บทที่ 46 ลงมือช่วยแก้ปัญหา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“นัท……นัทธี?”ขยานีหันหน้าไป สบตาเข้ากับแววตาที่เยือกเย็นคู่นั้นของนัทธีอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นหน้าก็ซีดขาวขึ้นมา

เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

และที่เขาพูดเมื่อกี๊หมายความว่าอะไร เธอว่าวารุณีนังสารเลวนั่น จู่ๆเขากลับปรากฏตัวออกมา หรือว่า……

สายตาขยานีเกร็งแน่น แล้วจู่ๆในใจก็มีการคาดเดาที่ไม่ดีเท่าไหร่

และการเดานี้ แป๊บเดียวก็ได้รับการยืนยัน

“คุณเพิ่งพูดว่า ลูกของผมเป็นลูกนอกสมรส?”นัทธีเดินไปตรงหน้าขยานีแล้วหยุดลง เหมือนกับเทวดาที่สูงส่ง มองลงไปที่ขยานีอย่างเย็นชา

ขยานีเหมือนกับถูกกระตุ้น สีหน้าบิดเบี้ยวร้องออกมาเสียงดัง“เด็กสองคนนั้นที่เธอคลอดจะเป็นของคุณได้ไง?”

นัทธีเอื้อมมือไปที่ไหล่ของวารุณี ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา“ไม่มีอะไรที่เป็นไม่ได้!”

ถึงแม้วารุณีจะถูกการกระทำของนัทธีทำอย่างกะทันหัน แต่ไม่ได้ดันเขาออก

เพราะว่าเธอรู้ ว่านี่เขากำลังช่วยเธอแก้ปัญหา ไม่ให้อารัณกับไอริณถูกเรียกว่าเป็นลูกนอกสมรส

“คุณน้าขยานี ตอนนี้น้ายังกล้าพูดว่าลูกของฉันไม่มีพ่อ เป็นลูกนอกสมรสอีกไหม?”วารุณีเอนไปในอ้อมแขนของนัทธี มองขยานีอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ

ขยานีเห็นสองคนแนบชิดแบบนี้ ส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้“ยัยแพศยาหน้าไม่อาย จู่ๆก็กล้าแย่งคู่หมั้นของพิชญาพวกเรา ดูสิว่าฉันจะสั่งสอนแกไหม!”

พูดไป ขยานีก็ดึงวารุณออกมาจากอ้อมแขนนัทธี ยกมือขึ้นจะตบ

แต่วินาทีถัดมา นัทธีก็คว้าข้อมือของเธอไว้ นิ้วมือออกแรงเล็กน้อย

“โอ๊ย!”ขยานีเจ็บจนกะโกนออกมา ที่หน้าปากยังมีเหลือไหลออกมาด้วย

นัทธีสะบัดมือของเธอออก ขมวดคิ้วมองไปที่วารุณี“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไรค่ะ”วารุณีลูบข้อมือที่ถูกจับจนแดง ในใจรู้สึกอบอุ่น

ถึงแม้ฝ่ามือของขยานีนั้น ตัวเธอเองจะหลบได้

แต่นัทธีปกป้องอย่างไม่ลังเล ทำให้เธอซาบซึ้ง

“ไม่เป็นไรก็ดี”นัทธีพยักหน้า จากนั้นใบหน้าที่เหมือนน้ำแข็งก็มองไปที่ขยานี“ใครให้คุณกล้าตบคนของผม?”

ขยานีลูบมือที่ยังแอบเจ็บหน่อยๆ อดทนต่อความน่ากลัวของเขา เพิ่งเสียงปลุกความกล้าให้ตัวเอง“คุณเป็นคู่หมั้นของพิชญา เธอกล้าอ่อยคุณก็สมควรโดนตบแล้ว”

“ผมไม่รู้เลยนะว่า ว่าคุณจะพูดแทนลูกเลี้ยง หรือที่เขาลือกันว่าคุณกับพิชญาไม่ถูกกันนั้นไม่จริง?”ดวงตานัทธีเงยขึ้นอย่างเสียดสีเล็กน้อย

ได้ยินคำว่าลูกเลี้ยงสองคำนี้จากปากของเขา วารุณีมองสายตาของขยานีที่มีความครุ่นคิดแวบเข้ามา

เธอรู้ความสัมพันธ์ภายนอกของพิชญากับขยานี ว่าเป็นแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง

แค่เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อถึงอยากให้พิชญามาแทนที่ตัวตนของเธอ ข้างในนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่?

