ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 16 ศึกแห่งราชันดารา

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 16 ศึกแห่งราชันดารา

เกิดพายุขึ้นกลางฟ้าดิน

พลันเกิดพายุขึ้นเพราะเจ้าตระกูลเฟิงตำหนักฟ้า ผู้บำเพ็ญที่มาในครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง เดินหน้าดั่งสายลม เล่าลือว่าหลังทะลวงดาราชะตา ต่อให้อยู่กับที่ก็เคลื่อนไหวได้ไกลแปดพันลี้

แต่มีร่างเงาสีขาว ดูเหมือนเชื่องช้า ก้าวจากหินใหญ่ข้างเจ้าลัทธิมาอยู่หน้าหนิงอี้ แทบจะเฉียดผ่าน ท่ามกลางสายตาของผู้บำเพ็ญเขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย เห็นเพียงร่างเงาสีขาวนั้นหยุดค้าง ใช้ฝ่ามือดูดเบาๆ ดาบยาวธรรมดาเล่มหนึ่งก็ถูกดูดจากฝักของนักพรตชุดคลุมหยาบคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

โจวโหยวเหยียบหินแตกเข้ามา เส้นทางระเบิดเป็นทางยาว เคลื่อนไหวทีหลังแต่มาถึงก่อน มาอยู่หน้าหนิงอี้ ชักดาบจากล่างขึ้นบน คมดาบผ่านม่านสายลมวาดเป็นแสงสว่างโค้งสายหนึ่ง

เจ้าตระกูลเฟิงที่พุ่งมาอย่างฉับไวยิ่ง หรี่ม่านตาลง ไม่ได้เลือกดึงฝ่ามือกลับ แต่ยังคงตบฝ่ามือลงด้วยท่าเดิม

ตระกูลเฟิงตำหนักฟ้า พายุหมุนวน ฝึกบำเพ็ญกายและจิต ปกติจะพกกระบี่ดาบได้อย่างไร

เสียงปะทะดังกังวานขึ้น

ปลายดาบของโจวโหยวแทงกลางฝ่ามือเจ้าตระกูลเฟิง แทงเป็นจุดสีขาวเล็ก ดาบแตกเป็นเสี่ยงๆ นักพรตผมขาวใช้อีกมือโบกแขนเสื้อห่อจับไว้ด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ใช้ท่าจับนกระจอกหุบเศษดาบเข้าไปในแขนเสื้อทั้งหมด แขนเสื้อพลันสั่นไหว

ดอกไม้แห่งสายลมมากมายระเบิดตรงหน้าเจ้าตระกูลเฟิง ปราณวายุที่กันไว้ข้างหน้ากับใบดาบคละปนกัน ก่อนแตกกระจายทั้งหมด ยังไม่ทันทำอะไร นักพรตผมขาวก็ใช้ดาบหักครึ่งหนึ่งแทงเข้ากลางฝ่ามือ เลือดสาดกระจาย

หลังล่าช้าไปหนึ่งพริบตา

ปราณวายุแตกสลายไป…

ทั้งสองคนพุ่งชนต้นไม้ใหญ่หลังภูเขาตามๆ กัน พลันเกิดเสียงสั่นสะเทือน

ใบไม้ร่วงปลิวไสว มากมายเหมือนสมุทร

โจวโหยวปล่อยดาบในมือ ถอยไปสองก้าว ใบหน้าเรียบนิ่ง มองเจ้าตระกูลเฟิงที่แขนข้างหนึ่งลามไปถึงฝ่ามือถูกดาบหักตอกกับต้นไม้โบราณ ไม่พูดอะไร

ทุกคนเห็นภาพตอนนี้

ต่างเงียบกริบ ไม่ส่งเสียงใดๆ

ในที่สุดหนิงอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดในอารามโพธิ์เทือกเขาประจิมตอนนั้น แค่นามของโจวโหยวก็ทำให้เขาศักดิ์สิทธิ์มากมายตกใจถอยไปได้ ต่อให้เป็นกำแพงเมืองตะวันตกของต้าสุย ก็ต้องเคารพนักพรตหนุ่มคนนี้สามส่วน

