ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 15 ซ่อนคม (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 15 ซ่อนคม (rewrite)

ทันทีที่หนิงอี้กับเผยฝานก้าวออกมา มีคนโล่งอก

สาเหตุที่สองฝ่ายคุมเชิงกันเป็นเพราะเรื่องนี้ อาจารย์อาน้อยคนใหม่ของเขาสู่ซานถูกสวีจั้งพามา สืบทอดมรดกของคุณชายเจ้าหรุย…หากวันนี้เกิดอะไรขึ้น พันกรอาจจะรั้งเขาศักดิ์สิทธิ์ไว้ ตรวจสอบถึงที่สุด

ราชันดาราอี๋อู๋หรี่ตาลง เขามองไปที่สองคนนั้นที่เดินออกมาหลังแสงสว่าง

กลิ่นอายพลังของหนิงอี้เก็บอยู่ข้างใน เขาถือพินิจเหมันต์ กระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกเล่มนี้ซ่อนอยู่ในด้ามร่ม ใบร่มขาดรุ่ยเพราะการต่อสู้กับเงานั้น ต่อให้เนื้อในกระบี่เผยออกมาจนหมด มองไปก็ยังเป็นกระบี่ธรรมดา

นี่คืออาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานรึ

ราชันดาราอี๋อู๋เลิกคิ้วขึ้น รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่เท่าไรเลย ไม่มีแสงสว่างจ้าแสบตาเท่าลั่วฉางเซิงแห่งเขาเชียงพำนักเทพเลย กระทั่งเทียบกับเยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจีย เสี่ยวจู๋หลงแดนอุดรก็ยังมีความต่างไม่น้อย

แต่มีอย่างหนึ่งที่น่าสนใจหน่อยๆ ราชันดาราอี๋อู๋อ่านพลังบำเพ็ญของหนิงอี้ไม่ออก หรืออาจจะเป็นเพราะพันกรสอนวิชาอำพรางตาที่ดีให้เขา แสงดาราในตัวซ่อนอยู่ในเลือด หากไม่ออกมือก็จะตรวจสอบได้ยาก

ราชันดาราอี๋อู๋มองเผยฝาน นางเอานิ้วมากดกระบี่ซ่อนตรงระหว่างคิ้วไว้ก่อนแล้ว พุทราแดงนั้นไม่สะดวกจะให้คนอื่นเห็น ป้ายคำสั่งดอกบัวนั้นของเขาลั่วเจียรวมถึงฐานะชนรุ่นหลังตระกูลเผย เด็กสาวซ่อนไว้อย่างระมัดระวัง หากข้อมูลพวกนี้รั่วไหลออกไป มีโอกาสสูงมากที่จะก่อคลื่นลมที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดีร้ายยากจะคาดคิด

ต่อให้เผยฝานจะซ่อนกระบี่ซ่อนไปแล้ว ใบหน้ารูปไข่งดงามนั้นก็ยังดึงดูดสายตาทุกคนในทันที

ศิษย์สำนักศึกษาหรี่ตาลง มองเด็กสาวข้างกายหนิงอี้ รู้ว่านี่คือแม่นางเผยคนนั้นที่ท่านเจ้าลัทธิพูดถึง ดวงตาใสฟันขาวสะอาด เกิดมางดงามจริงๆ น่าเสียดายที่ดอกไม้ไปปักบนขี้วัว

เป็นเพราะสวีจั้ง ผู้บำเพ็ญหนุ่มจากสำนักศึกษาพวกนี้จึงไม่ถูกชะตากับหนิงอี้เท่าไร ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเห็นเงาของสวีจั้งในตอนนั้น

สองคนที่ก้าวออกมาจากแสงสว่าง ก่อนที่จะเปิดยันต์และเดินเข้าไปในเส้นขอบฟ้าแคบเล็ก ต้องรักษาท่าทีสนิทสนมกันไว้ กอดเอว เกาะบ่า นิ้วมือประสานกัน

