บทที่ 51 โดนต้อนจนมุมแล้ว
“นี่….”
โม่เหลียงเฉินท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็พยักหน้า
“ดูท่าทางแม่นางก็เป็นคนจริงใจดี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! สี่ร้อยยี่สิบ ลดกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ตกลง!”
แป๊บเดียวก็ลดไปร้อยยี่สิบ อย่างนี้ก็ต้องซื้อแล้ว แม้ห้องนั้นจะดูเหมือนกับบ้านร้าง แต่หากนางทำความสะอาดนิดหน่อย ก็ทำให้สะอาดสะอ้านสวยงามได้
ดังนั้น!
เพียงครู่เดียวหลานเยาเยาก็ทำข้อตกลงลายลักษณ์อักษรกับโม่เหลียงเฉิน ตัวโม่เหลียงเฉินก็ใจกว้างนัก เมื่อเห็นตราประทับบนข้อตกลงแล้ว ก็รีบนำโฉนดที่ดินมอบให้นางทันที
ต่อเมื่อหลานเยาเยามอบตั๋วเงินให้กับเขาแล้ว จึงเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเรียบ
“แม่นางหลานโปรดรอซักครู่ ข้าจะให้เพื่อนข้าพาท่านไปดูบ้าน วางใจเถิด เขาอยู่บ้านข้างๆ แม้บ้านนั้นจะห่างไปไม่ไกล แต่จะไม่รบกวนบ้านท่านแน่นอน เพราะเพื่อนข้าชอบความสงบ”
“…อ้ออย่างนี้นี่เอง!”
อย่างไรก็ไม่ได้อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันเสียหน่อย คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก!
อีกอย่าง เพื่อนของเขาชอบความสงบ ยิ่งไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อโม่เหลียงเฉินออกไปแล้ว หลานเยาเยาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ตรวจสอบโฉนดนั้นเรียบร้อยแล้ว เป็นโฉนดจริงด้วย
แล้วนางก็ตรวจดูตราประทับนั้นอย่างละเอียดแล้ว
เมื่อนางดูป้ายแขวนเหนือประตูของบ้านหลังนั้น คิ้วก็ขมวดขึ้น “ลานซวนซี?”
ทำไมชื่อลานซวนซีมันถึงคุ้นหูนัก?
แปลกจริง?
วันนี้นางไม่ได้เอาสมองออกมาด้วยหรือนี่?ทำไมถึงรู้สึกเรื่องต่างๆ ถึงคุ้นเคยขนาดนี้?
ขณะนั้น!
“เอี๊ยด…”
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ชายรูปงามราวเทพบุตรเดินเข้ามาเดินจากด้านนอกเข้ามา
เขาสวมอาภรณ์ไหมพลิ้วสีดำแซมขาวอันงามงด รอบขอบปักดิ้นไหมทอง ภาพปักงามราวกับมีชีวิต ให้คนมองดูรู้สึกถึงอำนาจน่าเกรงขาม
หน้าตาสัดส่วนงดงาม ใบหน้าอันขาวใสผุดผ่อง ดวงตาทั้งคู่ลึกล้ำเย็นชาราวกระแสน้ำวนไหลลึก ทำให้หลานเยาเยาจดจ้องอย่างตื่นตะลึง!
นางกระโดดพรวดลุกขึ้นยืน และก้าวถอยไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว
นี่มัน… คนคนนี้ไม่ใช่เย่แจ๋หยิ่งหรอกหรือ?
เขามาผิดที่หรือเปล่า?
ไม่ใช่ ไม่ใช่ ต้องมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้องแน่ๆ
หลานเยาเยาคิดกลับไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ยิ่งผิดประหลาดไปยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้นนางก็ตบหัวตัวเองหนักๆ
ไอ้บ้าเอ้ย!
โม่เหลียงเฉินก็มิใช่ชายคนนั้น ในวันนั้นที่ห้องอาบน้ำในจวนอ๋องเย่ จื่อซีพุ่งผ่านประตูเข้ามาพลางเอ่ยชื่อคุณชายเหลียงเฉินหรอกหรือ?
และยังมีลานซวนซีนี่อีก!
มิใช่วันนั้นหลานเฉินมู๋ถูกโบยลงโทษ เย่แจ๋หยิ่งออกคำสั่งให้จื่อเฟิงพาตัวนางกลับไปที่พัก ซึ่งก็คือลานซวนซีนี่หรอกหรือ?
เมื่อคิดได้ถึงเรื่องเหล่านี้ หลานเยาเยาเริ่มอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา
อย่ามาหลอกกันอย่างนี้สิ!
