ตอนที่ 64 ลายมือเหมือนกัน

หยวนซื่อดวงตาเบิกโพลง ไม่สนใจเฉินไคชุนอีกต่อไป นางรีบเบียดฝูงชนแล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที

จี้จือฮวนหรี่ตาลง “แต่ว่าที่บ้านข้ามีแค่ผ้าหนึ่งพับเท่านั้น”

ท่านป้าหยางพยักหน้าสนับสนุน “ข้าสามารถยืนยันได้ หยวนซื่อเป็นคนเอามาให้เอง บอกว่ามีของแค่อย่างเดียว ข้าไม่เห็นขนมกับเครื่องเขียนแต่อย่างใด”

คนทั้งหมู่บ้านต่างก็มองไปที่ครอบครัวของเฉินไคชุนเป็นตาเดียวกัน

เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเองก็คิดไม่ถึงว่าเฉินไคชุนจะโลภมากถึงเพียงนี้ เอาเทียบเชิญของคนอื่นไปยังไม่เท่าไร อย่างไรซะนั่นก็เพื่อคนของหมู่บ้านตระกูลเฉิน แต่การเอาของขวัญขอบคุณของคนอื่นมา มิเท่ากับเป็นขโมยหรอกหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว เรื่องที่ตนเองเอาเปรียบเขาก็ไม่ควรเอาไปโพนทะนา แต่เขากลับเรียกคนทั้งหมู่บ้านมากินเหล้าเฉลิมฉลอง จากนั้นก็เอาเทียบเชิญไปอวดต่อหน้าเจ้าของตัวจริงอีก

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาชอบโอ้อวด เรื่องก็คงจะไม่มาถึงขั้นนี้

จี้จือฮวนก็คงจะไม่รู้ และก็คงไม่เกิดปัญหาเช่นนี้

และพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหลินเซวียเหวินจะย้อนกลับมาด้วย แม้ในไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดโปงอยู่ดี

หยวนซื่อวิ่งเข้าไปในบ้านได้ไม่นาน เจิ้งหลี่เจิ้งก็ให้ท่านป้าหยางและคนรับใช้ของหลินเซวียเหวินตามเข้าไปดูด้วย

คนรับใช้ย่อมรู้ดีว่านายของตนมีของขวัญอะไรมามอบให้บ้าง เมื่อเห็นว่าหยวนซื่อกล้าเอาของไปซ่อน เขาก็เข้าไปค้นทันที แต่คนของครอบครัวเฉินก็ยังไม่ยอม จนคนรับใช้ตะโกนขู่ว่าจะไปฟ้องศาล บอกว่าพวกเขาขโมยของ คนในชนบทกลัวการขึ้นศาลเป็นที่สุด เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยืนอยู่กับที่และไม่กล้าขยับอีก

“สวรรค์ ของเหล่านี้เป็นของครอบครัวข้าแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังจะเอาไปอีก ครอบครัวเผยไม่ขาดของพวกนี้ มิหนำซ้ำครอบครัวของพวกเขายังสร้างบ้านหลังใหญ่ด้วย”

คนรับใช้จึงเดินเข้าไปถ่มน้ำลายใส่ “ถุย อย่าว่าแต่เขาสร้างบ้านเลย ต่อให้เขาสร้างเรือนรับรองในวังหลวงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ของนี่เป็นของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือถึงได้กล้าซ่อนเอาไว้!”

คนรับใช้เอาของออกมาให้ท่านป้าหยาง พลางตะโกนขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่ขอรับ หาเจอแค่ขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ กับผ้าอีกสองพับขอรับ ส่วนผ้าแพร ของบำรุง และเครื่องเขียนที่เหลือหาไม่เจอขอรับ”

ช่างตัดเสื้อจึงยกมือขึ้น “ยังมีผ้าบางส่วนอยู่ที่บ้านข้า ดีที่ข้ายังไม่ได้ตัด จึงวางไว้อยู่อย่างเดิม”

แม้เขาจะรับผ้าเหล่านั้นไปแล้ว แต่เมื่อคิดว่าหากอาจารย์ใหญ่หลินฟ้องร้องขึ้นมา เช่นนั้นเขาก็ต้องรับโทษไปด้วย ดังนั้นรีบเอาของออกมาคืนก่อนจะดีกว่า

ช่างตัดเสื้อรีบกลับไปที่บ้านเพื่อเอาผ้ามาคืน และคนรับใช้ผู้นี้ก็ไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่าย ๆ เขาเอ่ยขึ้นมา “ครอบครัวของพวกเจ้าอย่ามาทำเป็นปากแข็ง คิดว่าการที่ไม่เอาของออกมาก็จะลอยตัวเหมือนไม่ได้เป็นคนเอาไป แล้วพวกเราฟ้องศาลไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นเป็นศิษย์พี่ของนายอำเภอคนปัจจุบัน การกระทำที่ชั่วร้ายเช่นนี้หากไม่ฟ้องศาล ทุกหมู่บ้านก็จะเลียนแบบได้ อาศัยว่าตัวเองเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ขโมยเทียบเชิญของคนอื่นให้ลูกหลานตัวเอง เช่นนั้นจะมีความยุติธรรมได้อย่างไร?

