ตอนที่ 63 ไม่เอาไหน

เฉินเย่าจงไม่อยากจะเชื่อว่า อาจารย์ใหญ่ที่เมื่อเช้าจากไปแล้ว เหตุใดตอนนี้ถึงได้ย้อนกลับมาอีก!

อีกประเดี๋ยวทุกคนก็จะรู้แล้วว่าเขาพูดโกหก เขาจะยืนอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเฉินต่อได้อย่างไร เขาควรทำเช่นไรดี เขายังต้องสอบจอหงวน เขาจะแพ้ให้กับเผยจี้ฉือได้อย่างไร!

หลี่เจิ้งไม่เคยเจอหลินเซวียเหวินมาก่อน แต่เมื่อเห็นชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา บอกว่าอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นมาแล้ว เขาจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปโค้งคำนับ “ไม่ทราบว่าท่านคืออาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นใช่หรือไม่ขอรับ ข้าคือหลี่เจิ้งของที่นี่ แซ่เจิ้งขอรับ”

หลินเซวียเหวินพยักหน้ารับ “เจิ้งหลี่เจิ้ง หากเป็นเรื่องอื่นในหมู่บ้านของท่าน ข้าก็คงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่ง แต่ว่าเมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินเรื่องความเป็นมาเป็นไปของเทียบเชิญเข้าเรียนพอดี คงไม่ต้องหาคนรู้หนังสืออะไรมายืนยันแล้ว เพราะเทียบเชิญเข้าเรียนนั่นข้าเป็นคนเขียนเอง”

ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็เข้าใจได้ทันที สรุปว่าเป็นครอบครัวเผยที่พูดเหลวไหล หรือว่าเฉินเย่าจงใส่ร้ายคนอื่นจริง ๆ อีกเดี๋ยวก็จะได้รู้กันแล้ว!

คนจากครอบครัวของหยวนซื่อคิดว่ามีคนสามารถให้ความเป็นธรรมได้แล้ว จึงตะโกนขึ้นมา “อาจารย์ใหญ่ ท่านรีบบอกผู้หญิงชั่วของครอบครัวเผยไปสิ ว่าบนนั้นเขียนชื่อเย่าจงของเรา คนสมัยนี้ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ คิดแต่จะแย่งของของคนอื่น!”

พวกเขาพูดอย่างมั่นใจ และไม่เชื่อคำพูดของจี้จือฮวนเลยแม้แต่คำเดียว

กลับเป็นเฉินเย่าจงที่อยากจะเอาหน้ามุดลงดินเสียเดี๋ยวนี้ หน้าของเขาเห่อร้อนขึ้นมาจนเจ็บไปหมด

หลินเซวียเหวินแค่ได้ยินก็โมโหขึ้นมาทันที เขาจึงเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึง “วันนี้ที่ข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็เพื่อมาหาครอบครัวเผย และมอบเทียบเชิญให้เผยจี้ฉือของครอบครัวเผย ไม่เคยคิดจะส่งเทียบเชิญให้ครอบครัวเฉินเลย!”

เฉินเย่าจงหลับตาลง

จบแล้ว…ทั้งหมดจบสิ้นแล้ว…

สายตาของแต่ละคนบ้างก็ตกตะลึง บ้างก็ดูแคลน บ้างก็สงสัย แต่ทั้งหมดล้วนมองมาที่เขา

เขาอยากให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน

เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลก็อับอายขายหน้าเช่นกัน อาจารย์ใหญ่ผู้นี้เหตุใดถึงไม่ไว้หน้ากันสักนิด พูดออกมาตรง ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

เฉินไคชุนสะบัดตัวออกมาจากพันธนาการของจี้จือฮวน ก่อนจะเอ่ยด้วยความเมามายพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ “เจ้าเหลวไหลสิ้นดี เหตุใดเจ้าไม่ให้เย่าจงของเรา เผยจี้ฉือมีสิทธิ์อะไรไปเรียนที่สำนักศึกษากัน?”

ชาวบ้านต่างก็รู้สึกว่าเขาช่างไร้ยางอายสิ้นดี นั่นมันสำนักศึกษาของเขา อยากให้ใครเข้าเรียนก็ย่อมได้ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย นี่มันจะมากเกินไปแล้วกระมัง?

แต่ครอบครัวเฉินกลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าจี้จือฮวนต้องให้เงินอาจารย์ใหญ่เป็นแน่ เพราะดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว นั่นก็เพราะจี้จือฮวนอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก รูปร่างก็ผอมบาง และคิดว่าอาจารย์ใหญ่คงไม่ใช่คนที่กินไม่เลือกเช่นนั้น

หลินเซวียเหวินเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สิทธิ์ที่ข้าเป็นอาจารย์ใหญ่ สิทธิ์ที่ทั้ง ๆ ที่เฉินเย่าจงรู้ว่าชื่อบนเทียบเชิญไม่ใช่ของตัวเองแต่ยังกล้าบอกว่าเป็นเขา ด้วยนิสัยเช่นนี้ต่อให้เขามีพรสวรรค์ที่จะได้เป็นจอหงวนจริง แต่จะต้องไม่เอาไหนอย่างแน่นอน!”

คำพูดนี้ของหลินเซวียเหวินนับว่ารุนแรงมาก แทบจะเป็นการปฏิเสธเฉินเย่าจงต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านเลยก็ว่าได้

และทุกคนต่างก็รู้ดีว่า อาจารย์ที่สอนในสำนักศึกษาชิงอวิ๋น ล้วนแล้วแต่ผ่านการสอบเคอจวี่มาทั้งนั้น บางคนก็ลาออกจากสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลิน* ความสัมพันธ์เส้นสายของพวกเขา หาใช่สิ่งที่ชาวบ้านอย่างพวกเขาจะจินตนาการได้

* สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลิน (翰林院) หมายถึงสภาที่ทรงอิทธิพลมากสำหรับบัณฑิตในยุคนั้น มีหน้าที่บันทึกและแก้ไขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ รวมไปถึงการวางแผนการศึกษา และการสอบเพื่อเฟ้นหาบัณฑิตเข้ารับราชการอีกด้วย

เฉินเย่าจงพลันแข้งขาอ่อนแรง จนเกือบจะยืนไม่อยู่

หลินเซวียเหวินเอ่ยจบก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรผิด แต่กลับมองไปทางจี้จือฮวน “แม่นางจี้ เรื่องนี้เป็นข้าที่สะเพร่าเอง ยังดีที่กลับไปบอกอาจารย์แม่ และท่านบอกว่าไม่วางใจ ต้องมาขอโทษและขอบคุณแม่นางด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเราจึงได้ย้อนกลับมาอีกครั้งในเวลานี้”

โชคดีที่พวกเขารีบกลับมา ไม่อย่างนั้นคนของหมู่บ้านตระกูลเฉิน คงพูดจากลับดำเป็นขาว โกหกได้โดยไม่หวาดกลัวสิ่งใด เอาแต่ครอบครัวเฉินเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์พูดอยู่ฝ่ายเดียว

จี้จือฮวนเวลานี้ไม่ได้เกลียดอาจารย์ใหญ่หลินผู้นี้อีกแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขา วันนี้นางคงทำได้เพียงสู้กับคนหมู่บ้านตระกูลเฉิน จากนั้นก็ไปฟ้องศาลเป็นแน่

ดังนั้นนางจึงเอาแขนเสื้อลง และคารวะให้กับเขา “อาจารย์ใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว”

เฉียวฮูหยินก้าวเข้ามา “แม่นางจี้ เป็นพวกเราที่ทำอะไรไม่รอบคอบ จึงทำให้เจ้าถูกรังแกเช่นนี้ ข้าขอเป็นตัวแทนสำนักศึกษาชิงอวิ๋นขอโทษเจ้าด้วย”

จี้จือฮวนไม่กล้ารับการคารวะจากคนชรา จึงรีบห้ามนางเอาไว้ “เฉียวฮูหยินไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้หรอกเจ้าค่ะ ค่ารักษาข้าก็รับมาแล้ว ส่วนเรื่องเทียบเชิญเข้าเรียนนั้น ครอบครัวของเราขอคิดอีกทีนะเจ้าคะ”

คนทั้งหมู่บ้านต่างก็อ้าปากค้างพลางสูดลมหายใจเข้าลึก นางรู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่ นั่นเป็นถึงสำนักศึกษาชิงอวิ๋นเชียวนะ สามารถเข้าไปเรียนได้ก็ควรจะดีใจแล้ว ยังมีอะไรต้องคิดอีก สรุปว่านางรู้หรือไม่ว่าสำนักศึกษาชิงอวิ๋นคือที่ใดกันแน่?

เฉียวฮูหยินรู้ว่าแม่นางจี้ผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงยืนอยู่ข้าง ๆ หลินเซวียเหวิน ก่อนหันไปมองคนของหมู่บ้านเฉิน รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลพวกนั้น

วันนี้พวกเขารับปากไว้เช่นไร สุดท้ายกลับทำเรื่องเช่นนี้ลับหลังอย่างนั้นหรือ?

