ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 14 อาศัยแสงสว่างข้าส่องเงามืด

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 14 อาศัยแสงสว่างข้าส่องเงามืด

หลังเขาสู่ซาน

บรรยากาศอึมครึม

ผู้มีอิทธิพลจากเขาศักดิ์สิทธิ์หลายท่านสีหน้าไม่ดีนัก

เจ้าลัทธิเฉินอี้บาดเจ็บตรงบ่า นักพรตชุดคลุมหยาบที่ยืนกรานจะถือร่มให้เฉินอี้ก่อนหน้านี้ นำยาทามา เปิดชุดคลุมเต๋าขึ้นมุมหนึ่ง ย่อตัวลง ทาแผลให้ท่านเจ้าลัทธิอย่างสุดตัว นางเพ่งพินิจพบว่าพวกนี้เป็นบาดแผลถากเบาๆ ศีรษะของท่านเจ้าลัทธิพันด้วยผ้าขาวบางสองรอบ นี่ต่างหากคือจุดที่บาดเจ็บสาหัส

ไม่มีใครรู้ว่ามือสังหารนั้นทำอะไรกันแน่…แต่มองจากบาดแผลพวกนี้ หากไม่ได้อาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานหนิงอี้มาทันเวลา ก็มีโอกาสสูงที่ท่านเจ้าลัทธิจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด

นักพรตชุดคลุมหยาบหญิงพ่นลมหายใจเบา

นี่เป็นโชคดีในความโชคร้าย

นางมองไปที่ยันต์คำสั่งนั้นที่ลอยอยู่หลังภูเขา สีดำแดงเก่าแก่บนยันต์หมุนวนช้าๆ มองไม่เห็นกลิ่นอายพลังใดๆ เลย…นางศึกษาค่ายกลที่สำนักเต๋า ใจนึกมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นบรรพจารย์ที่มีนามว่าลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานคนนั้นที่วางค่ายกลไว้ที่นี่เป็นพิเศษ เหมือนชามขนาดใหญ่คว่ำอยู่บนเส้นขอบฟ้าตรงร่องหุบเขา เป็นการขยายของผนึกค่ายกล พิจารณามองดูดีๆ จะเห็นกลิ่นอายแสงดาราไหลเวียน ภายในนั้นมีโลกอยู่

คุณชายเจ้าหรุยกับตัวอ่อนสังหารสวีจั้ง ก็เคยได้โชควาสนาในหลังเขาสู่ซาน ส่วนเจออะไรข้างหลัง หลังภูเขาสู่ซานมีอะไร คำถามคล้ายๆ กันนี้…ทั้งสองต่างปิดปากไม่เอ่ยถึง นี่เป็นความลับที่ยังไม่คลี่คลายในใจผู้บำเพ็ญทั้งหมดในใต้ฟ้าต้าสุย

นักพรตชุดคลุมหยาบหญิงนึกถึงบางอย่างเงียบๆ ในใจ

ในรายนามดารามีเยี่ยหงฝูกับเสี่ยวจู๋หลงที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะ แต่ก็ได้แค่อยู่อันดับสองกับสามอย่างน่าคับอกคับใจ คนระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์ยังต้องอยู่หลังหนิงอี้…อาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานคนนั้นอยู่อันดับหนึ่งในรายนามดารา เหตุใดถึงถูกมือสังหารที่เพิ่งทะลวงขอบเขตพลังกดดันไปหลังภูเขากัน

แต่พอนึกคิดดู นางก็คิดว่ามือสังหารนั้นไม่ธรรมดา

นักพรตชุดคลุมหยาบที่ติดตามข้างกายท่านเจ้าลัทธิ ถือร่มให้เขาเดินไปกับเขาด้วยกันคนนั้น มีนามว่าซูซาน เป็นผู้บำเพ็ญจุดสูงสุดขอบเขตที่หก การจะเป็นนักพรตชุดคลุมหยาบในสำนักเต๋าได้มีเงื่อนไขที่ยากมากมาย ฐานะกำเนิดไม่ต้องพูดอะไรมาก เกี่ยวกับตัวบุคคล…นอกจากพลังบำเพ็ญจะต้องถึงขอบเขตกลางแล้ว ในด้านวิชาแพทย์ ค่ายกล หลอมอาวุธ โอสถเป็นต้น ยังต้องมีความรู้เบื้องต้น

ซูซานเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตกลาง แต่ก็เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตกลางที่โดดเด่นที่สุดในสำนักเต๋า ดูจากคราบเลือดหลังภูเขาแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ถูกมือสังหารนั้นฉีกเป็นชิ้นๆ 艾琳小說

