ตอนที่ 54 อู๋เสี่ยวเจี้ยนหนีหาย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 54 อู๋เสี่ยวเจี้ยนหนีหาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้จะเป็นในช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ตาม

หลินม่ายเดินตรงเข้ามาในสถานีตำรวจด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้น

เหยาชุ่ยฮวาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ร้องตะโกนเสริมความมั่นใจขณะเดินเข้ามา “ฉันใช้เงินไปสู่ขอลูกสะใภ้ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตำรวจอย่างพวกคุณจะไม่มีเหตุผล ไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้!”

หลังจากเดินเข้ามาได้สองก้าว นางก็พบว่าลูกชายของตนไม่ได้เดินตามเข้ามา เมื่อหันกลับไปและเห็นอู๋เสี่ยวเจี้ยนยืนอยู่ที่หน้าประตูและไม่กล้าเข้ามา นางจึงตะโกนด่า “มัวยืนอ้อยอิ่งตรงนั้นอยู่ทำไมเล่า รีบเดินเข้ามา!”

เป็นความจริงที่ว่าเขากับหลินเพ่ยรวมหัวกันขุดหลุมพราง โดยใช้พ่อแม่ตระกูลหลินให้มาเป่าหูหลินม่ายและหลอกให้เธอแต่งงาน

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงกังวลว่าหลินม่ายจะฟ้องร้องในข้อหาฉ้อโกงการแต่งงาน เขาที่ก่อความผิดเอาไว้จึงไม่กล้าเดินเข้าไป

ยิ่งแม่เรียกหาเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่กล้าเดินเข้าไปมากเท่านั้น และหันหลังวิ่งหนีไป

เพื่อนบ้านที่ตามมารับชมความสนุกสนานพลันโห่ร้อง

ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลินม่ายพูดจะเป็นความจริง เธอถูกอู๋เสี่ยวเจี้ยนกับพี่สาวฉ้อโกงการแต่งงาน ไม่อย่างนั้นอู๋เสี่ยวเจี้ยนคงจะไม่วิ่งหนีไปด้วยความรู้สึกผิด

เหยาชุ่ยฮวาตื่นตระหนกมากเมื่อเห็นลูกชายวิ่งหนีไป นางเดินวนไปมาอยู่ที่ทางเข้าประตูเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานอำนาจเงินสองพันหยวนในมือหลินม่ายได้ นางจึงเดินเข้าไป

การสร้างบ้านขนาดเล็กสองชั้นในเขตชนบทใช้เงินเพียงแค่สองสามร้อยหยวนเท่านั้น หากเป็นเงินสองพันหยวนจะขนาดไหน แค่คิดถึงเงินจำนวนมหาศาลพวกนั้นก็ทนไม่ไหวแล้ว!

ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร นางจะลากนังสารเลวนั่นกลับไปด้วยให้ได้ และบังคับให้มอบเงินสองพันหยวนให้นาง ไม่อย่างนั้นก็จะตีให้ตาย!

ผู้คนในยุคสมัยนี้หวาดกลัวตำรวจ แม้เหยาชุ่ยฮวาจะแข็งแกร่งกำยำ แต่ก็ต้องตัวสั่นเทาเมื่อเข้าไปในสถานีตำรวจ

นางรีบเดินเข้าไปอย่างองอาจเมื่อเห็นหลินม่ายนั่งให้การอยู่ด้านหน้าตำรวจ ก่อนเดินเข้าไปยืนด้านข้างและเงี่ยหูฟัง

ตำรวจเตือนหลินม่ายให้หยุด และหันไปถามเหยาชุ่ยฮวา “คุณครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

เหยาชุ่ยฮวาชี้ไปที่หลินม่าย “หล่อนเป็นลูกสะใภ้ของฉันเองค่ะ”

ตำรวจพยักหน้า “คุณเป็นหนึ่งในเหยื่อคดีฉ้อโกงงานแต่งงานของคุณผู้หญิงคนนี้เหรอครับ? เชิญนั่งลงก่อนสิครับ”

