บทที่66 เธอยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า?
“ฉัน~”
มู่เทียนซิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอหันหลังไม่กล้ามองตาเมิ่งเสี่ยวหลง
เธอไม่อยากเห็นตอนที่เมิ่งเสียใจ แต่ว่าเธอก็ไม่ต้องการเห็นใครพูดถึงหลิงเล่ในทำนองนั้นเหมือนกัน ท่าทางรังเกียจแบบนั้น
“พี่เสี่ยวหลง คุณอาไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่พี่คิดแบบนั้น ขาของเขา มีโอกาสที่จะหายได้”
จู่ๆเมิ่งเสี่ยวหลงก็เงียบ
เพราะว่าเขาเข้าใจแล้ว แค่ภายในไม่กี่วัน สาวน้อยคนนี้ก็หลงรักเขาคนนั้นไปแล้ว
ต่อให้พูดต่อไป แม่สาวน้อยตรงหน้าก็จะพูดแทนไอ้พิการนั่น พูดว่าเขาดียังไง
เขาไม่อยากฟัง แล้วก็ไม่อยากเห็นเวลาที่เธอยอมเถียงกับเขาเพื่อหลิงเล่
เขายิ้มบางๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อีกแป๊บหนึ่งคุณพ่อคุณแม่ของเธอก็จะกลับมาแล้ว ลงไปนั่งรอข้างล่างกันเถอะ ฉันดูทีวีรอเป็นเพื่อนเธอดีกว่า!”
เขาเดินออกไปก่อน ไม่ได้รอเธอพูดว่าตกลงหรือไม่ตกลง
ในตอนนี้ มู่เทียนซิงรู้สึกไม่เข้าใจเมิ่งเสี่ยวหลง
เธอยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ขยับ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่หลังของเขาไม่กะพริบ “พี่เสี่ยวหลง พี่ไม่มีอะไรที่อยากจะพูดกับฉันอย่างนั้นหรอ?”
อย่างเช่น ตระกูลเมิ่งกับตระกูลหลิงทำข้อตกลงด้วยกันแล้ว เขาเป็นคนกลางได้ช่วยอะไรบ้าง
เรื่องเกี่ยวกับงานแต่งงานของเธอ เขายอมยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องพ่อกับแม่แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคยพูดถึงเลยสักครั้ง วิธีที่ฉลาดขนาดนี้ไม่ใช่ว่ามีแต่พี่เสี่ยวหลงของเธอหลอกหรือที่ทำได้?
เมิ่งเสี่ยวหลงหันมามองเธอ “เธออยากให้ฉันพูดอะไร?”
แววตานั้น สะท้อนถึงแววสำรวจและระแวดระวัง มันคมเสียจนมู่เทียนซิงรู้สึกเจ็บ
เขากลับยกไหล่สบายๆ ยิ้มให้เธอบางๆ สายตากับการกระทำแบบนั้นคือสิ่งที่มู่เทียนซิงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เดินมาตรงหน้าของเธอยื่นมือมาจูงมือเธอลงไปข้างข้างล่าง “เอาเถอะน่า เลิกทำหน้าเครียดได้แล้ว นี่พวกเราเพิ่งจะแยกกันได้ไม่กี่วันเอง เธอก็ทำตัวห่างเหินกับฉันเสียแล้ว ฉันยังเป็นพี่เสี่ยวหลงของเธออยู่นะ”
ทั้งสองคนลงมาชั้นล่าง เปิดโทรทัศน์ เมิ่งเสี่ยวหลงก็ยังทำเหมือนที่ผ่านๆมา ส่งรีโมทโทรทัศน์ให้เธอเป็นคนเลือกช่องเอง
เธอเพิ่งจะรับรีโมทมาจากเขา ยังเปลี่ยนได้ไม่ถึงสองช่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์ของคุณอา
เธอแอบมองเมิ่งเสี่ยวหลงแว๊บหนึ่ง แต่เห็นว่าเมิ่งเสี่ยวหลงไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย แถมยังจิบกาแฟไป ดูโทรทัศน์ไป
พอนิ้วปัดรับ เธอก็รีบเอาโทรศัพท์แนบไว้ที่หูทันที “ฮัลโหล”
“มู่เทียนซิง! เธอมันยัยคนสาระเลว! เธอบอกฉันมาเลยนะ! ว่าของขวัญที่เธอให้ฉันกับปลอกคอที่เธอให้เจินเจินมันถึงคู่กัน? พวกมันเป็นคู่กัน!
