ตอนที่ 67 ความลับข้อแรก

รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ

บทที่67 ความลับข้อแรก

มู่อี้เจ๋อยิ้ม มองลูกสาวตัวเองกินข้าวไปเงียบๆ คิดว่าลูกสาวคงจะเขินๆ 

พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “ฉันกำลังคิดอยู่พอดี ตอนนี้ก็กำลังปิดเทอมหน้าร้อน ไม่อย่างนั้นก็รีบใช้โอกาสนี้จัดงานหมั้นให้พวกลูกๆดีไหม”

มู่เทียนซิงเงยหน้าอย่างแรง ปากซีดเล็กน้อย “หมั้น? เร็วไปมั้งคะ”

ตอนแรกที่คิดว่าจะเก็บเรื่องตัวเองกับคุณอาไว้สักพัก ตอนนี้ดูแล้วว่าคงจะซ่อนไว้ไม่ได้แล้ว

แต่ว่าถ้าพ่อกับแม่รู้เข้า คงจะต้องเสียใจแน่ๆ

ถ้าเกิดขาของคุณลุงหายขึ้นมาได้ในทันที แล้วมายืนพูดอยู่ตรงหน้าพ่อกับแม่ได้ ‘คุณอาคุณน้า ผมอยากจะมาสู่ขอเทียนซิงครับ”

ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ได้จริงๆ จะดีสักแค่ไหนกันนะ?

มิเช่นนั้นพ่อแม่คงจะพูดกับเธออย่างเจ็บปวดว่าผู้หญิงดีๆ แต่กลับอยากจะแต่งงานกับคนพิการ สมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า?

“เร็วตรงไหน!” เจี่ยงซินยิ้มแล้วมองสามี ต้องการบอกว่าเห็นด้วยกับความคิดของเขา “เสี่ยวหลงก็เหมือนกับลูกแท้ๆของแม่ ถ้าได้มาเป็นลูกเขยก็คงจะดีมากๆ อีกอย่างแม่ได้ยินมาว่าหลายตระกูลในเมืองชิงเฉิงก็เริ่มไปทาบทามกับตระกูลเมิ่งแล้วด้วย เทียนซิงเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ก็กลัวว่าต่อไปคนที่จะมาทาบทามลูกก็น่าจะมีไม่น้อย รีบใช้โอกาสนี้ที่ทุกคนกำลังว่าง รีบจัดการเรื่องของเด็กๆให้เรียบร้อย ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวุ่นวายในวันข้างหลังได้”

มู่อี้เจ๋อพยักหน้า เอ่ยพูดด้วยสีหน้าปลื้มใจ “ใช่ เมื่อวานพ่อกับเหล่าเมิ่งคุยกันแล้ว เดือนหน้าหมั้น หลังจากหมั้นแล้วพวกลูกเปิดเรียน ต่างคนก็ต่างไปเรียน พอเรียนจบก็แต่งงาน!” มือเล็กของมู่เทียนซิงบีบตะเกียบแน่น ก่อนหน้านี้ก็แค่ปากซีด ตอนนี้กลายเป็นหน้าซีด! เมิ่งเสี่ยวหลงหันมามองหน้าเธอไร้พิรุธ เขายิ้มบางๆ “ผมคิดว่าเรื่องนี้ช้าๆน่าจะดีกว่าครับ”

ฟังจบ คุณและคุณนายมู่อี้เจ๋อถึงกับนิ่ง

ไม่กี่วันมานี้ลูกสาวไม่อยู่บ้าน เมิ่งเสี่ยวหลงร้อนรนแค่ไหน พวกเขาเห็นด้วยกับตาตัวเอง 

มู่อี้เจ๋อถามอย่างสุภาพ “มีอะไรหรือเปล่าเสี่ยวหลง?”

มู่เทียนซิงเองก็มองเขาอย่างตกใจ เธอตกใจปนซึ้งใจ

เมิ่งเสี่ยวหลงมองเธอแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ หันไปมองคุณและคุณนายมู่อี้เจ๋อ เอ่ยขึ้นน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องงานแต่งของเทียนซิงกับบ้านตระกูลหลิงที่ถูกยกเลิกจนความสัมพันธ์ระหองระแหงกันใครๆก็รู้ แล้วจู่ๆก็มาหมั้นกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ผมว่าดูไม่ดีเท่าไหร่”

เจี่ยงซินยิ้ม “แค่นี้มันจะมีอะไรกัน หลิงหยวนก็กำลังถามอยู่ว่าเมื่อไหร่ลูกกับเทียนซิงจะแต่งงานกัน แถมยังพูดอีกว่า พอถึงเวลานั้นอย่าลืมเชิญเขามาร่วมงานด้วย!”

