บทที่ 47 อยู่ห่างเธอหน่อย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ผมมาหานัทธีครับ”พิชิตทำปากยื่นไปทางนัทธีแล้วตอบกลับ

วารุณีพยักหน้าอย่างฉับพลัน ในใจกลับสงสัย เขารู้ได้อย่างไรว่านัทธีอยู่ที่นี่

เหมือนว่าจะมองความคิดของเธอออก พิชิตจึงหัวเราะแล้วอธิบายว่า“นี่เป็นโรงพยาบาลที่อยู่ภายใต้ตระกูลจรูญอุดมสุข มีหมอเห็นนัทธี ก็เลยบอกผมครับ”

“ที่แท้ก็แบบนี้เอง”วารุณีเข้าใจแล้ว

“คุณมาหาผมมีอะไร?”นัทธีหันไปมองพิชิต

พิชิตเก็บอาการบนใบหน้า แล้วเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาหน่อย“ครั้งที่แล้วที่คุณให้ผมไปหาศัลยแพทย์สมอง ผมหาคนที่เหมาะสมได้แล้ว”

“ใคร?”สายตานัทธีมีความสงสัย

“เขาชื่อพงศกร!”

เขาเองเหรอ?

สายตานัทธีหม่นลง ริมฝีปากบางๆก็เม้มเข้า

พิชิตไม่พบความผิดปกติของเขา จึงพูดช้าๆต่อไปว่า“คุณหมอพงศกรท่านนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านศัลยกรรมสมอง มีชื่อเสียงที่ต่างประเทศมาก การผ่าตัดที่รับมาไม่เคยล้มเหลว ผมว่าการผ่าตัดของนวิยาถ้าเขามาทำจะต้องประสบความสำเร็จแน่”

“หม่ามี๊ พวกคุณอานัทธีกำลังพูดถึงพ่อบุญธรรม”อารัณพูดเบาๆ

วารุณีลูบหัวของเขา“ใช่จ้ะ”

ถึงแม้สองแม่ลูกจะพูดคุยเสียงเบา แต่ก็ยังดึงดูดความสนใจของพิชิต

เขามองไปที่สองคนแม่ลูกอย่างตกใจ“ทำไม พวกคุณรู้จักพงศกรเหรอ?”

“รู้จักครับ”อารัณพยักหน้าเล็กๆ

วารุณีก็หัวเราะ“ใช่ค่ะ เขาเป็นคน……”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จิตใต้สำนึกก็มองไปที่นัทธี เปลี่ยนคำตอบ“เป็นสามีฉัน”

สีหน้านัทธีหม่นลงไป ในใจไม่พอใจหน่อยๆ

เธอชอบใช้พงศกรผู้ชายที่จอมปลอมแบบนั้นมาเป็นเกราะป้องกันมากขนาดนี้เลยเหรอ?

“อะไรนะ?พงศกรเป็นสามีคุณ?ในตอนนั้นเป็นเขาเองที่หนี ……”

“หุบปาก!”คำพูดน่าตกใจของพิชิตยังพูดไม่จบ ก็ถูกเสียงคมกริบของนัทธีตัดบท

จิตใต้สำนึกพิชิตหุบปากทันที จึงได้สติคืนมา ตัวเองเพิ่งเกือบจะพูดต่อหน้าเจ้าตัวว่า ตอนนั้นเธอหนีตามไปกับคนรัก

“ขอโทษขอโทษ ผมเพิ่งตกใจมากไปหน่อย คุณไม่ตกใจใช่ไหมครับ?”พิชิตหัวเราะให้วารุณีอย่างรู้สึกผิด

วารุณีส่ายหน้าเล็กน้ยอ“ไม่ค่ะ แต่ว่าคุณเพิ่งพูดหนีอะไรเหรอคะ?”

“เอ่อ……ผมพูดเหรอ?”พิชิตมองเพดาน เริ่มแสร้งทำเป็นมึนๆ

“พูดแล้วครับ!”อารัณมองเขาแล้วก็หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์

มุมปากพิชิตยกขึ้น

ไอ้เด็กนี่สมควรตาย จู่ๆจะมาโค่นล้มเขา!