ขยานีอธิบายอย่างตื่นตระหนก“พวก……พวกเราไม่ถูกกัน แต่ยังไงพิชญาก็เป็นคนของตระกูลศรีสุขคํา ฉันพูดแทนเธอมันสมควรแล้ว อีกอย่างนะนัทธีลับหลังพิชญาคุณก็มาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ แล้วยังมีลูกอีก รู้สึกผิดต่อพิชญา รู้สึกผิดต่อตระกูลศรีสุขคําไหม?”

ได้ยินคำนี้ ใบหน้านัทธีก็ยิ่งดูขมขื่นมากขึ้น ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยความเยือกเย็น“พวกคุณตระกูลศรีสุขคํามีหน้ามากล่าวว่าผมได้อย่างไร ถ้าจะพูดขอโทษ ก็ควรจะเป็นคุณตระกูลศรีสุขคําที่ขอโทษผมตระกูลไชยรัตน์ คุณคิดว่าผมไม่รู้เรื่องราวภายในของคู่หมั้นในตอนนั้นจริงๆหรอ?”

รูม่านตาขยานีหดลงทันที เขารู้แล้วว่าพิชญาไม่ใช่คู่หมั้นที่แท้จริงของเขา!

งั้นเขาก็รู้ว่า ที่วารุณีหนีตามไปกับคนรักนั้นไม่ใช่เรื่องจริง?

ไม่ น่าจะไม่ เธอทำได้มิดชิดอย่างนั้น และยังซื้อคนใช้ตระกูลศรีสุขคําทั้งหมดในตอนนั้นอีก เขาไม่มีทางสืบได้แน่

เห็นสภาพไม่สบายใจของขยานีแบบนี้ ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับเบาๆ“ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นแก่ที่ห้าปีก่อนพิชญาช่วยผม ผมก็ทำให้ตระกูลศรีสุขคําตกอยู่ในความลำบากไปนานแล้ว และไม่ยอมรับการกระทำที่ให้ตระกูลศรีสุขคําหลอกลวงตระกูลไชยรัตน์แน่”

หลอกลวงตระกูลไชยรัตน์?

นี่หมายความว่าอะไร?

วารุณีฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ

ส่วนขยานีกลับโล่งอก หัวใจที่ดิ่งลงก็ตกไปอยู่ไกล

เธอเดาถูก เขาไม่รู้จริงๆ

ก็ใช่ ถ้าเขารู้ ถึงพิชญาจะช่วยเขา เขาก็ไม่ยอมให้ตระกูลศรีสุขคําหลอกเขาง่ายๆแน่

กำลังคิดอยู่นั้น นัทธีก็พูดอีก ด้วยน้ำเสียงเย็นชา“กลับไปบอกสุภัทร ถ้าไม่พอใจที่ผมนัทธีมีลูกอยู่ข้างนอก ผมจะยกเลิกโอกาสแต่งงานของสองตระกูลให้เขา แล้วไสหัวไปซะ!”

“ยกเลิกการแต่งงาน?นี่จะเป็นไปได้อย่างไร……”ขยานีจะไม่ตอบตกลง ก็เห็นเขาหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็ไม่กล้าพูด

เธอกลัวว่าพูดต่อไป ตอนนี้เขาจะยกเลิก ดังนั้นเลยรีบบึ่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

วารุณีมองทางที่ขยานีออกไป แล้วก็พูดขอบคุณนัทธี“ประธานนัทธี ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไร”นัทธีปล่อยไหล่ของเธอ“ผมชอบอารัณกับไอริณมาก ไม่อยากเห็นพวกเขาสองคนได้รับความไม่เป็นธรรมนี้ คุณต่างหาก เจอเธอได้อย่างไร?”

ได้ยิน สายตาวารุณีก็เป็นประกาย ตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างขมขื่น“เจอโดยบังเอิญน่ะ คุณก็รู้ว่าฉันเป็นลูกสาวของตระกูลศรีสุขคํา ขยานีเห็นฉัน จะปล่อยฉันได้ไงกันล่ะ”

นัทธียกคางขึ้นอย่างเข้าใจ

“ใช่สิประธานนัทธี คุณเพิ่งบอกว่าตระกูลศรีสุขคําหลอกลวงตระกูลไชยรัตน์ หมายถึงอะไรเหรอคะ?”วารุณีถามอย่างแปลกใจ

นัทธีใช้สายตาซับซ้อนมองเธอสักพัก ไม่ตอบ

วารุณีเห็นสถานการณ์ ก็ไม่ได้ถาม

ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

วารุณีหยิบโทรศัพท์มาดู จึงรีบรับ“ฮัลโหลค่ะ?”