เขาโวยวายขึ้นมา อีกนิดเดียวแก้วหูของมู่เทียนซิงก็จะทะลุ
เธอเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหูเล็กน้อย ไม่โวยวาย ตอนนี้ถึงได้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนที่ฉันเห็นมัน คิดว่าสร้อยของผู้ชายเหมาะกับคุณดี! แล้วเส้นของผู้หญิงเหมาะกับเจินเจินก็เลยซื้อทั้งสองเส้นแล้วก็ให้พวกคุณไป! นี่มันเรื่องอะไรกันคะ? ทำไมคุณจะต้องโมโหด้วย? เจินเจินก็แค่แมวตัวนึงแถมยังเป็นลูกแมวไม่หย่านม นี่คุณถึงขั้นหึงลูกแมวแล้วหรอ? เป็นผู้ชายจริงหรือเปล่าเนี่ย?”
“มู่เทียนซิง! นี่เธอมีหัวใจหรือเปล่า?”
“พอแล้ว! คุณเลิกทำตัวเข้าใจยากสักทีเถอะค่ะ! ฉันวางก่อนนะ!”
เธอวางสายจากเขา ไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ตอนที่เธอซื้อสร้อยคนที่ไปกับเธอก็คือจั๋วซี แน่นอนว่าจั๋วซีต้องเคยมันมาก่อน แต่ว่าวันนี้เช้ามืดตอนที่ออกมาจากโรงแรม ก็เอาสร้อยเส้นที่เป็นของผู้หญิงให้ฉวีซือเหวินไป ฉวีซือเหวินไม่รู้เรื่องก่อนหน้านั้น เธอยังพูดยิ้มๆเลยว่าสร้อยเส้นนี้เหมาะที่จะทำเป็นปลอกคอให้น้องหมาน้องแมว
เธอคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรนี่!
ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆคุณอาถึงโกรธ!
ตัวเองถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วค่อยหยิบรีโมตมาเปลี่ยนช่องทีวี
เมิ่งเสี่ยวหลงไม่ส่งเสียงอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปช่องไหน เขาก็ดูตั้งใจดูมากๆ
ทันใดนั้น
คุณกับคุณนายมู่อี้เจ๋อที่ได้บอกกับผู้ดูแลไว้แล้ว ว่าวันนี้ต้องกินข้าวกับลูกค้าจะไม่กลับบ้าน แต่พอได้ยินว่ามู่เทียนซิงกลับมาบ้าน พวกเขาทั้งสองก็เลื่อนนัดออกไปก่อน พอเสร็จงานที่บริษัทก็รีบตรงกลับบ้านมาหาลูกสาวที่รัก
พอเข้ามาในห้องรับแขก มู่อี้เจ๋อเห็นเป็นคนแรก “เทียนซิง!”
“คุณพ่อ!”
มู่เทียนซิงลุกขึ้น รีบพุ่งตัวเอาหัวไปซุกอยู่ที่อกของมู่อี้เจ๋อ มู่อี้เจ๋อกอดเธออย่างแรง เหมือนกับตอนเด็กๆที่เขาจะอุ้มเธอเอาไว้แล้วหมุนไปในอากาศสองครั้ง เสร็จแล้วค่อยๆวางเธอลง
เจี่ยงซินรีบดึงมือเธอเอาไว้ “เด็กดี ไหนขอแม่ดูหน่อย ผอมลงหรือเปล่า? ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างลูก?”
“แม่ หนูโอเคค่ะ ซือซ่าวดีกับหนูมากๆ จะอาหารเสื้อผ้าหรือว่าของใช้ ทุกอย่างเป็นของที่ดีที่สุด” มู่เทียนซิงยิ้มตาหยี
มือซ้ายจับมือแม่ มือขวาควงพ่อเอาไว้ เธอเหมือนกับนางฟ้าตัวน้อย อยู่ตรงกลางระหว่างพวกท่านทั้งสอง
ตอนที่มู่อี้เจ๋อเห็นผู้ดูแล “อาหารเย็นเรียบร้อยหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ อาหารวันนี้มีแต่ของชอบของคุณชายเสี่ยวหลงกับคุณหนูใหญ่ทั้งนั้น”
“โอเค ไปเถอะ ไปกินข้าวก่อน!”