ดังนั้นถึงได้ออกมาเช่นนี้

หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งเกาะบ่าเผยฝาน เขาได้ยินเสียงของเด็กสาว พูดเบาๆ ด้วยความเขินอาย “พี่…เหตุใดถึงมีคนเยอะขนาดนี้”

หนิงอี้หน้าไม่เปลี่ยนสีไป มองทุกคนที่ยืนหลังภูเขา ราศีไม่เปลี่ยน ก่อนก้าวออกมาจากเส้นขอบฟ้า เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น…หลังจากค่อยๆ สบตาคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันพวกนี้และมั่นใจว่าในแววตาพวกเขามีการเหยียดหยามและดูถูกตน หนิงอี้ก็ถอนหายใจเบาๆ ใจนึกตนตกไปในร่องหุบเขา อาภรณ์เก่าเปียกแล้วก็แห้ง แม้จะเหยียบแสงหมื่นจั้งออกมา แต่ก็ยังไม่อาจเลี่ยงภาพลักษณ์ตกอับมอมแมมได้

เพราะตนกอดยัยเด็กนี่ไว้หรือ

หนิงอี้เพ่งสายตาเล็กน้อย

เจ้าลัทธิถูกลอบสังหาร ตนตกไปหลังภูเขานานขนาดนี้ เห็นทีเรื่องนี้คงแพร่งพรายไปแล้ว ก่อเกิดคลื่นลูกใหญ่ ผู้มีอิทธิพลจากเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายมากันที่นี่ หรือเพราะตนกัน

หนิงอี้มองราชันดาราหลายคนที่นี่…จากนั้นเสียงเฉินอี้ดังแว่วมาด้วยความจนปัญญา “หนิงอี้…หากเจ้าออกมาช้ากว่านี้ครู่เดียว เกรงว่าท่านพันกรคงจะกินแขกเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านไปหมดแน่”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น มองยอดผู้บำเพ็ญหลายคนที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ หนิงอี้อบอุ่นในใจ มองศิษย์พี่หญิงของตน พันกรมีสีหน้าสงบนิ่งมาแต่แรก ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย

ราชันดาราอี๋อู๋เก็บปิ่นปักผมกลับไป ก่อนเอ่ยราบเรียบ “ในเมื่ออาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานคนนี้ไม่เป็นอะไร ท่านเจ้าลัทธิก็ไม่เป็นอะไร…เช่นนั้นพวกเราจะปล่อยผ่านความเข้าใจผิดนี้ ต่างฝ่ายต่างถอยหนึ่งก้าว ให้ทั้งสองฝ่ายมีที่ยืนกันได้”

เขาเองก็โล่งอก พูดด้วยความสัตย์จริง “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยไปตามนี้แล้วกัน”

เจ้าตระกูลเฟิงหยุดทำปางมือ ปราณวายุในฟ้าดินค่อยๆ สลายไป สายตามองหลังภูเขาข้างหลังพันกรอย่างหวาดกลัว

ปุถุชนเล่าว่าที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดของเขาสู่ซานก็คือหลังภูเขานั้น

‘บุตรหินผาบูรพา’ เจ้าหรุยออกมาจากหลังภูเขา อยู่เขาสู่ซานสองร้อยปี

ตัวอ่อนสังหารสวีจั้งออกมาจากหลังภูเขา ก็กำราบทั้งใต้ฟ้าต้าสุยสิบปีเต็ม

ตอนนี้เขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ราชันดาราทุกท่านได้ประจักษ์อาจารย์อาน้อยคนใหม่หนิงอี้ออกมาจากหลังภูเขา…เด็กหนุ่มที่ดูไม่เตะตาคนนี้มีคุณสมบัติพอจะทำให้ทุกคนเชื่อว่าอีกไม่นาน เขาจะก่อเมฆลมไปทั้งใต้ฟ้าต้าสุย

