ตอนที่ 55 กลับไปที่บ้านแม่

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 55 กลับไปที่บ้านแม่

ภายในสถานีตำรวจ แม้ว่าหลินม่ายจะมีเหตุผลและหลักฐาน แต่เหยาชุ่ยฮวาก็ยังยืนกรานว่าหลินม่ายมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการฉ้อโกงการแต่งงาน

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้วางตนต่อต้าน โดยกล่าวว่าเขาจะตรวจสอบข้อเท็จจริง หากหลินม่ายมีส่วนรู้เห็นในการฉ้อโกงงานแต่งงาน เธอจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

ไม่ว่าตระกูลอู๋จะสูญเสียเงินไปเท่าไร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะพยายามช่วยเหลือตระกูลอู๋อย่างเต็มที่

ส่วนกรณีเหยาชุ่ยฮวาเรียกร้องเงินชดเชยสองพันหยวน เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สนับสนุน

เหยาชุ่ยฮวาปิดปากด้วยความผิดหวัง นางพยายามยับยั้งความหวาดกลัวในใจและอยากกระโดดลงไปกัดหลินม่ายราวกับสุนัขบ้า ไม่ใช่เพราะว่านางต้องการให้อีกฝ่ายจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับครอบครัวนางหรอกเหรอ?

ด้วยเงินจำนวนสองพันหยวนแล้ว ครอบครัวนางจะเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน

ทว่าตอนนี้ความฝันอันแสนหวานกลับสูญเปล่า และหัวใจของนางก็ด้านชา

หลินม่ายพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ “รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนความจริงเสร็จ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉัน ถึงตอนนั้นฉันจะฟ้องเหยาชุ่ยฮวา สามีและลูกชายของหล่อน ข้อหาทำร้ายร่างกายฉันตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านตระกูลอู๋”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดตอบ “ตอนนี้คุณสามารถฟ้องร้องครอบครัวอู๋ได้นะครับ ถึงจะอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลที่ครอบครัวอู๋จะมาใช้ความรุนแรงกับคุณได้”

“ทั้งสองกรณีไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะฉะนั้นจำไว้นะครับ ต่อให้เป็นผู้โกหกก็สมควรได้รับสิทธิทางมนุษยชน ไม่ใช่ใครจะมาทุบตีหรือด่าทอได้ง่าย ๆ”

หลินม่ายหันไปแสยะยิ้มให้เหยาชุ่ยฮวาอย่างร้ายกาจ “ถ้าวันนี้คุณกับลูกชายไม่เข้ามาสร้างปัญหา ฉันก็ไม่คิดจะฟ้องพวกคุณหรอก”

“แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่รู้ว่าหลังจากฉันฟ้องแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวคุณบ้าง”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและเดินจากไป

เหยาชุ่ยฮวารู้สึกมึนงงเมื่อถูกกล่าวโทษกระทันหัน

นางมาจัดการนังสารเลวนี้ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมนังนั่นถึงได้จัดการครอบครัวนางเสียเอง?

ถ้านังนั่นฟ้องร้องจนชนะคดี ครอบครัวของนางจะต้องติดคุกหรือไม่ แล้วลูกชายกับลูกสาวนางล่ะ?

เมื่อหลินม่ายกลับไปถึงบ้าน ฟางจั๋วเยวี่ยผู้ไม่คิดอะไรมากก็จากไปแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เก็บปัญหาของเธอมาใส่ใจ

แต่เมื่อสองผู้เฒ่าฟางเห็นเห็นเธอ พวกเขาก็รีบเข้าไปถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจัดการอย่างไรบ้าง หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง

สองผู้เฒ่ารู้สึกโล่งใจและสนับสนุนให้เธอฟ้องร้องพวกสัตว์เดรัจฉานจากบ้านตระกูลอู๋ ส่งพวกเขาเข้าคุก ให้คุกสอนพวกเขาถึงวิธีการปฏิบัติตน

หลินม่ายพยักหน้า “ศาลจะเปิดอีกทีตอนวันที่เจ็ดค่ะ เอาไว้วันที่เจ็ดฉันจะไปยื่นฟ้องที่ศาล”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดขึ้นว่า “คุณปู่คุณย่าคะ ฉันจะกลับไปบ้านแม่สักพักนะคะ”

คุณย่าฟางถามด้วยความประหลาดใจ “เธอทะเลาะกับแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงจะกลับไปล่ะ? ไม่กลัวว่าพ่อแม่เธอจะร่วมมือกันจัดการเธอหรือไง?”

