคยไปล่วงเกินเขาเสียที่ไหนเล่า นางเพียงหวาดกลัวเขาเท่านั้น…
กงซุนฉางหลีไม่หันกลับมามองทั้งสองคนตรงๆ เขาเพียงเผยอริมฝีปากสีแดงขึ้นนิดๆ เอ่ยภาษาเยี่ยหลัวสองคำออกมาอย่างแผ่วเบา เฉียวเวยฟังไม่ออก รู้แต่เพียงว่าหัวหน้าผู้ดูแลฟังจบ ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็เป็นประกายก่อนจะรีบร้อนลุกขึ้นยืน
กงซุนฉางหลีถือร่มเดินจากไปแล้ว
หัวหน้าผู้ดูแลติดตามไปอย่างเริงร่า นางเดินไปพลางก็ไม่ลืมหันกลับมาถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างดูแคลนไปด้วย นางคิดในใจว่า นับว่าเจ้าโชคดี หนหน้าค่อยจัดการกับเจ้า!
รอจนกระทั่งทั้งสองคนหายลับไปจากสายตาอย่างสมบูรณ์แล้ว เฉียวเวยก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองหนีพ้นภัยหนนี้มาได้แล้วจริงๆ ไม่ถูกสิ ภัยสองหนต่างหาก….ไม่ถูกทุบตีแล้วก็ไม่โดนจำได้
เฉียวเวยสูดหายใจลึกๆ สงบอารมณ์ครู่หนึ่ง ยามนี้นางยอมรับความจริงที่พบเจอกงซุนฉางหลีได้แล้ว เจ้าหมอนี่ซ่อนตัวตนไว้ลึกเสียยิ่งกว่าฮองเฮาเสียอีก! หมิงซิวรู้จักเขามานานตั้งเท่าไรแล้ว ตัวเลขแท้จริงนางไม่รู้ แต่สิบปีต้องมีแน่ๆ ในช่วงเวลาสิบปีนี้ จีหมิงซิวกลับมองผ่านเปลือกนอกจอมปลอมของเขาไม่ออก
แล้วเขายังได้ตำราวิชาของโหราจารย์ไปจากมือของหมิงซิวอีก มิน่าหลังจากนางถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้ายจึงมีแต่เขาที่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร ก็เขาเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์นี่นะ ต้องรู้ดีอยู่แล้วสิ
นางจำที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยบอกนางได้ สาเหตุที่เขาอ่านบันทึกของโหราจารย์เข้าใจเป็นเพราะหมิงซิวสอนภาษาเยี่ยหลัวให้เขา เหอะ ตอนนี้ดูแล้วผู้อื่นคงจะเป็นคนเยี่ยหลัวที่เกิดและเติบโตในเยี่ยหลัว ไหนเลยยังจะต้องให้หมิงซิวสอนอีก
เจ้าลูกเต่าตัวนี้น่าชังเกินไปแล้วจริงๆ!
อารมณ์ที่ข่มลงไปจนสงบแล้ว พอนึกถึงกงซุนฉางหลีก็เริ่มโหมซัดเป็นทะเลคลั่งอีกครั้ง
สงบใจไว้ สงบใจไว้
วันนี้ได้พบเขาก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยหลังจากนี้ก็ไม่จะถูกเขาปิดหูปิดตาอีกต่อไป
ชักช้าขนาดนี้แล้วหากไม่ตามไปอีก จะไล่ตามสือชีกับราชันอสูรไม่ทันเอา
เฉียวเวยไล่ตามไปยังทิศทางที่สือชีกับราชันอสูรเดินจากไป ทางเส้นนี้ตรงยาวไปจนสุดไม่มีทางแยกที่ใด เพียงแต่ว่าตรงสุดปลายมีทางเลี้ยวขวาจุดหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก้มหน้าก้มตาเดินไปก็ใช้ได้แล้ว
เฉียวเวยเร่งฝีเท้า เพิ่งจะเดินมาได้ยังไม่ทันสองก้าวก็ชนเข้ากับเด็กหนุ่มที่โผล่พรวดออกมาคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังไล่ตามไก่ที่กำลังพองขนตัวหนึ่งจนไม่มองทาง จึงชนเข้ากับเฉียวเวยเต็มๆ
เฉียวเวยไม่เป็นอะไร แต่เด็กหนุ่มคนนี้ถูกชนจนหน้าคว่ำลงไปกับพื้น โลหิตไหลออกมาจากจมูก
“โอ้ยๆ เจ็บจะตายแล้ว! อ้ากกก ข้าเลือดไหล”
เด็กหนุ่มตะโกนดังลั่น
แต่เดิมเฉียวเวยคิดจะเผ่นแน่บ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงซื่อๆ นี่ก็หันเท้าวกกลับมา นางนั่งยองๆ ลงไปจับปลายคางขาวนุ่มนิ่มได้รูปของเขา แล้วบังคับให้เขาเงยหน้าขึ้น
เด็กหนุ่มถูกบีบคางจนรู้สึกเจ็บ เขาหันไปมองอีกฝ่ายแล้วมุ่นคิ้ว “เจ้าทำอะไร หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ อย่ามาแตะต้องข้า!”