เจ้าตระกูลเจี้ยนเอาสองมือจับกระบี่ กระบี่เบาห้อยข้างเอว กระบี่หนักออกจากฝักตั้งอยู่บนพื้น เขามองหนิงอี้พลางครุ่นคิด…เด็กหนุ่มคนนี้ต่างจากลั่วฉางเซิง บางคนมีแววดี เปล่งแสงสว่างหมื่นจั้ง ตอนที่ก้าวมาจากแสงสว่างก็สาบานว่าจะยืนอยู่เหนือหัวทุกคน เหมือน ‘กระบี่เทพมรรค’ สามคนในตอนนั้น ทุกคนล้วนเปล่งแสงสว่างกันเต็มที่ อยู่เหนือทุกคนในรุ่นเดียวกัน ตอนนี้ลั่วฉางเซิงแห่งพำนักเทพก็เป็นคนเช่นนี้

เขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา รวมถึงกองทัพที่ต่างฝ่ายต่างยืนกรานกันทั้งหลังภูเขาเตรียมออกจากพิธีศพที่ตอนแรกน่ารื่นรมย์ แต่ต่อมาไม่ค่อยน่าอภิรมย์นั้น ทุกคนคิดว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นนี้

มีเสียงหนึ่งดังแว่วมา

เสียงของหนิงอี้มีความตกใจเสี้ยวหนึ่ง เขามองศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บดาบเก็บกระบี่ บุรุษอ่อนโยนที่ทำท่าเก็บปิ่นปักผมรวมถึงคนมากมาย พลางเอ่ยทีละคำ “หากปล่อยไปเช่นนี้ สำนักเต๋าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

ราชันดาราอี๋อู๋หรี่ตาลง

เขามองราชันดาราอี๋อู๋หน้าสำนักศึกษาพลางพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่เอาอย่างไรหรอก ข้าแค่อยากหาตัวมือสังหารนี่…”

หนิงอี้มองเฉินอี้พลางสูดลมหายใจเข้าลึก “ข้ารับรองได้ว่าทุกคำพูดเป็นความจริง”

จากนั้นหนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง ชี้ตู้รถม้าไม้ขาวที่จอดอยู่ไม่ไกลก่อนเอ่ยเรียบๆ “การลอบสังหารท่านเจ้าลัทธิ…ยังจับคนร้ายไม่ได้ พวกเจ้าก็คิดจะปล่อยไปเช่นนี้รึ”

“ท่าร่างที่มือสังหารนั่นใช้คือ สายลมวิสุทธ์พัดผ่านของจวนขานฟ้า”

ราชันดาราอี๋อู๋หน้าเปลี่ยนสีไป เขาโกรธจนแทบจะบีบปิ่นปักผมแตก แทบจะพ่นไฟโทสะออกมาใส่ผู้บำเพ็ญที่อายุน้อยกว่าร้อยปีอย่างหนิงอี้ กัดฟันพูดด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กปากเสีย ใส่ร้ายกันรึ”

เมื่อพูดออกมา นักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบก้าวออกมาเงียบๆ มีคนบีบจี้หยกสำนักเต๋า ค่ายกลสีสันต่างกันลอยขึ้นมาจากใต้เท้าพวกเขา รอยเชื่อมต่อกันในเขตหลังภูเขา

หนิงอี้ยิ้ม ภายใต้แสงดาราเงาในฝ่ามือค่อยๆ เผยร่างในตอนนั้นออกมา

เฉินอี้ยกมือขึ้นกดลง แสงสว่างของค่ายกลพวกนั้นหายไปพร้อมกับท่าทางการลดมือ ดูพร้อมเพรียงกันมาก มีกลิ่นอายสังหาร นักพรตชุดคลุมหยาบแห่งสำนักเต๋าพวกนี้มีพลังบำเพ็ญไม่สูง แต่เป็นพลังที่มองข้ามไม่ได้ พวกเขาส่งข่าวไปถึงหอสามวิสุทธิ์นอกเทือกเขาประจิม สำนักเต๋ากับเขาสู่ซานเป็นมิตรกันมาตลอด ในใต้ฟ้านอกจากเมืองหลวงแล้ว ขุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดคือประชาชนผู้ศรัทธานับล้านใต้ฟ้าต้าสุย…สำนักเต๋าถูกลอบโจมตี จะบอกว่าปล่อยผ่านก็ปล่อยผ่านไปได้อย่างไร