เพราะ ‘มรรค’ ของโจวโหยวคือมรรคในกระบี่เทพมรรค และเป็นมรรคที่มหามรรคเฝ้ารอคอย

ไม่เคยมีใครบอกว่าโจวโหยวชำนาญทักษะดาบ หนิงอี้เพียงแค่คิดว่าคุณชายโจวโหยวเป็นตัวอ่อนมรรคสุภาพเรียบร้อย พลังบำเพ็ญน่าอัศจรรย์ยิ่ง มีใจแสวงหามหามรรคชีวิตนิรันดร์…แต่ดาบนั้นทำให้ทุกคนตะลึงงัน ทำลายพายุหมุนคุ้มกันของเจ้าตระกูลเฟิงได้ ตอกผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราคนนี้กับต้นไม้โบราณหลังภูเขาได้

โจวโหยวอาจจะแค่ต้องการดาบเล่มเดียว

และมีความเป็นไปได้ว่านี่เป็นการจับดาบครั้งแรกในชีวิตเขา

นี่ก็คือความน่ากลัวของโจวโหยว

เขาเป็นตัวอ่อนมรรคเทือกเขาประจิม ไม่ว่าจะวิถีกระบี่ วิถีดาบ วิถีหอก วิถีแห่งชีวิตนิรันดร์…ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมรรค เส้นทางที่เขาเดินถูกต้อง เป็นเส้นทางที่กว้างใหญ่ แฝงไว้ด้วย ‘มรรค’ มากมายในชีวิต

นักพรตผมขาวยืนอยู่หน้าต้นไม้โบราณ เขามองเจ้าตระกูลเฟิง ใบหน้ายังเฉยชาเหมือนเก่า

โจวโหยวไม่หันมา แค่เอ่ยอย่างเย็นชา “หนิงอี้…พูดต่อไป”

หนิงอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย เขามองศิษย์พี่หญิงพันกรทีหนึ่ง ใบหน้านางไม่ต่างอะไรกับโจวโหยว ใช้แววตาสื่อว่าให้ตนพูดต่อ…คนใบหน้าเฉยชาล้วนเป็นสัตว์ประหลาดกันหมดจริงๆ

หนิงอี้สบายใจขึ้นบ้าง

หลังโจวโหยวออกมือ…หนิงอี้ก็รู้ว่าตนควรทำอะไร

เขาพูดต่อ “วิชาการลอบสังหารที่เงานั่นใช้มีเงาสังหารของจวนขานฟ้า และยังมีพลังเร้นของตระกูลเจี้ยน”

สองคำพูดนี้ไม่ใช่ว่าหนิงอี้คิดเอาเอง ศาสตร์วิชาของเงานั้นคละปนกัน มีเงาของทุกตระกูลจริงๆ ในนั้นยังมีเงาวิชาของจวนขานฟ้ากับตระกูลเจี้ยน

เพิ่งเอ่ยจบ ราชันดาราอี๋อู๋ที่มีสีหน้าปั้นยากกับเจ้าตระกูลเจี้ยนเคลื่อนไหวพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ลงมือกับหนิงอี้เป็นคนแรก…ยอดผู้บำเพ็ญทั้งสองหน้ามืดทะมึน สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนตั้งใจวางแผนไว้ รอตนกระโดดเข้าไปในขุมนรก อยากจะให้ลงมือหรือ

โจวโหยวที่ยืนใต้ต้นไม้โบราณเลิกคิ้วขึ้น สองร่างเงารวดเร็วยิ่งเหมือนลำแสงพุ่งเข้ามาจากด้านซ้ายขวาเขา จากนั้นชนกับกำแพงหนาที่ไม่อาจทลายลงได้ทั้งสองด้าน พลันระเบิดเป็นควันมากมาย ก่อนจะกระเด็นออกไป