เฉียวเวยยิ้มอย่างยินดีปรีดา
รอยยิ้มตื่นเต้นและเบิกบานใจนี่พอตกอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่มกลับดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้นอย่างสิ้นเชิง ประการแรกเขาหน้าตาอัปลักษณ์ (ความจริงก็แค่หน้าตาธรรมดาดาษๆ ทว่าเมื่อเทียบกับใครบางคนเช่นตัวเขาเองแล้ว นี่มันเหมือนก้อนโคลนก้อนหนึ่งชัดๆ) ประการที่สองเขายิ้มเหมือนพวกผู้หญิง!
ดังนั้นรอยยิ้มนี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเหมือนคนชั่วช้า
เฉียวเวยไม่รู้ว่าตนเองถูกมองเป็นคนชั่วช้า นางลูบคลำใบหน้าเขาอย่างอารมณ์ดี
บัดซบ ยังจะมาจับหน้ากันอีก!
“องค์ชายสาม! ข้าเอง เฉียวเวยอย่างไรเล่า!”
องค์ชายสามล้วงกริชมาถือในมือแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ชะงักกึก ใช้ภาษาจงหยวนถามว่า “เจ้าบอกว่า…เจ้าคือใครนะ”
“เฉียวเวย” แต่เดิมเฉียวเวยคิดจะเผยหน้าตาให้เขาดูสักหน่อย ทว่าที่ตรงนี้ไม่มิดชิดพอ หากถูกคนอื่นเห็นเข้าจะไม่ดีเอา
องค์ชายสามเก็บกริชกลับไป จากนั้นยื่นมือสองข้างออกมาคว้าหมับที่หน้าอกของเฉียวเวย
เฉียวเวย “!”
องค์ชายสามขยำๆ บีบๆ ผ่านเสื้อผ้าหนาและสายรัดหน้าอกครู่หนึ่งก็ว่า “โอ๊ะ เจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ ด้วย”
หัวหน้าพรรคเฉียว “…”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เจ้าเด็กคนนี้อย่างแรง ไม่พบหน้ากันไม่กี่เดือน เหตุใดจึงกลายมาเป็นอันธพาลเช่นนี้!
“องค์ชายสาม!” ศิษย์ที่ลาดตระเวนอยู่หลายคนเห็นสถานการณ์ฝั่งนี้เข้าแล้ว พอเห็นองค์ชายสามนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้น จมูกมีเลือดไหลก็วิ่งทะยานเข้ามาหาทันที
องค์ชายสามรีบคว้ามือของเฉียวเวยลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ไม่ใช่เขาๆ ข้าหกล้มเอง ข้า…ข้ามาหาเขาเพราะมีธุระด้วย พวกเจ้าไปทำงานเถอะ!”
ศิษย์ทั้งหลายจึงถอยออกไป
องค์ชายสามมองไปรอบด้านแล้วลากมือเฉียวเวยพากลับไปที่หอศิลาที่ตนเองพักอาศัยอยู่ชั่วคราว
ภายในหอศิลามีบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งปรนนิบัติเขาอย่างนอบน้อมจนมากผิดปกติ
องค์ชายสามลากเฉียวเวยเข้ามาในห้องของตนเองแล้วปิดประตู ขัดกลอน ก่อนจะพูดกับเฉียวเวยว่า “เจ้าคือพี่สะใภ้ของข้าจริงๆ หรือ”
เฉียวเวยถอดหน้ากากบนใบหน้าออก
ปากขององค์ชายสามอ้ากว้างจนยัดไข่ไก่เข้าไปได้
เฉียวเวยเหล่มองเขา “ปิดปากเสีย!”