เมื่อพูดจบ เขาก็ผายมือเชิญนางนั่งลง

เหยาชุ่ยฮวาโล่งใจเมื่อเห็นตำรวจแสดงความเป็นมิตร และนั่งลงข้างหลินม่าย

หลินม่ายพูดเกือบจะจบแล้ว ดังนั้นเหยาชุ่ยฮวาจึงได้ยินเธอพูดแค่ว่า “ก่อนถึงวันปีใหม่ ครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี้ยนไล่ฉันจากบ้านท่ามกลางหิมะค่ะ อย่าพูดถึงการแต่งงานโดยพฤตินัยเลยค่ะ เพราะถ้าเป็นการแต่งงานโดยพฤตินัยมันก็จบลงแล้ว”

เหยาชุ่ยฮวารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความฉุนเฉียว “แค่ทะเลาะเบาะแว้ง ไล่แกออกจากบ้านก็ถือการแต่งงานเป็นโมฆะแล้วเหรอ? ฝันไปเถอะย่ะ!”

“ฉันจะบอกอะไรให้นะ แกถูกสู่ขอมาเป็นลูกสะใภ้ด้วยสินสอดทองหมั้นราคาสูง ต่อให้แกมีชีวิตอยู่ก็ต้องเป็นคนของเรา และต่อให้ตายไปก็ต้องเป็นผีเฝ้าบ้านเราอยู่ดี!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีจิตใจเมตตาร้องตะโกน “คุณครับ โปรดระมัดระวังคำพูดและการกระทำด้วย ที่นี่คือสถานีตำรวจ ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาเอะอะโวยวายได้!”

เหยาชุ่ยฮวาตื่นตระหนกเมื่อตระหนักได้ว่าตนยังอยู่ในสถานีตำรวจ

ก่อนจะเปลี่ยนบุคลิกท่าทางให้ดูน่าสงสาร และพูดกับตำรวจว่า “คุณตำรวจคะ หล่อนเป็นลูกสะใภ้ที่ครอบครัวเราจ่ายค่าตัวให้แพงมาก คุณตำรวจจะต้องบอกให้หล่อนกลับมาที่บ้านเรานะคะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ยังอายุไม่มากนัก น่าจะประมาณยี่สิบกว่า ๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูน่าเกรงขามมากเมื่อเอาจริงเอาจัง

“ลูกสะใภ้ที่จ่ายค่าตัวให้แพง? คุณซื้อตัวลูกสะใภ้มาเหรอครับ?”

เหยาชุ่ยฮวาตกใจมากจนรีบโบกมือ “พูดผิดค่ะ ลิ้นพันกันค่ะลิ้นพัน ฉันหมายถึงหล่อนเป็นลูกสะใภ้ที่บ้านเราสู่ขอมาด้วยสินสอดทองหมั้นราคาแพง…”

นางยังคงพูดต่อไม่รู้จบและไม่เข้าประเด็น ตำรวจหนุ่มจึงทำท่าทางให้นางหยุดพูด

“ถึงผมจะเห็นใจกับสถานการณ์ของคุณ แต่ว่าการแต่งงานเป็นโมฆะแล้วครับ คุณเสี่ยวหลินไม่จำเป็นต้องกลับไปที่บ้าน”

เหยาชุ่ยฮวาลืมควาหวาดกลัวไปชั่วขณะ และตะคอกถาม “ทำไม!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดอธิบายอย่างอดทน “ก็มันเกี่ยวกับกฎหมายการแต่งงานของคู่สมรสไงครับ ผมพูดเรื่องเหลวไหลอยู่หรือไง?”