ตรงพื้นที่ว่างมีสตรีสวมชุดคลุมหยินหยางโผล่มาอีกคน ใบหน้าพันกรไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ สองมือตัดสลับและยกขึ้นบังใบหน้าตน มือดารายักษ์ลอยขึ้นมาในอากาศตามมือของพันกร ซ้ายและขวากดที่หน้าผากของยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราสองคน กดไว้ทั้งตัว ลากไปรวดเร็วยิ่งกลางหมอกควัน กดราชันดาราอี๋อู๋กับเจ้าตระกูลเจี้ยนเข้าไปกลางต้นไม้โบราณสองต้น

เศษไม้แตกกระจาย หินและดินกระเด็น

หลังภูเขาไม่ค่อยสงบ

เขาศักดิ์สิทธิ์หลายท่านเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ต่างจะออกมือกัน

เสียงพันกรพลันดังขึ้นอย่างเย็นชา “พวกเจ้าใครกล้าขยับอีก”

ตรงต้นไม้โบราณสองต้น

เจ้าตระกูลเจี้ยนถูกฝ่ามือซัดกระเด็น สติพร่าเลือน ก่อนกระแทกกับต้นไม้ยักษ์อย่างแรง ต้นไม้โบราณหลังภูเขาพวกนั้นหนาประมาณเจ็ดแปดคนโอบ เนื้อไม้ทนทานยิ่ง กระแทกไปทีกลับไม่หัก เพียงแค่ลำต้นเกิดหลุมเว้าลึกลงไป

กระบี่หนักกระเด็นออกจากมือ วาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ ทันทีที่ตกลงพื้น เจ้าตระกูลจี้ยนชักกระบี่เบาตรงเอว กวัดแกว่งกระบี่ฟันออกไป

ฝ่ามือของยักษ์ดาราถูกปราณกระบี่ฟันขาดเป็นรอยแตก แต่กลับไม่สลายไป แสงดาราไหลรวมเข้ามาไม่ขาดสาย

เจ้าตระกูลเจี้ยนรู้ว่าราชันดาราพันกรได้รับขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตราชันดารา มีกำลังวังชาสูงยิ่ง ใต้เท้ายันบนหลุมเว้าของต้นไม้ยักษ์นั้น กระบี่เบาต้านฝ่ามือดาราที่ลอยล่องนั้น หมายจะลองทำลายการพันธนาการ

ตอนยกโลงลงมาจากเขาน้ำค้างเล็ก พันกรก็ใช้อิทธิฤทธิ์นี้ต้านผนึกของเจ้าหรุย ปล่อยให้สายฟ้าผ่าใส่ตัว ต้านผนึกเหนือโลงไม้ของสวีจั้งไว้ทั้งวัน นี่ต้องมีกายจิตระดับใดกัน

ปราณกระบี่สู้กับแสงดารา เวลานี้ สวนกันไปมายากจะทำลายลงได้

อีกด้านหนึ่ง ราชันดาราอี๋อู๋ที่ถูกพันกรตบฝ่ามือเข้ากับต้นไม้โบราณ ไม่ถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่มีกายจิตแข็งแกร่ง เขาหน้าซีดขาว เสื้อตรงหน้าอกมีคราบเลือดเปื้อนอยู่ ดิ้นรนอยู่ทีสองทีก็พบว่ายากมาก แทบจะหลุดออกจากฝ่ามือไม่ได้เลย จะหยิบปิ่นปักผมมาบีบแตก กลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงสำนักศึกษา เขาเงยหน้าขึ้นมองหลังภูเขาสู่ซานอย่างเหลือเชื่อ ยันต์ที่ลอยอยู่นั้นตัดขาดการเชื่อมต่อทั้งหมดนอกเขาสู่ซาน