หน้าตาเหมือนกับนัทธีล้วนแต่ไม่น่ารักทั้งนั้นเลยจริงๆ!

“พอแล้ว คุณตามผมมา!”นัทธีลุกขึ้น เดินออกไปนอกห้องคนไข้

หลังจากพิชิตขยิบตาให้อารัณ ตามออกไป

ทั้งสองเดินมาที่บันไดหนีไฟ

พิชิตหยิบบุหรี่ซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ ยื่นให้นัทธีมวนหนึ่ง

นัทธีรับไปเสร็จ ก็คีบไว้ที่มือ“เปลี่ยนหมอ พงศกรไม่ได้!”

“ทำไมล่ะ?”พิชิตที่จุดบุหรี่ก็ชะงัก“ผมติดต่อคนได้แล้ว ช่วงนี้เขาก็จะมารายงานตัวที่โรงพยาบาล เปลี่ยนคนตอนนี้สายไปแล้ว

“เขาไม่ธรรมดา เอานวิยาส่งต่อให้เขา ผมไม่วางใจ!”นัทธีรับไฟแช็กที่เขาโยนมา แต่ไม่ได้จุดบุหรี่

“แต่ไม่เอาพงศกร นวิยาก็จะแย่นะ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมสมองในต่างประเทศที่มีชื่อเสียงมากกว่าพงศกร แต่โดยพื้นฐานแล้วล้วนแต่อายุมาก ไม่อาจทำการผ่าตัดได้ คุณแน่ใจว่าจะเปลี่ยนคน?”พิชิตสนแต่สูบบุหรี่ตัวเอง

นัทธีขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร

พิชิตพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงๆ มองเขา“นัทธี คุณบอกผมมาตรงๆ คุณเป็นห่วงนวิยาจริงๆ เลยไม่ยอมไปหาพงศกรเหรอ?”

“คุณหมายความว่าอย่างไร?”มุมปากนัทธีหุบลง

พิชิตเคาะขี้เถ้า แล้วหัวเราะ“ความหมายก็ไม่ใช่ว่าชัดเจนเหรอไง ที่จริงวารุณีเป็นคู่หมั้นของคุณต่างหาก แต่เธอกลับหนีตามคนรักไปกับพงศกร แอบคุณมีชู้ คุณจะใส่ใจก็เป็นเรื่องปกติ”

“คุณพูดผิดแล้ว ผมไม่สาใจ!”นัทธีกดไฟแช็ก แล้วจุดบุหรี่ของตัวเอง“เพราะว่าพงศกรไม่ใช่สามีของเธอ”

พิชิตสำลักควัน สักพักจึงหยุดไอ เบ้าตาแดงๆมองเขา“คุณพูดอะไร?สามีของวารุณีไม่ใช่พงศกร งั้นทำไมเธอเพิ่ง……”

“เกราะป้องกัน”นัทธีตอบกลับเบาๆ

พิชิตขยี้ผมหยิกๆ“งั้นสามีเธอคือใคร?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ”นัทธีก้มลงมองประกายไฟที่ก้นบุหรี่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

พิชิตเบะปาก“โอเค พงศกรไม่ใช่สามีเธอก็ดี ต่อไปร่วมงานกับเขา ผมจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด แต่ว่านัทธี ผมได้ยินมารุตพูดว่า ช่วงนี้คุณอยู่ใกล้ชิดกับวารุณี นี่มันไม่สอดคล้องกับนิสัยคุณเลยนะ คุณคงไม่ …

“คุณคิดว่าเป็นไปได้เหรอ?”นัทธีชำเลืองมองเขาอย่างเยือกเย็น

พิชิตลูบปลายจมูก“โอเค ผมคงคิดมากไปเอง แต่ว่าผมหวังว่าคุณจะอยู่ห่างเธอหน่อย เธอมีครอบครัวแล้ว และก็มีคู่หมั้น พวกคุณไม่ควรจะมีความสัมพันธ์เกิดขึ้นนอกจากเรื่องงาน ไม่อย่างนั้นจะจมดิ่งไปง่ายๆ”

“เรื่องแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาเตือนผม!”นัทธีพูดเสียงหม่น