“ฉันกลัวว่าพวกเขาจะคิดว่าผิดเป็นถูกน่ะค่ะ เหมือนอย่างบ้านตระกูลอู๋ พวกเขายืนกรานว่าฉันมีส่วนรู้เห็นในคดีฉ้อโกงงานแต่งงาน มันจะส่งผลต่อการรวบรวมหลักฐานของตำรวจ เพราะงั้นฉันจะต้องกลับไปจัดการด้วยตัวเอง”

คุณย่าฟางพยักหน้า “แต่อย่าพาโต้วโต้วไปด้วยเลย ฉันกลัวว่าพวกแม่เธอจะไม่อยากเห็นหลาน”

หลินม่ายไม่ได้คิดจะพาโต้วโต้วกลับไปด้วย

เธอนั่งยอง ๆ และบอกโต้วโต้วว่าวันนี้เธอจะต้องออกไปทำธุระ ให้ลูกอยู่บ้านกับคุณปู่คุณย่าไปก่อน

แม้ว่าโต้วโต้วจะตัวติดกับเธอตลอด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพวกผู้ใหญ่ หล่อนก็เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญ

หล่อนจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พูดเสียงออดอ้อน “แม่ออกไปทำธุระข้างนอกเลยค่ะ หนูจะอยู่รอที่บ้านคุณย่า”

หลินม่ายลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหล่อนด้วยความเอ็นดู

คุณย่าฟางหยิบซาลาเปาวุ้นเส้นและไข่เค็มเป็ดที่หลินม่ายอุ่นไว้ในหม้อออกมาจากห้องครัว และยื่นให้เธอบนท้องถนน

จนกระทั่งตอนนี้เธอยังไม่ได้กินข้าวเช้า

หลินม่ายหยิบซาลาเปาวุ้นเส้นอุ่น ๆ สองลูกกับไข่เค็มเป็ดหนึ่งฟองขึ้นวางไว้บนโต๊ะอาหาร และห่อซาลาเปาที่เหลืออีกสามลูกกับไข่เค็มเป็ดอีกหนึ่งฟองใส่ไว้ในผ้าเพื่อนำไปเป็นอาหารกลางวัน

เธอรู้ดีว่าถึงแม้เธอจะกลับไปอวยพรปีใหม่ให้พวกซุนกุ้ยเซียง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะไม่แบ่งอาหารให้เธออยู่ดี และเกรงว่าพวกนั้นจะบีบคอเธอจนตายทันทีที่เห็นเธอ ดังนั้นเธอจึงห่ออาหารกลางวันไปกิน

หลินม่ายถือซาลาเปาไว้ในมือข้างหนึ่ง และกินมันจนหมดก่อนที่จะเดินไปถึงร้านค้าสหกรณ์

เธอใช้ตั๋วขนมที่คุณย่าฟางให้ก่อนจะออกมา ซื้อน้ำตาลทรายแดงสองกระปุกด้วยเงินหนึ่งหยวน ก่อนจะพบเข้ากับพี่สะใภ้ร่างท้วมที่เดินทางเข้าเมืองมาพร้อมกับรถจักรยาน อีกฝ่ายจึงขับรถไปส่งเธอถึงสี่ชั่วโมง

สี่ชั่วโมงบนรถจะพาเธอไปถึงตีนเขาที่เป็นสถานที่ตั้งหมู่บ้านสกุลหวัง เธอจะต้องข้ามภูเขาไปอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง

เมืองซื่อเหม่ยอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านสกุลหวังมากกว่าหมู่บ้านสกุลอู๋ หากเดินด้วยลำแข้งสองขาอย่างเชื่องช้า เพียงแค่ครึ่งทางก็แทบหมดแรงแล้ว