มือสังหารที่ท่านเจ้าลัทธิเรียกว่าเงา ในตอนนั้นยังไม่ทะลวงขอบเขตหลังเลย…กำลังรบแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว มีโอกาสสูงที่จะเป็นยอดผู้บำเพ็ญที่ซ่อนศักยภาพไว้ ฝืนลดพลังบำเพ็ญลง จากนั้นถึงได้อำพรางสัมผัสของเจ้าภูเขาสู่ซานน้อยได้ แล้วเริ่มล่าสังหาร

นักพรตชุดคลุมหยาบหญิงคิดไปพลางทายาจนเสร็จ เช็ดๆ ก่อนจะพันแผลในตอนสุดท้าย นางทำใจวางชุดคลุมของเฉินอี้ลงไม่ได้นิดๆ พูดเสียงเบา “ท่านเจ้าลัทธิ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

เฉินอี้ขานรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขามองพันกรข้างกายตนและกองทัพเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ผนึกกำลังกันอยู่ไม่ไกล

นักพรตชุดคลุมหยาบแห่งสำนักเต๋านับกำลังพลกันเรียบร้อย มือสังหารที่พกตราปราชญ์เล็ก จำนวนของนักพรตชุดคลุมหยาบไม่ได้ลดน้อยลง…มือสังหารไม่ได้แฝงตัวมากับรถม้าของสำนักเต๋าเข้าเขาสู่ซาน คงมีแต่จะเป็นคนอื่นแล้ว

“พิธีศพของศิษย์น้องสวีจั้ง เขาสู่ซานเปิดภูเขา เขาศักดิ์สิทธิ์มาเป็นแขก ขอแค่เผยฐานะก็จะพาศิษย์ในสังกัดเข้ามาได้”

พันกรยืนข้างเฉินอี้ พูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “ท่านเจ้าลัทธิยืนยันแล้วว่าเงานั้นไม่เกี่ยวกับสำนักเต๋า เช่นนั้นเกี่ยวกับใคร”

นางพาดเสื้อคลุมใหญ่สีขาวดำไว้บนบ่า สองปราณหยินหยางหมุนวน ยันต์หลังภูเขาลอยอยู่ข้างหลังนาง ต้านพายุฝนทั้งภูเขาไว้ แต่ชุดคลุมนางกลับปลิวไสวแม้ไร้สายลม ผิวพรรณแผ่ปราณม่วงจากในสู่นอก ดูเหมือนเทพเจ้าที่มีดาราปกคลุม

พันกรแผ่พลังดาราของตน

เจ้าตระกูลสองคนแห่งตำหนักฟ้า คนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง ห้านิ้วมือที่ซ่อนในแขนเสื้อทำปางมือ พลังสายลมค่อยๆ หมุนม้วนขึ้น มีกลิ่นอายสังหารทีละนิด อีกคนเอากระบี่หนักข้างหลังตนมาตั้งไว้บนพื้นเบาๆ

สี่สำนักศึกษา คนนำทางมาครั้งนี้เป็นราชันดาราอี๋อู๋แห่งจวนขานฟ้า บรรลุขอบเขตราชันดาราเมื่อร้อยปีก่อน ข้างหลังเขา ศิษย์จวนขานฟ้าทุกคนดูมีสีหน้าไม่เป็นมิตร หลายสำนักศึกษามีความแค้นกับเขาสู่ซานเพราะสวีจั้ง สิบปีมานี้ถ่ายทอดความแค้นนี้ไม่ขาด สั่งสมไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยปะทุ จนได้ข่าวการตายของสวีจั้ง

ตอนนี้พวกเขามาพิธีศพนี้ ได้ยืนยันการตายของสวีจั้งกับตา…ดีใจและสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์อย่างบอกไม่ถูก แต่เพราะเกิดเรื่องกับหนิงอี้ ตอนนี้จึงถูกพันกรรั้งไว้ที่หลังภูเขา

ราชันดาราอี๋อู๋หรี่ตาลง ดึงปิ่นปักผมของตนออกมาเบาๆ นิ้วเคาะปิ่นปักผมไม้แดงเบาๆ จนเกิดเสียงใสขึ้น

ข้างหลังราชันดาราอี๋อู๋ไม่ใช่แค่จวนขานฟ้า แต่ยังมีสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา

สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวออกจากเขาสู่ซานไปแล้ว อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยที่เคยมีสัมพันธ์กับสวีจั้งในอดีต ยืนยันการตายของสวีจั้งแล้วก็นำศิษย์ไปจากสถานที่น่าปวดใจแห่งนี้

พันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนบูรพาไม่มีราชันดารามา เห็นได้ชัดว่าชอบทำอะไรเงียบเชียบ ยอดผู้บำเพ็ญดาราชะตาสองคนนำจี้หยกที่คุณชายน้ำค้างให้มาด้วยเลยไม่เกรงกลัวพันกรเท่าไร