“คุณวารุณี อารัณน้อยตื่นแล้วค่ะ!”เสียงของพยาบาลเข้ามาในแก้วหูของเธอ

“อะไรนะ?”วารุณีส่งเสียงอย่างดีใจ“ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้!”

พูดจบ เธอก็วางสาย มองไปที่นัทธีที่อยู่ตรงหน้าอย่างดีใจที่กำลังมองเธอเช่นกัน แล้วยิ้มออกมา“อารัณตื่นแล้วค่ะ!”

ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้น“ยังไม่ไปอีกเหรอ?”

“ไปกันค่ะ!”วารุณีพยักหน้า

ทั้งสองกลับไปห้องคนไข้ด้วยกัน

พยาบาลกำลังดูแลอารัณอยู่ ค่อยๆทานโจ๊ก เห็นสองคนเข้ามา ก็โบกมือเล็กๆอย่างดีใจ“หม่ามี๊ คุณอานัทธี”

“อารัณ!”วารุณีเม้มริมฝีปาก ทนไม่ไหวอีกต่อไป เข้าไปกอดอารัณแน่นๆ“เด็กดื้อ ลูกเกือบทำหม่ามี๊ตกใจตายแล้วรู้ไหม!”

“ขอโทษครับหม่ามี๊ ต่อไปไม่ทำอีกแล้วครับ”อารัณตบหลังมือเธอเหมือนผู้ใหญ่ ขอโทษไป ง้อเธอไป

นัทธียืนมองสองคนแม่ลูกอยู่ข้างๆ ในแววตามีความอบอุ่นที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้

กอดอยู่สักพัก วารุณีก็ปล่อยอารัณออก จ้องเขาอย่างละเอียด “ยังมีตรงไหนไม่สบายไหม?”

“ตรงนี้ครับ”อารัณลูบท้องของตัวเอง มองไปที่วารุณีอย่างน่าสงสาร“ท้องป่อง”

วารุณีจิ้มหน้าปากของเขา“สมควรแล้ว ดูสิว่าต่อไปลูกยังกล้ากินอาหารทะเลอีกไหม!”

“คุณอานัทธีครับ”อารัณชี้ไปที่นัทธี“คุณอานัทธีให้ผมกิน”

นัทธีเลิกคิ้ว หลังจากมองเขาแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมรับความผิดนี้“ใช่ ผมเอง”

“พอเถอะน่าประธานนัทธี คุณอย่าปกปิดให้เขาเลย ฉันไม่รู้จักเด็กคนนี้หรือไงกัน จะต้องเป็นเขาที่ให้คุณพาเขาไปกินแน่”วารุณีหยิกหน้าของอารัณ

อารัณแลบลิ้น

ตอนนี้เอง ประตูห้องคนไข้ก็มีคนเคาะ

ไม่ต้องให้วารุณีสั่ง พยาบาลก็เดินไปเปิดประตูอย่างมีเซนส์

ชายหนุ่มที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา มองเห็นนัทธี ใบหน้าที่น่ารักก็มีรอยยิ้มขนาดใหญ่ขึ้นมา เป็นการรักษาที่ดี“นัทธี คุณอยู่ที่นี่เอง!”

นัทธีไม่ส่งสายตาอะไรให้เขาเลย ไม่สนใจที่เขามาหาอย่างเห็นได้ชัด

กลับเป็นวารุณีที่ตกใจเล็กน้อย“คุณหมอพิชิต?”

เธอจำได้ คนนี้เป็นหมอหน้าเด็กคนนั้นที่ครั้งที่แล้วพันแปลให้เธอ ที่ร้านอาหารสตาร์ไลท์

“ฮาย สวัสดีนะครับพวกคุณ”พิชิตเอาสายตาจากนัทธี ย้ายไปมองที่แม่ลูกวารุณี ทักทายพวกเขาแม่ลูก

วารุณียิ้มไปให้“สวัสดีค่ะคุณหมอพิชิต ขอโทษนะคะคุณหมอพิชิตมีอะไรไหมคะ?”