องค์ชายสามปิดปากอย่างว่าง่าย เขาเปิดกล่องอาหารแล้วหยิบขนมกับผลไม้สดใหม่มาต้อนรับเฉียวเวย “พี่สะใภ้ท่านมาได้อย่างไร”
เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ รอจนกระทั่งเขานั่งลงตามแล้ว จึงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ข้าลักลอบเข้ามาสืบข่าว เจ้าเล่า เจ้ามาได้อย่างไร”
องค์ชายสามตอบอย่างใสซื่อ “ข้าก็มาแบบธรรมดาๆ ตอนนั้นข้านอนหลับอยู่ที่บ้านชิงเหลียนแท้ๆ แต่พอลืมตาขึ้นมาก็อยู่บนรถม้าแล้ว”
เฉียวเวยมองเขาแล้วถามว่า “พวกเขามัดเจ้าไว้หรือ”
“ก็…เปล่าหรอก” องค์ชายสามครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ตลอดทางมาคนเหล่านั้นปฏิบัติต่อเขาไม่เลวเลยทีเดียว
เฉียวเวยเหลือบมองสภาพเหมือนถูกเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีขององค์ชายสาม ดูท่าคงไม่ถูกผู้ใดทารุณมาก่อนจริงๆ แล้วจึงถามต่อว่า “นอกจากเจ้า คนพวกนั้นยังพาใครมาด้วยอีกบ้าง”
องค์ชายสามทำท่าทางลึกลับ “ท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่พวกเขาพายิ่นอ๋องกับพระตัวน้อยสามรูปของบ้านยิ่นอ๋องมาด้วย!”
เฉียวเวยมุมปากกระตุก อยู่ด้วยกันมาก็หลายเดือน เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือว่าพวกนางเป็นเด็กผู้หญิง
“พวกเขาอยู่ที่ใดเล่า อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่” เฉียวเวยถาม
องค์ชายสามส่ายหน้า “เปล่า พวกเราพลัดหลงกันไปแล้ว”
“พลัดหลงกันได้อย่างไร” เฉียวเวยถามอย่างไม่ทันคิด เพิ่งถามจบก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบถามต่อว่า “แต่เจ้าเห็นมารดาของข้าใช่หรือไม่”
องค์ชายสามพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม “เห็นสิๆ ท่านรู้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยบอกว่า “เมื่อหลายวันก่อนข้าพบบิดาของข้าแล้ว”
องค์ชายสามกะพริบตา “บิดาของท่านไม่เป็นอะไรหรือ ดีเหลือเกิน! ข้ายังกลัวว่าบิดามารดาของท่านจะพบอันตรายแล้วเสียอีก กระแสน้ำวันนั้นแรงเกินไปแล้ว พวกเราทุกคนถูกพัดกระจัดกระจาย โชคดีที่ข้ากับองครักษ์คนหนึ่งฝ่ากระแสน้ำมาถึงชายฝั่งได้ หลังจากเขาฟื้น เขาก็แบกข้ากลับมาที่นี่”
โชคดี…
เด็กน้อย ภาษาจงหยวนของเจ้าต้องพัฒนาหน่อยหรือไม่ สถานการณ์เช่นนั้นไม่สมควรบอกว่าตนเองโชคร้ายหรอกหรือ
องค์ชายสามแกะส้มลูกหนึ่งให้เฉียวเวย เขาจำได้ว่านางชอบกินผลไม้ชนิดนี้ “ท่านพบบิดาของท่านแล้ว ถ้าเช่นนั้นท่านพบมารดาของท่านหรือไม่”
เฉียวเวยรับส้มมา “ยังไม่พบ ข้ากำลังตามหานางอยู่เหมือนกัน”
องค์ชายสามตบหัวไหล่ของนาง “บิดาของท่านไก่อ่อนปานนั้นยังไม่เป็นอะไร นางจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ท่านวางใจเถิด”
เฉียวเวย ข้า ข้าขอบใจเจ้าแล้วกันนะ…
“เฮ้อ ตอนมามีคนมากมาย ตอนนี้กลับเหลือข้าเพียงคนเดียว โดดเดี่ยวเหลือเกิน!” องค์ชายสามยกมือขึ้นเท้าแก้ม บ่นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
————————–