บนโต๊ะกินข้าว
มู่เทียนซิงยังไม่ทันจะยกตะเกียบขึ้น คุณกับคุณนายมู่อี้เจ๋อแล้วก็เมิ่งเสี่ยวหลงก็คีบอาหารในจานมากองไว้ในจานของเธอเต็มไปหมด
เธอมีความสุขจนยิ้มออกมา ยิ้มอย่างประจบ “ยังไงบ้านก็ดีที่สุด! เด็กที่มีพ่อกับแม่นี่โชคดีจริงๆ!”
เจี่ยงซินมองลูกสาวไม่ทุกข์ไม่ร้อน ขอบตาก็แดงก่ำ ร่วมดีใจไปกับเธอ “พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นพ่อกับแม่เองที่สับสน ไม่ควรจะตั้งความหวังอะไรแท้ๆ คิดว่าแค่แต่งหลอกๆไม่กี่ปีก็หย่าได้ นี่มันเป็นความสุขทั้งชีวิตของลูก ลูกรัก ลูกอย่าโกรธพวกเราสองคนเลยนะ ดีที่การแต่งงานครั้งนี้มันไม่มีอีกแล้ว”
“ใช่สิ โชคดีที่ครั้งนี้พวกเสี่ยวหลงยอมเข้ามาช่วย พวกเราทั้งครอบครัวก็เลยกลับมามีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
มู่อี้เจ๋อก็เป็นคนใจกว้างดั่งผืนพสุธา เขาลุกไปเติมซุปให้ลูกแล้วค่อยกลับมานั่ง “ตอนที่ลูกไม่อยู่บ้าน แม่ลูกชอบร้องไห้ประจำ พ่อเองก็นั่งไม่ค่อยจะติดที่ กลัวว่าลูกจะกินไม่ได้ ไม่ชินกับเรื่องต่างๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่ พอมีลูกแล้ว ทั้งชาตินี้ก็ไม่มีทางเลิกเป็นห่วงได้”
มู่เทียนซิงแสบปลายจมูก เธอมองหน้าพ่อแม่ รู้สึกตื้นตันใจ “หนูไม่โทษพ่อกับแม่ ตอนนั้นที่พ่อแม่กลับมาก็เคยมาคุยกับหนูแล้ว พ่อแม่ ตอนนี้หนูก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรอคะ? ไม่ต้องเสียใจแล้วนะ”
เมิ่งเสี่ยวหลงมองเธอต่างออกไปจากเดิม พยักหน้า “จริงครับ เรื่องร้ายต่างๆก็ผ่านพ้นไปแล้ว เทียนซิง พ่อแม่ของเธอรักแล้วก็เป็นห่วงเธอขนาดนี้ เธอต้องเห็นค่ามันให้มากๆนะ อย่าทำเรื่องที่จะต้องทำให้พวกท่านร้อนใจแล้วก็เป็นห่วง”
มู่เทียนซิงใจเต้นตึกตัก
เธออมข้าวเอาไว้ในปาก สติของมู่เทียนซิงลอยออกไปจากโต๊ะกินข้าวตรงหน้า
เจี่ยงซินมองหน้าเมิ่งเสี่ยวหลงอย่างภูมิใจ “ตาเสี่ยวหลง เรื่องนี้ลูกวางใจได้เลย! เทียนซิงของพวกเราถึงจะโดนประคบประหงมเอาใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าเธอนั้นกตัญญูต่อคนอื่นมากๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยก่อเรื่องให้คุณลุงมู่เดือดร้อน เทียนซิงของเรา อย่าหาว่าฉันคุยโม้เลยนะ ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งน่ารักแถมยังเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอีก บนโลกนี้น่ะหายากมากๆ เธอนะสายตาไม่เลวเลย!”
เมิ่งเสี่ยวหลงยิ้มตาม “คุณแม่พูดถูกครับ เทียนซิงเพียบพร้อมจริงๆ แม้แต่พ่อแม่ผมยังชอบพูดบ่อยๆว่าถ้าอนาคตผมแต่งงานกับเธอ คงจะเป็นบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งที่มอบความโชคดีครั้งนี้มาให้”