เฉินหลันหลันกลัวจนตัวสั่น นางดึงหยวนซื่อและเอ่ยขึ้นมา “ท่านแม่ ยังมีอะไรอีก ท่านรีบเอาออกมาเถอะเจ้าค่ะ”

หยวนซื่อกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะร้องไห้และพาคนรับใช้ไปที่ห้องของเฉินเย่าจงเพื่อหยิบเครื่องเขียนและโสมออกมา

คนรับใช้เดินออกมา จ้องหน้าเฉินเย่าจงพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ “แท่งฝนหมึกนี้ท่านหานเก๋อเหล่ามอบให้ท่านเฉียว เจ้ากล้านำมาใช้เองอย่างนั้นหรือ?”

เฉินเย่าจงสั่นเทาไปทั้งร่าง…ไม่กล้ามองหน้าคนอื่นแม้แต่น้อย

ตอนนี้ของขวัญทั้งหมดหาเจอแล้ว แต่กลับแปดเปื้อนสิ่งสกปรกจากคนครอบครัวเฉินไปเสียแล้ว สีหน้าของเฉียวฮูหยินจึงย่ำแย่อย่างที่สุด

หลินเซวียเหวินเองก็โมโหไม่น้อย เขาจ้องหน้าและเอ่ยกับคนของหมู่บ้านตระกูลเฉินที่ทำอะไรโดยพลการและโง่เขลาเบาปัญญา “ที่ข้ารีบร้อนกลับมาเช่นนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเช้าพวกเจ้าถามว่าเฉินเย่าจงจะได้เข้าเรียนหรือไม่? ดังนั้นข้าจึงกลับไปที่สำนักศึกษา นำกระดาษคำตอบของเฉินเย่าจงในตอนนั้นกลับมา”

คนครอบครัวเฉินต่างก็มองไปที่หลินเซวียเหวิน สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลกลับตื่นเต้นยิ่งกว่า หลี่เจิ้งเองก็พยักหน้าหงึก ๆ และเอ่ยขึ้นมา “ใช่แล้วขอรับ ตอนนั้นเย่าจงเป็นเพียงคนเดียวที่ตอบคำถามถูก ข้าเห็นด้วยตาตัวเอง”

หลินเซวียเหวินพยักหน้าให้ “เฉินเย่าจง นี่ใช่ลายมือของเจ้าหรือไม่?”

นี่เป็นความหวังสุดท้ายแล้ว เฉินเย่าจงพยักหน้าทันที ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ใช่ขอรับ ข้าเขียนด้วยตัวเอง!”

“ดี แผ่นนี้เป็นคำตอบที่ตอบได้ดีที่สุดในบรรดาคนสอบเข้าทั้งหมด”

สำนักศึกษาชิงอวิ๋นไม่ได้เปิดรับสมัครแค่ถงเซิงเท่านั้น แต่คนที่สามารถตอบถูกก็จะสามารถเข้าเรียนได้เช่นเดียวกัน แต่สำนึกศึกษาทั่วไปในช่วงต้นจะยังไม่ได้สอนวิชาคำนวณให้กับศิษย์ ดังนั้นคนที่ตอบถูกจึงมีไม่มากนัก

แผ่นนี้จึงเป็นคำตอบที่ตอนนั้นอาจารย์ทั้งหมดตรวจแล้วต่างก็พยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน ดังนั้นเดิมทีเฉินเย่าจงก็มีเทียบเชิญเข้าเรียนด้วยเช่นเดียวกัน และหลินเซวียเหวินก็จะต้องเอามามอบให้ด้วยตัวเอง

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ และได้พบเจอกับเรื่องเช่นนี้เมื่อมาถึงแล้ว

พวกเขาทำลายอนาคตของคน ๆ หนึ่งเพียงเพราะความเห็นแก่ตัว

เมื่อเฉินเย่าจงได้ยินว่าเป็นกระดาษคำตอบที่ดีที่สุด ก็เผยสีหน้าดีใจออกมาจนปิดเอาไว้ไม่มิด

เขาดีที่สุด ดีที่สุด เห็นหรือไม่เผยจี้ฉือ ต่อให้ข้าไม่มีเทียบเชิญของเจ้า ข้าก็สามารถเป็นอันดับหนึ่งที่สามารถเข้าเรียนได้!

เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเริ่มทนไม่ไหว “ในเมื่อเป็นกระดาษคำตอบที่ดีที่สุด เช่นนั้นเย่าจงของเราก็ควรได้รับเทียบเชิญด้วยใช่หรือไม่ อาจารย์ใหญ่ ท่านแค่ลืมไปใช่หรือไม่?”

หลินเซวียเหวินไม่ได้สนใจพวกเขา แต่กลับยังคงจ้องหน้าเฉินเย่าจงอยู่อย่างนั้น “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าเป็นคนเขียนเองหรือไม่?”

เฉินเย่าจงใจสั่นขึ้นมา แน่นอนว่าไม่ใช่เขา เพราะนั่นเผยจี้ฉือเป็นคนทำ

สายตาของเขาล่อกแล่กไปมาทันที ก่อนจะสบกับสายตาร้อนใจของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลและบรรดาญาติ ๆ เขาจึงกัดฟันเอ่ยออกมา “ข้าเป็นคนเขียน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็เห็น”

หลินเซวียเหวินหัวเราะออกมาด้วยความโมโห “เผยจี้ฉือ เจ้ามานี่สิ นี่ใช่ลายมือของเจ้าหรือไม่?”

เดิมจี้จือฮวนคิดว่าไม่ใช่เรื่องของครอบครัวตัวเองอีก แต่เมื่อเห็นหลินเซวียเหวินถามย้ำเช่นนี้ จึงเข้าใจได้ทันทีว่าวันนั้นต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่

ทั้ง ๆ ที่เผยจี้ฉือตอบถูกชัด ๆ แต่จี้จือฮวนไม่เคยคิดมาก่อนว่า กระดาษคำตอบที่เขาเขียนจะถูกเฉินเย่าจงสับเปลี่ยนเอาไป

เผยจี้ฉือได้ยินดังนั้นก็เดินเข้าไปดู กวาดตามองคำตอบบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างผ่าน ๆ จากนั้นก็หันไปมองใบหน้าซีดเผือดของเฉินเย่าจง มุมปากปรากฏรอยยิ้มดูแคลน ทำให้หัวใจของเฉินเย่าจงรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา

ก่อนเผยจี้ฉือจะรับกระดาษมา และมองหน้าเฉินเย่าจง “กระดาษที่ข้าเขียน กลายเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?”

“เหลวไหล เจ้าพูดจาเหลวไหล เย่าจงเป็นคนเขียน พวกเราต่างก็เห็นกับตา เจ้ากับอาจารย์ใหญ่เป็นพวกเดียวกันใช่หรือไม่? พวกเจ้าต้องการที่จะทำลายเย่าจงของเรา!” เฉินไคชุนไม่สามารถยอมรับความจริงเช่นนี้ได้เด็ดขาด

หลินเซวียเหวินอยู่มาจนอายุปูนนี้ ไม่เคยหลอกลวงอะไรเรื่องการเรียนมาก่อน เมื่อได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวหาโดยไม่มีมูล จึงหยิบหนังสือยินยอมการผ่าตัดที่เผยจี้ฉือเขียนขึ้นในตอนนั้นออกมาจากแขนเสื้อ

หากไม่ใช่เพราะลายมือนี้ เขาคงจะถูกเฉินเย่าจงหลอกไปแล้วจริง ๆ ให้คนชั่วที่ต่ำช้าเช่นนี้เข้าไปในสำนักศึกษาแล้ว

“บนกระดาษแผ่นนี้เป็นลายมือของเผยจี้ฉือ ส่วนแผ่นนี้เป็นของเฉินเย่าจง ข้าอยากถามว่าเหตุใดลายมือถึงได้เหมือนกันเช่นนี้?”

ชาวบ้านแม้จะอ่านหนังสือไม่ออก แต่ใช่คน ๆ เดียวกันเขียนหรือไม่ พวกเขาย่อมมองออก เมื่อมองดูกระดาษทั้งสองแผ่นอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าลักษณะในการเขียนตัวอักษรนั้นแทบจะไม่ต่างกัน!

“ถ้าอยากจะรู้คำตอบนั้นง่ายมาก ให้เฉินเย่าจงและเผยจี้ฉือเขียนใหม่อีกรอบ ก็สามารถรู้ได้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง”

เฉินเย่าจงตัวเซไปทันที แต่คนรับใช้กลับเตรียมกระดาษและพู่กันเรียบร้อยแล้ว ก่อนแจกให้คนละหนึ่งชุด “เริ่มเขียนได้แล้ว”

เผยจี้ฉือหยิบขึ้นมาก็เริ่มเขียนทันที แต่กลับเป็นเฉินเย่าจงที่ไม่ยอมขยับเขยื้อน เฉินไคชุนจึงร้อนใจจะตายอยู่แล้ว “เย่าจง เจ้ามัวทำอะไรของเจ้า รีบเขียนเร็วเข้าสิ”

.

.

.