พวกเขาไม่เชื่อว่าพันกรจะใช้กำลังตัวคนเดียวรั้งผู้บำเพ็ญดาราชะตาพวกนี้ไว้ได้ ต่อให้หนิงอี้ตายที่หลังภูเขาจริงๆ พันกรจะทำอะไรได้

บรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย

เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่อยู่เงียบๆ กลางเขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ได้รีบร้อนเข้าร่วมเพื่อแสดงท่าทีชัดเจน แต่พาศิษย์ในสำนักเว้นระยะห่างจากสำนักศึกษา ตำหนักฟ้ารวมถึงเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาเล็กน้อย

หลิ่วสือมองเจ้าลัทธิเฉินอี้พลางพูดอย่างนุ่มนวล “ท่านเจ้าลัทธิ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตำหนักทะเลสาบกระบี่ตกใจมากจริงๆ…ยินดีให้สำนักเต๋าตรวจสอบหามือสังหารได้เต็มที่”

เฉินอี้พยักหน้าอย่างอ่อนโยน โจวโหยวยืนข้างหลังเขา หนึ่งในราชันดาราที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ใต้ฟ้าต้าสุย โจวโหยวพยักหน้าเช่นกัน สำหรับท่าทีตำหนักทะเลสาบกระบี่…สำนักเต๋ายินดีที่จะได้เห็นมาก หากเป็นเช่นนี้กันหมด วันนี้ก็จะจัดการปัญหาได้ง่ายมาก

มีคนมองตำหนักทะเลสาบกระบี่พลางหัวเราะเยาะ

แม้ราชันดาราอี๋อู๋จะเป็นบุรุษ แต่การกระทำกลับนุ่มนวล เขาปิดปากหัวเราะ ถามเสียงนุ่ม “หลิ่วสือ…เจ้าเป็นคนโปร่งใสจริง ไม่รู้ว่าพันกรจะซาบซึ้งในบุญคุณหรือไม่”

หลิ่วสือยิ้มอ่อนโยน

พันกรไม่พูด แต่ชำเลืองตามองตำหนักทะเลสาบกระบี่ทีหนึ่ง จากนั้นหันกลับมาช้าๆ มองคนสำนักศึกษาและตำหนักฟ้าพวกนั้นอีกครั้ง

“พันกรเหวินจ้ง” เสียงของราชันดาราอี๋อู๋นุ่มและเบา เขามองสตรีสวมชุดคลุมหยินหยางด้วยสีหน้าจริงจัง ความคิดแรกออกมาเป็นนามเต็มของพันกร เจ้าภูเขาน้อยแห่งเขาสู่ซานคนนี้เป็นรองเพียงผู้บำเพ็ญราชันดาราส่วนใหญ่ ปกติเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์น้อย จะเป็นศิษย์อัจฉริยะหนุ่มสืบทอด แต่ทุกอย่างเป็นเพราะลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานแข็งแกร่งเกินไป ถูกคนสงสัยว่ายังมีชีวิตอยู่…ดังนั้นต่อให้พันกรจะเก่งกาจในขอบเขตราชันดารา แต่ก็ได้แค่นั่งตำแหน่งเจ้าภูเขาน้อย

“ข้าเคารพที่เจ้ามีพลังบำเพ็ญสูงส่ง ไม่ยอมวิวาทกันในเขตเขาสู่ซาน” ราชันดาราอี๋อู๋จ้องตากับพันกร เขาเล่นปิ่นปักผมไม้แดงนั้นพลางพูดอย่างจริงจัง “แต่การฝึกบำเพ็ญไม่ง่าย…เจ้าน่าจะรู้ถึงรากฐานของสำนักศึกษาข้า ใต้เท้าบุตรแห่งสวรรค์ ใครไม่มีบรรพจารย์อยู่บ้าง วันนี้ถ้าเจ้าจะขวางข้า ก็ต้องดูว่าบรรพจารย์สำนักศึกษากับบรรพจารย์เขาสู่ซาน…ใครจะมีความมั่นใจมากกว่ากัน”

พันกรหรี่ตาลง นางเอ่ยราบเรียบ “เจ้าลองเรียกบรรพจารย์พวกนั้นในสุสานเมืองหลวงมาดูได้ ‘บุตรยอดขุนนาง’ ‘บุตรสู่ฟ้า’ เรียกใครมาก็ได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปโดยไม่พูดสักคำ ได้ยินว่าจวนขานฟ้ายังมี ‘ราชันเพลงปราชญ์’ ที่มีชื่อเสียงน่ากลัวอีกคน แน่จริงก็เรียกมาให้ทุกคนดูหน่อย”