เฉินไคชุนไม่อยากจะเชื่อ “อาจารย์ใหญ่อย่างเจ้าตาบอดหรืออย่างไรกัน เย่าจงของพวกเราต่างหากที่ควรจะได้ไป พวกเราส่งต้นพันธุ์ที่ดีไปให้พวกเจ้าแล้ว เจ้าจะมองข้ามเย่าจงของพวกเราไม่ได้นะ เจ้าไม่มีวันเสียใจแน่ เพราะเขาจะสามารถเป็นจอหงวนได้อย่างแน่นอน!”

เฉินไคชุนดื่มเหล้าไปเยอะมาก จึงไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ เขารู้แค่ว่าหลานของเขาถูกรังแก ความภาคภูมิใจของหมู่บ้านตระกูลเฉินของพวกเขากำลังถูกคนเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า

อาจารย์ใหญ่ผู้นี้ไม่แน่อาจจะเป็นตัวปลอมก็ได้ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงไม่เอาเย่าจงเล่า

คนรับใช้ของหลินเซวียเหวินทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว นายท่านของเขาเป็นสุภาพชน ย่อมไม่มีทางลงไปเกลือกกลั้วกับคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้คนพวกนี้เที่ยวสงสัยส่งเดชเช่นนี้ได้

“เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน เย่าจงของพวกเจ้ามีความสามารถหรือไม่ สอบจอหงวนแล้วถึงจะรู้ อีกอย่างสำนักศึกษาของเราก็เคยมารับศิษย์ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ให้ทุกคนมีโอกาสทำข้อสอบ หากเย่าจงของพวกเจ้ามีความสามารถจริง ก็คงไม่ต้องขโมยเทียบเชิญเข้าเรียนของคนอื่นเช่นนี้หรอก ไร้ยางอายสิ้นดี!” คนรับใช้ตะโกนตอบโต้

หยวนซื่อที่ได้สติเป็นคนแรก ก็ทรุดลงไปร้องไห้กับพื้น “สวรรค์ เย่าจงของเราเหตุใดถึงแพ้ให้กับเจ้าคนขี้โกงนั่นได้ เย่าจงของเราไม่ควรเจอเรื่องเช่นนี้ พวกเจ้าไม่ยุติธรรม”

เฉินไคชุนเองก็ถูกด่าจนแทบจะสร่างเมา “เย่าจงอายุยังน้อยก็สอบได้เป็นถงเซิง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเขาไม่มีความสามารถ สำนักศึกษาของเจ้าไม่ได้เรื่องเอง ดังนั้นอย่ามาใส่ร้ายเย่าจงของเรานะ!”

คนของหมู่บ้านตระกูลเฉินเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน อย่างไรเสียเฉินเย่าจงก็เป็นคนของหมู่บ้าน ส่วนครอบครัวเผยเป็นคนต่างแซ่

หลินเซวียเหวินไม่อยากดูพวกเขาเล่นละครต่ออีก “หากพวกเจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ก็สามารถไปฟ้องศาลได้ ข้าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ กลัวว่าถึงเวลา แม้แต่คุณสมบัติของถงเซิง เฉินเย่าจงก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้มากกว่า”

เฉินไคชุนราวกับมีบางอย่างติดคอ ส่วนหยวนซื่อกลับยังจะร้องไห้โวยวายไม่หยุด จึงถูกเฉินไคชุนปิดปากเอาไว้

ไปฟ้องศาลไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เช่นนั้นถึงเวลาคงได้จบเห่จริง ๆ แน่

เฉินเย่าจงล้มลงไปกับพื้นทันที ทั้งอับอายและโกรธแค้น

มาถึงขั้นนี้ความจริงก็ปรากฏแล้ว หากจี้จือฮวนยังอยู่ตรงนี้ต่อ ก็มีแต่จะถูกคนมองด้วยความไม่พอใจเท่านั้น

อาชิงเองก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอาตัวเข้ามาแนบข้างกายจี้จือฮวนแล้วเอ่ยขึ้นมา “ท่านแม่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะขอรับ”

จี้จือฮวนลูบผมของเขาเบา ๆ “อาจารย์ใหญ่หลิน ตอนที่ท่านมาส่งเทียบเชิญ ยังเอาของอย่างอื่นมามอบให้อีกหรือไม่เจ้าคะ?”

หลินเซวียเหวินได้สติขึ้นมา จึงให้คนรับใช้เป็นคนบอก เพราะฝีปากของคนรับใช้คนนี้คล่องแคล่วกว่า “เรียนแม่นางจี้ นอกจากเทียบเชิญแล้ว ยังมีผ้า ขนม ของบำรุง และเครื่องเขียนด้วยขอรับ”

.

.

.