ราชันดาราอี๋อู๋สูดลมหายใจเข้าลึก เขามองหนิงอี้ “เจ้าจะเอาอย่างไร”

หนิงอี้ยิ้ม

เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง แสงดารารวมในฝ่ามือ กลิ่นอายพลังปั่นป่วนไหลวนช้าๆ ในฝ่ามือ สุดท้ายก่อเป็นรูปร่าง

“คนกล้าบ้าดีเดือดที่ลอบสังหารเจ้าลัทธินั่น…ตายแล้ว” หนิงอี้เอ่ยนิ่งๆ “ตอนที่ข้าสังหารมัน ได้นำกลิ่นอายพลังออกมาเล็กน้อย แสงดาราพอสร้างเป็นภาพได้บ้าง ตอนปกป้องท่านเจ้าลัทธิที่หลังภูเขา ข้าพบว่ามือสังหารมีที่มาที่ไป…ไม่ธรรมดา”

ก่อนที่จะปลุกตื่นขลุ่ยกระดูก ตอนประมือกับเงานั้นหนิงอี้ตกใจศาสตร์วิชาที่หลากหลายของอีกฝ่าย จึงเก็บหลักฐานไว้เป็นพิเศษ ผู้ครองกระบี่ไม่ได้บอกที่มาที่ไปของเงานั่นกับเขา…แต่เขาก็ไม่คิดจะล้มเลิกการตรวจสอบ

เขามองราชันดาราอี๋อู๋หน้าสำนักศึกษาพลางพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่เอาอย่างไรหรอก ข้าแค่อยากหาตัวมือสังหารนี่…”

เฉินอี้สีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจัง “ภาพในตอนนั้น…เป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่ขาดตกไปแม้แต่น้อย”

ราชันดาราอี๋อู๋เพ่งมอง แสงดาราควบแน่นกลางฝ่ามือหนิงอี้ ปรากฏภาพเงานั้นพุ่งกระโจนเข้ามาอีกครั้ง นั่นเป็นสายลมวิสุทธ์พัดผ่านของจวนขานฟ้าจริงๆ

หนิงอี้ยิ้ม ภายใต้แสงดาราเงาในฝ่ามือค่อยๆ เผยร่างในตอนนั้นออกมา

เขามีสีหน้าปั้นยาก หันไปมองศิษย์ของตน พูดไม่ออกสักคำ

หนิงอี้ยังไม่หยุด ครั้งนี้เขามองไปที่เจ้าตระกูลเฟิงคนนั้น เอ่ยเสียงเฉยชา “มือสังหารนั้นก็ใช้ร่างพลิกกลับของตระกูลเฟิงเช่นกัน”

หมอกในฝ่ามือเปลี่ยนไป แววตาเฉินอี้เย็นชาลง

ก็ยังเป็นเช่นนั้น

ตอนนั้นคับขันยิ่ง เขาไม่ทันจำเค้าโครงของเงานั้น ไม่คิดเลยว่าหนิงอี้จะแยกแยะวิชาของเงานี้ออก…เจ้าลัทธิมองไปที่เจ้าตระกูลเฟิง

เจ้าตระกูลเฟิงที่เดิมทีหยุดทำปางมือหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก ไม่เคยคิดเลยว่าหนิงอี้จะสาดน้ำขุ่นใส่ตนเช่นนี้

“เจ้าพูดไร้สาระ…”

น้ำเสียงเจ้าตระกูลเฟิงมีความแหลมเล็กเสี้ยวหนึ่ง ยกฝ่ามือขึ้น ทั้งตัวทะลวงผ่านม่านสายลม พลันพุ่งมาจะเข้าถึงตัวหนิงอี้ ตบอาจารย์อาน้อยปากเสียแห่งเขาสู่ซานคนนี้ให้ตาย

พันกรไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย

โจวโหยวข้างกายเฉินอี้พลันเคลื่อนไหว

นักพรตเต๋าผมขาวกลายเป็นแสงสีขาว หายไปจากข้างกายเฉินอี้

…………………….