“เย่แจ๋หยิ่ง ข้า ข้าไม่ได้พูดกับท่านให้รู้เรื่องแล้วหรือ?ข้าไม่แต่งกับท่าน”
“นั่นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือคนที่ข้าอยากจะครอบครอง ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ ก็หนีไปไหนไม่พ้น
เงื้อมมือของข้า เจ้า … หลานเยาเยา เจ้าก็หนีไม่พ้น!”
น้ำเสียงเขาเย็นชาและจริงจังอย่างขัดขืนไม่ได้
เมื่อเห็นนางค่อยๆ ถอยชิดกำแพงไปทีละก้าว เขาเหลือบมองแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นชา แล้วสืบท้าวตามอย่างบีบคั้น จนบังคับนางเข้าชิดกำแพง จึงหยุดฝีเท้าลงอย่างเกียจคร้าน
“ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
หลานเยาเยาคิดจะแอบลอดหลบไปทางซ้าย เขากลับยื่นไหล่ขวาเรียวยาวมาพิงกำแพงบังทางนางไว้ทันที พอคิดจะหนีออกทางขวา เขาก็รีบยื่นมือซ้ายมาบังทางหนีของนางอีกอย่างรวดเร็ว
นางโดนต้อนจนมุมเข้าแล้ว…
“เจ้าจงเป็นพระชายาของข้า!”
น้ำเสียงน่าดึงดูดนั่นฟังออกถึงความต้องการอย่างชัดแจ้ง อย่างไรหากวันนี้นางไม่ตอบตกลง เขาก็คงไม่ยอมลดละแน่
“ข้าแปลกใจนัก เมืองหลวงมีหญิงงามมากหลาย หากจะเอ่ยถึงต้นตระกูล ยศถาบรรดาศักดิ์ ความงามหรือความสามารถ มีหญิงสาวมากมายดีกว่าข้า เหนือกว่าข้าตั้งมาก ทำไมท่านถึงจึงยังเลือกข้า?”
ร้านเหล้าเยาเยาไม่เข้าใจเอาเสียเลย
หากพูดถึงแต่ก่อนครั้งนางยังเป็นคุณหนูในจวนแม่ทัพ เขาจะสู่ขอนาง ก็อาจจะยังพอมีความเป็นไปได้ เพราะบิดานางหลานเฉินมู๋มียศเป็นถึงแม่ทัพ
ทว่าในตอนนี้นางนางตัวคนเดียว มีเพียงเท่านี้เอง!
แล้วทำไมเขายังเลือกจะสู่ของนางอีก?
“ข้ามีเหตุผลของข้า!” ที่เลือกนางแน่นอน เป็นเพราะเขาก็มีเหตุของเขา
เอ่อ…
อะไรคือเหตุผลของเขากัน?
ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกก็แล้วกัน นางก็ไม่ได้อยากจะฟังสักหน่อย!
ดังนั้น นางคลายมือออกจากกัน แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ข้าบอกความจริงท่านก็แล้วกัน!ข้าน่ะไม่อยากไปอยู่หลังจวนตบตีกับเหล่าสาวงามทั้งหลาย และก็ไม่อยากถูกบังคับไปเป็นโล่บังธนูในสมรภูมิรบให้ใคร”
แม้บางครั้งสมองของนางจะใช้ไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางเป็นคนไม่มีคาวมคิด
เย่แจ๋หยิ่งเป็นพระอนุชาเพียงองค์เดียวขององค์ฮ่องเต้ปัจจุบัน มีตำแหน่งอันสูงศักดิ์ อำนาจล้นฟ้า ศัตรูก็มากมาย ผู้ที่มาดหมายชีวิตเขาอีกไม่รู้เท่าไหร่?
หากแต่งเข้าไปแล้ว การช่วงชิงทั้งต่อหน้าและลับหลัง เงากระบี่คมมีดต้องนับไม่ถ้วนเป็นแน่!
นางไม่อยากกลายเป็นเพียงหมากตัวนึงใต้เงื้อมมือของผู้อื่น!
“เรื่องเหล่านี้เจ้าวางใจได้ หลังจวนข้าไม่มีผู้หญิงแม้เพียงคนเดียว จะแต่งชายาก็เป็นเพียงเพื่อปิดปากพวกชอบซุบซิบนินทา และเพื่อจัดการกับอุปสรรคบางอย่างก็เท่านั้น
ด้วยความสามารถของข้า ย่อมไม่ได้ต้องการให้สตรีมาเป็นโล่ให้ หากเจ้าไม่วางใจ ข้าทำสัญญากับเจ้าก็ย่อมได้
ต้องการเวลาเพียงสามปี ก็จะปล่อยเจ้าไปอย่างอิสระ ให้เจ้าสะอาดไร้มลทินทีเดียว ข้าขอรับรองความปลอดภัยของเจ้าภายในสามปีนี้ เจ้าเห็นเป็นอย่างไร?”
ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วนี่!
พูดแต่แรกก็จบแล้วไหม?ทำไมไม่พูดตั้งแต่ตอนแรกหล่ะ?
“แล้วเรื่องเงิน…”
“รับรองเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์อาหารไม่ต้องกังวล เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ การเดินทางข้าเป็นคนจัดการเอง หลังจากสามปีผ่านไป ยังให้เงินเจ้าก้อนหนึ่งไปมีอนาคตอันสดใสได้เลย”
ในตอนนี้ อารมณ์ตื่นเต้นตกใจของหลานเยาเยา ก็สงบลง
แล้วนางก็ยื่นมือออกมาผลักที่ช่วงหน้าอกของเขา เย่แจ๋หยิ่งมองไปยังมือนุ่มเล็กที่วางบนอกเขา แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ท่าทางแบบนั้น
เขามองนางด้วยสายตาเย็นชา ราวกับจะถามอะไรบางอย่าง
“พวกเรานั่งลงคุยกันเรื่องสัญญา ดีที่สุดควรจะทำเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น ต้องตกลงเรื่องราวกันก่อน หลังจากสามปีผ่านไปท่านจะฆ่าข้าไม่ได้”
พูดปากเปล่าไม่มีหลักฐาน จดลงเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นเครื่องรับประกันจะดีกว่า
“ได้!”
ดังนั้น!
นางตกลงแล้วใช่ไหม?
เมื่อนั้นเขาก็ปล่อยนางออก ไม่คิดเลยว่าหลานเยาเยาจะตื่นเต้นกว่าที่เขาคิด นางรีบนั่งลงข้างๆ โต๊ะ รอเขียนหลักฐานให้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งยังมองมาเร่งเขาอีก
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านรีบเรียกคนนำพู่กัน หมึก และกระดาษมาสิ”
เย่แจ๋หยิ่งตอบรับ “อืม” เบาๆ แล้วออกคำสั่งไปด้านนอกห้อง “ไปเตรียมมา!”
“ขอรับ!”
ในบรรยากาศมีความเคลื่อนไหวอยู่ชั่วครู่ แล้วก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
เย่แจ๋หยิ่งนั่งลงที่เก้าอี้ข้างนาง เพียงเมื่อเขียนหลักฐานลายลักษณ์อักษรเรียบร้อย หลานเยาเยาก็นำหลักฐานนั้นเดินดีใจออกจากห้อง
เมื่อพบเข้ากับโม่เหลียงเฉินบนทางเดิน หลานเยาเยาวาดสายตาไปอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม พลางเดินไปเบื้องหน้าเขา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้น
“คุณชายเหลียงเฉิน โชคดีจริงๆ โชคดีจริงๆ!นำตั๋วเงินคืนมา”
เมื่อมันเป็นเพียงแผนการลับ ลานซวนซีก็ไม่นับว่านางได้ซื้อไป ในเมื่อไม่ได้ซื้อ ตั๋วเงินก็นับว่าต้องได้คืน
โม่เหลียงเฉิน
“โชคดีจริงๆ!เจ้าลิงน้อย”
“…”
แม่เอ้ย!แท้แล้วโม่เหลียงเฉินก็คือคนชุดดำที่เปิดหลังคานางคนนั้น
ดีมาก!
ตัวข้าเป็นคนมีแค้นต้องชำระ มีอาฆาตต้องอาฆาตคืน
คอยดูแล้วกัน!
แล้วหลานเยาเยาก็สะบัดเสียงเหอะอย่างเย็นชา เดินอย่างสบายใจจากไป
เมื่อหลานเยาเยาเดินออกไปแล้ว โม่เหลียงเฉินจึงเดินเข้าไปในห้อง ถามขึ้นด้วยความงุนงงสงสัย
“ทำไมนางถึงได้ตอบตกลงอย่างสุขใจอย่างนี้?”
มันไม่ควรเลย!
“เหอะ!”
เย่แจ๋หยิ่งเขม่นตามองไม่ได้ตอบอะไร เขารู้อยู่แล้วว่าทำไมหลานเยาเยาถึงตอบตกลงด้วยความดีใจเพียงนี้
นั่นเป็นเพราะ นางยังอยากจะมีอำนาจในจวนของเขา.