จากนั้นเขาก็มอบเกร็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายการแต่งงานทางพฤตินัยให้แก่เหยาชุ่ยฮวา

เสียงของเขาดังก้องจนเพื่อนบ้านที่อยู่รอบประตูสถานีตำรวจได้ยินแจ่มแจ้ง

“การแต่งงานโดยพฤตินัยหมายถึงการที่ผู้หญิงและผู้ชายอยู่กินร่วมกันอย่างต่อเนื่องฉันท์สามีภรรยา”

“และการอยู่ร่วมกันแบบนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายการแต่งงาน กล่าวคือทั้งสองฝ่ายจะต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว และทั้งสองฝ่ายจะต้องเต็มใจที่จะแต่งงานกัน”

“ทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่มีคู่สมรส ไม่ใช่ญาติทางสายตรงหรือญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันในสามชั่วอายุคน จะต้องไม่ทนทุกข์ทรมานจากโรคที่แพทย์เชื่อว่าไม่ควรแต่งงาน”

“การแต่งงานของลูกชายคุณกับคุณเสี่ยวหลินไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ และฝ่ายหญิงมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีตามที่เกณฑ์ข้อบังคับที่ทางรัฐได้กำหนดเอาไว้”

“การที่หล่อนกับลูกชายของคุณไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแต่งงานโดยพฤตินัยไม่มีอยู่จริง นั่นหมายความว่าทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานกัน”

เหยาชุ่ยฮวาตกตะลึงในทันใดเมื่อรู้ว่าหลินม่ายไม่ใช่ลูกสะใภ้ของครอบครัวนางอีกต่อไป ก่อนจะเรียกร้องต่อ

นางชี้นิ้วไปที่หลินม่ายด้วยสีหน้ามึนตึง “ครอบครัวของเราพลิกพันมาระยะหนึ่งแล้ว ยังต้องมาสู่ขอลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เรื่องอีก เธอจะต้องชดใช้ให้พวกเรา เอาเงินสองพันหยวนมาซะ ต่อให้คุณเอาปืนมายิงฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยหล่อนไป!”

ในยุคนี้นับประสาอะไรกับคนบ้านนอก แม้แต่คนในเมืองส่วนน้อยนักที่จะเข้าใจกฎหมาย

เหยาชุ่ยฮวาเพียงต้องการให้ตนได้รับผลประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ดังนั้นนางจึงยืนกรานต่อ และไม่รู้ตัวว่าเผลอสร้างความหายนะให้กับตนเองแล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มหันหน้าไปถามว่า “คุณเสี่ยวหลินเป็นเหยื่อรายใหญ่ที่สุดในเหตุการณ์นี้ และคุณกำลังเรียกร้องค่าชดเชยจากเหยื่อ สมเหตุสมผลดีนะครับ!”

“ถ้าเรียกร้องค่าชดเชยไม่สำเร็จ คุณจะไม่ปล่อยเธอไป!”

“ในเมื่อคุณกล้าทำแบบนี้ นั่นหมายความว่าคุณกล้าที่จะละเมิดกฎหมาย ตอนนี้เรากำลังดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวด คุณรอเข้าคุกได้เลยครับ”

เหยาชุ่ยฮวาตกตะลึงและเริ่มพูดตะกุกตะกัก “ฉัน.. ครอบครัวฉันก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกันค่ะ แล้วใครจะรับผิดชอบความเสียหายของเราละคะ?”

หลินม่ายหรี่ตามองนาง “ใครที่โกงสินสอดบ้านคุณไป คุณก็ไปหาคนนั้นแหละค่ะ!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้า “คุณเสี่ยวหลินพูดถูก”

เหยาชุ่ยฮวากลอกตาและพูดยืนกราน “หลินม่ายมีส่วนร่วมกับพ่อแม่และพี่สาวของเธอฉ้อโกงสินสอดมูลค่าหลายหยวนจากบ้านฉันค่ะ คุณตำรวจ คุณต้องช่วยฉันตัดสินนะคะ”

เมื่อพูดจบ นางก็เริ่มการแสดงโดยบีบน้ำตาร้องไห้

หลินม่ายพูดจาดูถูก “ฉันมีส่วนร่วมเหรอ? แล้วฉันได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ?”