“ได้ คุณรู้ก็ดี แล้วก็ด้านพงศกร คุณรีบตัดสินใจดีกว่าว่าจะให้เขามาผ่าตัดไหม ถ้าช้าต่อไป นวิยาก็จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกจริงๆ”

พูดจบ พิชิตก็ตบไหล่ของเขา แล้วหันกลับออกไป

ตรงบันไดที่มืดมิด เหลือเพียงแต่นัทธีคนเดียวแล้ว

นัทธีคีบบุหรี่ นึกถึงคำที่พิชิตเพิ่งพูด รู้ว่าช่วงนี้ตัวเองทำเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำตั้งมากมาย ให้สามคนแม่ลูกวารุณีจริงๆ

เรื่องนี้ ทำให้เขาเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะกลายเป็นอย่างไร ตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยชอบความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมได้แบบนี้

คิดถึงตรงนี้ นัทธีจึงหลับตาลงเล็กน้อย หลังจากลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าจะตัดสินอะไรได้ สายตาเย็นชาและดูห่างเหิน

ทันใดนั้น เขาก็เอาก้นบุหรี่ทิ้งลงบนพื้นแล้วใช้ส้นรองเท้าขยี้ แล้วจึงกลับไปที่ห้องคนไข้

สองวันถัดมา อาการป่วยอารัณดีขึ้นจึงออกจากโรงพยาบาล

วารุณีซื้ออาหารมามากมายเป็นพิเศษ เตรียมว่าคืนนี้จะฉลอง

พอเธออาหารเสร็จ โทรหานัทธี เชิญเขามาทานข้าว แต่กลับถูกเขาปฏิเสธ

“หม่ามี๊ คุณอานัทธีไม่มาเหรอครับ?”อารัณดื่มน้ำผลไม้แล้วถาม

วารุณีวางโทรศัพท์ลง“ไม่มาแล้วจ้ะ”

“หึ คุณอานัทธีพูดไม่เป็นคำพูด”ไอริณถือน้ำผลไม้แก้วหนึ่งอยู่เช่นกัน ทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ“บอกแล้วว่าสองวันนี้จะมารับส่งหนูที่โรงเรียนอนุบาล แต่นอกจากวันแรกแล้ว ต่อมาคุณอานัทธีก็ไม่เคยมารับหนูเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

วารุณียิ้ม“ไม่รับได้ไงล่ะ คุณอานัทธีไม่ได้ส่งคุณลุงคนขับรถมาให้ลูกเหรอไง?”

“ไม่เหมือนกันค่ะ หนูอยากให้คุณอานัทธีไปส่งเอง”ไอริณตอบกลับอย่างหน้าบึ้ง

อารัณมองไปที่วารุณี“หม่ามี๊ สองวันนี้คุณอานัทธียุ่งเหรอครับ ไม่ได้มาเยี่ยมพวกเราเลย”

พอได้ยิน วารุณีก็ลูบหัวเด็กๆทั้งสองคน“แน่นอนสิ คุณอานัทธีดูแลบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ จะมีเวลาไปข้างนอกทุกวันได้ไงกัน เอาน่าอย่าบ่นเลย กินข้าวนะ กินเสร็จรีบพักผ่อน”

“อือ”เด็กสองคนพยักหน้า

วันถัดมา วารุณีกลับไปทำงานตามปกติ

เธอตรอกบัตรเสร็จ ก็ไปที่แผนกจัดซื้อ ตรวจสอบผ้า ตรวจสอบผ้าที่สามวันก่อนโรงงานสามแห่งนั้นส่งมารอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา ก็เดินไปที่ห้องทำงานประธาน

“เข้ามา!”ได้ยินเสียงเคาะประตู นัทธีก็พ่นคำออกมาสองคำโดยไม่เงยหน้าเลยสักนิด

วารุณีได้ยินคำอนุญาต จึงผลักประตูเข้าไป“ประธานนัทธี”

ได้ยินเสียงของเธอ สายตานัทธีเป็นประกายเล็กน้อย หยุดปากกาในมือลง มองเธอด้วยสายตาเย็นชา“คุณมีอะไร?”