มิน่าพันกรถึงมั่นใจเช่นนี้

ต่อให้ตนบีบปิ่นปักผมแตก ทางจวนขานฟ้าก็จะสัมผัสไม่ได้เลย

ไม่อยากเชื่อว่าลู่เซิ่งจะวางผนึกระดับนี้ไว้หลังภูเขา

และที่ทำให้ราชันดาราอี๋อู๋สิ้นหวังคือเจ้าภูเขาสู่ซานน้อยที่ยืนอยู่ที่นี่ พลังสูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นแล้วสูงขึ้นอีก สุดท้ายมียักษ์ดาราหน้าตาน่าเกรงขามลอยขึ้นจากพื้น เพียงแค่ครึ่งตัวบน ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ข้างหลังแยกเป็นแขนทีละข้าง

ทำปางมือ กำตราประทับ ถือกระบี่ ถือดาบ กำหมัด จีบนิ้ว…นับไม่ถ้วน

ตรงกลางยังประกบฝ่ามือมุทิตาจิต 艾琳小說

“พันกร…”

ราชันดาราอี๋อู๋ลืมความเจ็บปวด พูดพึมพำอยู่สองคำ นึกไปถึงก่อนออกเดินทาง เจ้าจวนขานฟ้ากำชับไว้นักหนาว่าอย่าวิวาทกับเจ้าภูเขาสู่ซานน้อยเด็ดขาด…

เขานึกไปถึงคำพูดนั้นตอนที่พันกรยืนหลังภูเขา หากหนิงอี้เป็นอะไรไป แขกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนก็อย่าได้ไปไหน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นเพียงเรื่องตลก

ตอนนี้ราชันดาราอี๋อู๋ไม่สงสัยแม้แต่น้อย หญิงบ้าคนนี้ทำได้จริงๆ

เขามองอิทธิฤทธิ์ยักษ์ข้างหลังพันกร สุดท้ายปักปิ่นปักผมกลับไปหลังศีรษะ ล้มเลิกความคิดจะต่อต้าน

เจ้าตระกูลเจี้ยนที่ใช้ปราณกระบี่ทะลวงรอยแตกฝ่ามือไม่หยุดแต่สุดท้ายก็ออกมาไม่ได้นั้น ปล่อยกายและใจไปกับกระบี่ พลันรู้สึกถึงแรงกดดัน

หลังพันกรสำแดงอิทธิฤทธิ์ ยักษ์ดารามหึมานั่นมีใบหน้าเฉยชา ใช้มือที่สองแนบกับฝ่ามือแรก

ซ้อนมือ

พลันเกิดเสียงดังสนั่น หลุมเว้าไม้โบราณลึกลงไปอีกเท่า กระบี่เบาถูกกดจนระดับความโค้งเกินจริงจนกระเด็นออกมา พลันปักลงพื้น ฟาดฟันกับกระบี่หนักเกิดเสียงเย็นยะเยือก

กระบี่สองเล่ม หนึ่งเบาหนึ่งหนัก ฟาดฟันกัน สั่นสะท้าน

เจ้าตระกูลเจี้ยนมองอิทธิฤทธิ์ดารามหึมานั้น อ้าปากตะลึงงัน ในความคิดว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเลย

บนพื้นกว้างโล่ง

โจวโหยวยืนใต้อิทธิฤทธิ์ เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าหล่อเหลานั้นเฉยชา หลังพิจารณาการก่อเกิดและขัดเกลาของอิทธิฤทธิ์พันกรอย่างละเอียดแล้ว ใบหน้าถึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นักพรตผมขาวพูดเสียงเบา “ท่านพันกร ท่านมันอัจฉริยะ”

เจ้าภูเขาสู่ซานน้อยพูดเสียงนุ่มนวล “โจวโหยว อีกไม่นานความสำเร็จของเจ้า…จะเหนือกว่าข้า”

……

คำพูดระหว่างราชันดาราสองคนได้ยินถึงหูทุกคน ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย

โจวโหยวบอกว่าพันกรเป็นอัจฉริยะ…เพราะเขามองเห็นความต่างของอิทธิฤทธิ์นี้ หากเดินไปตามการบำเพ็ญปกติ จะรวมแขนได้หกข้าง นี่ถือว่าเป็นพลังของมหายานแล้ว พันกรปรับแก้วิชานี้…เลยทำให้ได้เห็นภาพอิทธิฤทธิ์ในวันนี้

ส่วนคำชมที่พันกรชมโจวโหยว ก็เป็นการพูดจากใจอย่างหนึ่ง เจตจำนงแห่งมรดกสายเลือด ต่อให้ทั้งโลกหล้าคิดว่าโจวโหยวเป็นอัจฉริยะ ก่อนพบหน้า พันกรก็ไม่มองเขาสูงเท่าไร มีเพียงต้องพบตัวจริงเท่านั้นนางถึงจะให้การประเมินของนางเอง

นางไม่แยแสจะตามกระแส และไม่ชมเกินจริงไป กับคนนอก…พันกรแห่งเขาสู่ซานสงวนคำดั่งทองมาตลอด

คำชมกันระหว่างยอดผู้บำเพ็ญสองคนนี้ เป็นการใช้ยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราขอบเขตเดียวกันสามคนเป็นฉากหลัง…ยอดผู้บำเพ็ญสามคน หนึ่งถูกโจวโหยวใช้ดาบธรรมดาตอกฝ่ามือ อีกสองคนถูกพันกรตบเข้าไปในหลุมเว้าต้นไม้โบราณ สายตาซับซ้อน ตกใจ โกรธแค้น อาฆาต เกรงกลัว มีหลากหลาย

ภายภาคหน้าภาพนี้จะดังไปทั้งใต้ฟ้าต้าสุย ทว่าคนที่ยืนอยู่ตรงปลายช่องลม ถูกเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอาฆาตแค้น กลับไม่ใช่โจวโหยวกับพันกร

แต่เป็นหนิงอี้ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นมะเขือนิ่มสำหรับราชันดาราสองคน

ตอนนี้หนิงอี้ตกใจกับภาพตรงหน้า

เขาเข้าใจนิดๆ แล้วว่าเหตุใดสวีจั้งถึงกลัวศิษย์พี่หญิงพันกรคนนี้…ศิษย์พี่หญิงเป็นคนอารมณ์ร้าย บอกว่าตีก็ตี ต่อให้เป็นยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราก็ไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย วิชายักษ์ดารานี้ หากฝึกถึงขั้นศิษย์พี่หญิง รับมือกับผู้บำเพ็ญอย่างราชันดาราอี๋อู๋ก็เรียกได้ว่าเป็นการแขวนทุบตีอย่างทารุณ

เขาตั้งสติกลับมาได้ กระแอมไอในลำคอ ก่อนจะเล่ากลอุบายของเงานั้นออกมาทั้งหมด

“เคล็ดกิเลนของภูเขาอาชาดำ”

“พลิกต้นหลิวของสำนักศึกษาตะวันสูง”

“ดรรชนีวิมานลับของสำนักศึกษาขุนเขา…”

หนิงอี้พูดจบ เขาก็มองศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเหม่อลอยทุกคน ไม่สนอะไรทั้งนั้น เอาเรื่องชั่วๆ ของมือสังหารนั้นสาดใส่หัวแขกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มาร่วมพิธีศพของสวีจั้งทุกคนอย่างยุติธรรม

คนที่มาร่วมพิธีศพของสวีจั้งและหัวเราะเสียงดังก่อนหน้านี้ ไม่มีใครหัวเราะออกแล้ว

ขำหรือ พวกเจ้าต่างหากที่น่าขำ

หนิงอี้ยิ้มเยาะ “พวกเจ้ามีใครคิดว่ามีปัญหาหรือไม่”

………………………