เหยาชุ่ยฮวาโต้กลับ “มีใครไม่รู้บ้างว่าเธอกับพี่สาวรักกันปานจะกลืนกิน เธอเต็มใจช่วยพี่สาวฉ้อโกงเพื่อที่พี่สาวเธอจะได้เรียนต่อ!”

หลินม่ายกางมือออก “มันไม่ได้พิสูจน์ว่าฉันเต็มใจช่วยพี่ฉ้อโกงหรอก แล้วอีกอย่างนั่นก็หมายความว่าฉันถูกพี่หลอกเหมือนกัน”

“ไม่อย่างนั้นในวันแต่งงานฉันคงไม่ออกมาเปิดเผยความจริงว่าลูกชายคุณกับพี่สาวฉันหลอกให้ฉันแต่งงานเข้าบ้านคุณหรอก”

“ตอนนั้นลูกชายคุณยอมรับแล้ว แถมคุณยังด่าเขาต่อหน้าทุกคนอีก ชาวบ้านในหมู่บ้านก็เป็นพยานได้”

เพื่อนบ้านที่ยืนออกันอยู่ที่ประตูสถานีตำรวจเริ่มพูดคุยกัน “ได้ยินมาว่าก่อนหน้าที่ม่ายจื่อจะถูกไล่ออกจากบ้าน หล่อนป่วยออด ๆ แอด ๆ บ่อย แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากพาหล่อนกลับบ้าน คงคิดจะเอาเงินหล่อนล่ะสิ”

“ใช่ ๆ เห็นว่าจะเอาสองพันหยวนเชียวนะ ฉันได้ยินเสียงซุบซิบมาว่าม่ายจื่อทำเงินได้มหาศาล คงจะมาเอาเงินสิท่า”

ตั้งแต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับผู้เป็นแม่ปรากฏตัวในเมือง ป้าอู๋ก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนขณะรับชมความสนุก แต่หลังจากได้ยินบทสนทนาของชาวบ้าน นางก็รีบผละตัวออกมาทันที

นางต้องการจะแทงข้างหลังหลินม่าย แต่กลับไม่คิดว่าจะเผลอเปิดโปงตนเอง

ถ้าป้าอู๋ไม่ผละตัวออกมาก็จะไม่มีใครสังเกตเห็น ทว่าป้าอู๋กลับผละตัวออกมาเงียบ ๆ ถึงอย่างนั้นชาวบ้านสองสามก็สังเกตเห็นนางอยู่ดี

ชาวบ้านคนหนึ่งรู้ว่านางเป็นญาติห่าง ๆ ของอู๋จินกุ้ย จึงรีบลดระดับเสียงและพูดเดาว่า “นั่นมันอู๋จินฮวาญาติฝั่งสามีของม่ายจื่อไม่ใช่เหรอ? หล่อนกับม่ายจื่อถือว่าเป็นญาติกันนี่!”

อู๋จินฮวาคือชื่อจริงของป้าอู๋

ชาวบ้านพากันพยักหน้าทีละคน “น่าจะใช่นะ ครอบครัวของพวกหล่อนไปขโมยกิจการของม่ายจื่อ แต่กลับขาดทุนย่อยยับ อู๋จินฮวาแค้นมากเลยไปยืมมือแม่สามีของม่ายจื่อให้มาจัดการหล่อนแทน!”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โดนม่ายจื่อฟ้องขนาดนี้แล้วจะกลับลำกันทันไหม บอกแล้วว่าอย่ามาไฝว้กับม่ายจื่อ

นังป้าดอกไม้ทองนักเสี้ยมนี่คงถึงกาลอวสานก็คราวนี้แหละ (ไม่ได้จะหยาบนะคะ นางชื่อจินฮวา ซึ่งมันก็แปลว่าดอกไม้ทองจริงๆ)

ไหหม่า(海馬)