 

มู่เทียนซิงภายในใจเริ่มเป็นกังวล

 

มันคือความโกรธ!

พ่อที่ไหนกัน ที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของลูกชายเลยแม้แต่น้อย หลิงหยวน เธอพูดตรงๆจากใจว่าเธอดูถูกเขา!

“คุณแม่ หนูก็ไม่อยากหมั้นเร็วขนาดนั้น!”

มู่เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมา เธอวางตะเกียบลง มือทั้งสองวางอยู่บนหน้าขาอย่างมีระเบียบ

นี่เป็นความเคยชินของเธอตอนอยู่ในบ้านตั้งแต่เด็กจนโต เวลาที่เธอต้องการจะพูดอะไรที่สำคัญหรือว่ามีอะไรสำคัญที่อยากจะปรึกษา เธอจะนั่งอยู่ในท่านี้และมีสีหน้าที่จริงจังขึ้น

คุณและคุณนายมู่อี้เจ๋อหันมามองเธอ

เธอพูด “หนูเพิ่งจะอายุ18 อนาคตของหนูยังอีกไกล ในอนาคตจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ยังไม่มีใครทราบ พี่เสี่ยวหลงเป็นคนดี หนูรู้ว่าพ่อกับแม่ชอบเขามาก แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ แบบนี้ดีที่สุดแล้ว เขาปิดเทอมพวกเราก็สามารถเจอหน้ากันได้ พอเขาเปิดเทอมพวกเราก็ต่างคนต่างไปเรียน หมั้นหรือว่าไม่หมั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญตรงที่ต่างคนก็ต่างมีความกดดัน หนูคิดว่าควรปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า ถ้าตอนนี้รีบเอาโซ่มาล่ามพวกเราทั้งคู่ไว้ด้วยกัน ในอนาคตถ้าเกิดหนูเกิดไปชอบคนอื่นขึ้นมา เสร็จแล้วเรายังต้องมานั่งถอนหมั้นอีก น่าจะส่งผลถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลด้วย”

“พวก พวกลูก……” เจี่ยงซินไม่เข้าใจ

 

ก่อนหน้านี้มู่เทียนซิงกับเสี่ยวหลงไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนกันหรืออย่างไร? ทำไมอยู่ๆต่างคนถึงได้ต่างไปรักคนใหม่กันแล้ว

 

มู่อี้เจ๋อมองลูกสาว เขามีสีหน้าอ่านไม่ออก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

มู่เทียนซิงพูดต่อ “หนูกับพี่เสี่ยวหลงโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าความรักมันเป็นเรื่องประหลาด ถึงอยู่ด้วยกันมานานก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลายเป็นรักแท้” ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมถึงต้องรีบร้อนหมั้นด้วยคะ? อีกอย่างถ้าหนูกับพี่เสี่ยวหลงโดนลิขิตมาให้คู่กัน ต่อให้ตอนนี้ไม่หมั้นกัน ในอนาคตพวกเราก็ต้องได้อยู่ด้วยกัน”

ทุกคนเงียบ

มู่เทียนซิงพูดจนเหนื่อยแล้ว เธอยกถ้วยซุปตรงหน้าขึ้น พูดสรุปอีกหนึ่งประโยค “เพราะฉะนั้น ตอนนี้ถ้าจะหมั้นกันหนูว่ายังไม่เหมาะสม หนูไม่เห็นด้วย!”

พูดจบก็ซดซุป เธอเลียริมฝีปากเล็กวาวและเหลือบมองคนข้างๆ 

คุณและคุณนายมู่อี้เจ๋อสีหน้าประหลาดใจ ส่วนเมิ่งเสี่ยวหลงเองก็สีหน้านิ่ง สุขุม ก้มหน้ามองถ้วยตัวเอง

บรรยากาศค่อนข้างที่จะกดดัน ต่างจากบรรยากาศสบายๆก่อนหน้าที่คุณและคุณนายมู่เพิ่งกลับมาถึงบ้านอย่างลิบลับ  

เธอรีบกินให้หมด วางตะเกียบกับถ้วยลง “เหนื่อยจัง หนูขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอนแล้วนะคะ! ฝันดีล่วงหน้าค่ะทุกคน~!”