เฉินอี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็มีสีหน้าจริงจัง สี่สำนักศึกษามีประวัติศาสตร์ยาวนาน คนที่มีหวังก้าวข้ามขอบเขตราชันดารา…ล้วนมีฉายาแต่งตั้งในใต้ฟ้าต้าสุย

ฉายาแต่งตั้งพวกนี้เลือกมาจากคำศัพท์ที่มีเต็มไปหมดในสุสานตำราสำนักศึกษา เกี่ยวข้องกับดวงชะตา ยิ่งดวงชะตาสูง ระดับก็ยิ่งสูง คนที่ได้รับแต่งตั้งก็ยิ่งได้รับการปฏิบัติที่ต่างกัน

ยอดผู้บำเพ็ญพวกนี้เล่าลือว่าหลับใหลในสุสาน ชีวิตเดินมาถึงสุดทาง ต้องอาศัยดวงชะตาใต้เมืองหลวง ฝืนผนึกแสงดาราไว้ จะคืนชีพมาในตอนที่สำนักศึกษาเจอกับสถานการณ์ที่ต้องออกมือ

นี่เป็นการยืนกรานเล็กๆ ไม่ถึงกลับต้องให้สำนักศึกษาต้องเผยไพ่ตายใหญ่เช่นนี้

เฉินอี้รู้ว่า ‘บุตรยอดขุนนาง’ กับ ‘บุตรสู่ฟ้า’ นี่เป็นบุคคลในตำนานของสำนักศึกษา วางไว้ในยุคนี้ ในตอนหนุ่มจะไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญอัจฉริยะอย่างสวีจั้งโจวโหยว เดินผ่านพายุฝนไม่อาจขวางกั้นมาจนสุดทาง สุดท้ายเลือกผนึกพลังบำเพ็ญ

ส่วนราชันเพลงปราชญ์ ฉายาแต่งตั้งนี้ฟังดูแกร่งกว่าอีกสองคนเล็กน้อย เป็นผู้บำเพ็ญที่อายุมากที่สุดในสุสานสำนักศึกษา เล่าลือว่าสิ้นชีพไปแล้ว แต่ยังมีดวงจิต ก่อนผนึกแสงดาราก็อยู่เกินกว่าขีดจำกัดห้าร้อยปี

ปิ่นปักผมนั้นในมือราชันดาราอี๋อู๋ หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ปลุกสุสาน

เฉินอี้เม้มริมฝีปาก เขากังวลว่าการวิวาทจะไปถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไขได้

เจ้าลัทธิหนุ่มมองเจ้าภูเขาสู่ซานน้อย เห็นนางมีสีหน้าสงบนิ่งอย่างยิ่ง เหมือนจะไม่สนใจเลยว่าราชันดาราอี๋อู๋บีบปิ่นปักผมแตกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

หรือว่า…บรรพจารย์ลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานคนนั้นจะยังไม่ตายจริงๆ แต่อยู่ที่หลังภูเขา ตื่นมาได้ทุกเมื่อหรือ

เฉินอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย

ราชันดาราอี๋อู๋หน้ามืดทะมึน มือบีบปิ่นปักผม ลังเลไม่แน่ใจ

พลันมีคนร้องอุทานเบาๆ

เป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่หลิ่วสือ

หลิ่วสือมองหลังภูเขาข้างหลังพันกร ผนึกเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด…

ท่ามกลางสายตาสับสนของทุกคน ยันต์นั้นพลันเปล่งแสง ชั่วพริบตาเดียว พลังน่ากลัวก็แผ่ออกมา

หากบอกว่าก่อนหน้านี้ยังมีคนสงสัยในความเป็นตายของบรรพจารย์แห่งเขาสู่ซานคนนั้น รวมถึงความมั่นใจของราชันดาราพันกร ในวินาทีนี้…ความคิดสงสัยทุกอย่างล้วนหายไป

หลังภูเขาที่ยันต์นั้นปกคลุมสั่นสะเทือน แสงดาราที่เหนือกว่าขอบเขตราชันดาราแผ่ออกมาจำนวนมาก เพียงแค่เส้นเดียวก็นำพาแสงสว่างจ้าส่องมาจากหลังยันต์นั้น

ฟ้าดินกลายเป็นเส้นเดียว

แสงสว่างในพริบตา

มีคนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง

เหมือนอาศัยแสงสว่างที่สุดในโลก

ดังนั้นหลังภูเขาสู่ซานที่มืดครึ้ม เงามืดที่ปกคลุมทุกคนถูกส่องสว่างขึ้น

เด็กหนุ่มกับเด็กสาวประคองกันเดินออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน

……………………..