มองท่าทางเสแสร้งทำตัวสบายๆของเธอ ทุกคนที่ยังนั่งอยู่ต่างจมอยู่ในความคิด

ภายในห้อง

มู่เทียนซิงออกมาจากห้องน้ำ เธอนอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียงหลังใหญ่  

 

หลังจากกลิ้งไปได้แล้วรอบใหญ่ๆถึงได้หยุด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

 

เบะปาก น่าโมโหจริงๆ คุณอาไม่ส่งข้อความอะไรมาหาเธอเลย

เธอหมุนตัวมานอนฟุบอยู่บนเตียง เธอเตะขาขาวเรียวของตัวเองไปมา แล้วก็เริ่มพิมพ์ “กินข้าวหรือยังคะ?”

ตอนที่กำลังจะกดส่ง เธอกลับลบข้อความทิ้งทีละตัวๆ “เหอะ! ไม่เห็นจะสนใจเราสักนิด ทำไมเราต้องเป็นคนเริ่มก่อนด้วย?”

เธอลุกขึ้นมา กอดโน้ตบุ๊คเอาไว้นั่งพิงหัวเตียง ท่าทางตั้งใจเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับหมอเฉพาะทางที่รักษาเส้นประสาทกระดูกสันหลัง

เปิดอ่านสองสามหน้าก็ปิด หน้าประตูมีเสียงคนเดิน

เธอรีบปิดหน้าต่างเว็บทิ้ง พอเงยหน้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เทียนซิง”

เป็นมู่อี้เจ๋อ

“คุณพ่อ เข้ามาสิคะ!”

เธอปิดโน้ตบุ๊ค  แล้วเอาวางไว้ข้างๆให้เรียบร้อย ดึงผ้าห่มขึ้นมาทำเหมือนตัวเองกำลังจะนอนแล้ว

หลังจากที่มู่อี้เจ๋อเดินเข้ามาแล้ว เขาก็มองสำรวจไปรอบๆห้องเธอ ยิ้มเบาๆ แล้วค่อยๆปิดประตูห้องนอนของเธอ นั่งลงตรงตำแหน่งหน้าต่างตรงข้ามกับเตียงนอนของเธอ

“เทียนซิง ลูกบอกกับพ่อมาตรงๆเถอะ ตอนนี้ลูกไม่ได้ชอบพี่เสี่ยวหลงแล้วใช่ไหม?”

 

ลูกสาวของเขา เขารู้ดี

ถ้าเกิดชอบ ก็คือชอบ ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ยกเว้นว่ามีเรื่องที่ปิดบังไว้อยู่

ดังนั้น ที่เธอปฏิเสธจะหมั้นกับเมิ่งเสี่ยวหลง ถ้าคิดดูดีๆเหตุผลคงไม่ได้มีแค่ที่เธอพูดตอนที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวแน่ๆ

ระหว่างพ่อกับมู่เทียนซิงไม่เคยมีความลับ

 

และเรื่องที่เธอชอบหลิงเล่ กลับเป็นความลับเรื่องแรก

เธอมองท่านอย่างรู้สึกผิด “พ่อคะ หนูกับพี่เสี่ยวหลงอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก บางความรู้สึกมันคือความเข้าใจผิด มันไม่ใช่รัก”

มู่อี้เจ๋อย่นคิ้วลงเล็กน้อย ยิ้มขึ้นอย่างเสียดาย “พ่อเข้าใจแล้ว แต่ว่า เทียนซิง ลูกรู้ได้ไงว่าความรู้สึกที่ลูกมีต่อเสี่ยวหลงไม่ใช่ความรัก?”

 

มู่เทียนซิงนิ่ง

มู่อี้เจ๋อจ้องตาเธอ เสียงทุ้มลองชี้แนะเธอ “เพราะมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาหรือเปล่า? ดังนั้นใจของลูกเลยเกิดการเปรียบเทียบ?”