วันนี้พี่สะใภ้ร่างท้วมมีประจำเดือน เดิมทีหล่อนคิดว่าการขับรถรับส่งเป็นเวลาสี่ชั่วโมงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงหล่อนก็ไม่สามารถขับรถรับส่งต่อได้อีก จึงต้องการจะคืนเงินให้หลินม่ายห้าเหมา ทว่าหลินม่ายกลับปฏิเสธ

แม้ว่าหล่อนจะขับรถไปได้เพียงสองชั่วโมง แต่การขับรถก็ยังเร็วกว่าการเดินด้วยขามาก และถือว่าเดินทางมาแล้วสองในห้า

เธอจึงต้องควักเงินอีกหนึ่งหยวนออกมาจ้างหญิงสาวที่จะขับรถพาเธอไปอีกสองชั่วโมง

หลังจากเดินดูหลายหมู่บ้าน เธอก็พบกับครอบครัวที่มีรถ ทว่านายหญิงของบ้านไม่สามารถขับรถได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถขับรถได้

หลินม่ายเห็นว่าเจ้าของบ้านผู้ชายซื่อตรงและสุจริต เธอจึงขอให้เขาไปส่ง

สุดท้ายพละกำลังของผู้ชายก็มีมากกว่าอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะต้องกลับมาบนเส้นทางขรุขระบนภูเขา แต่เพียงระยะเวลาแค่สองชั่วโมงเขากลับมาส่งเธอได้ไกลกว่าพี่สะใภ้

หลินม่ายจ่ายเงิน พูดขอบคุณก่อนจะจากไป

เธอยกมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว เธอจึงหยิบอาหารที่ห่อไว้ขึ้นมากินระหว่างเดินทาง

หลังจากเดินทางมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้านสกุลหวังตอนบ่ายสามโมงตรง

ชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลหวังแปลกใจที่เห็นเธอ

หลายคนมารวมตัวกันและถามเธอว่า “ม่ายจื่อ ทำไมวันที่สองถึงไม่กลับมาบ้านแม่พร้อมกับสามีล่ะ แล้ววันนี้ถึงกลับมาคนเดียว?”

หลินม่ายงุนงง

สถานการณ์แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เธอย้ายออกจากบ้านสกุลหลินแล้ว และดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านจะไม่รู้

เป็นไปได้ไหมว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนปิดบังบ้านสกุลหลิน? เขาปิดบังไว้ได้อย่างไร?

สมุดทะเบียนบ้านของบ้านสกุลหลินอยู่ในมือเขา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เอามาคืน บ้านสกุลหลินจะต้องถามหามันจากเขา และความน่าจะแตกตั้งแต่ตอนนั้น

นอกจากนี้ไม่มีชาวบ้านคนไหนถามไถ่เธอเกี่ยวกับข่าวการถูกไล่ออกของหลินเพ่ย เป็นไปได้ไหมว่าจดหมายร้องเรียนที่เธอเขียนถึงกระทรวงศึกษาธิการจะยังไม่ได้ดำเนินการ?

หลังจากที่คุยกับชาวบ้านพอเป็นพิธี หลินม่ายก็เดินเข้าไปในรั้วบ้านของซุนกุ้ยเซียงพร้อมกับเครื่องหมายคำถามเต็มหัว

ต้าโก่วกับเอ้อโก่วหน้ามุ่ยขณะมองดูเด็กที่ตัวโตกว่าสองสามคนเล่นดีดลูกแก้ว

ต้าโก่วต้องการสัมผัสลูกแก้วสีใส ทว่าเขากลับถูกเจ้าของลูกแก้วผลักลงไปที่พื้น และพูดด้วยถ้อยคำรุนแรง “อย่ามาจับนะ!”

เด็กบนภูเขาค่อนข้างน่าสงสาร ลูกแก้วเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ยอมให้เด็กคนอื่นแตะต้องมัน เพราะกลัวว่าเด็กคนอื่นจะแอบขโมยเอาไป

ต้าโก่วลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเสียใจ

หลินม่ายเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ต้าโก่วมานี่มา น้าจะเอาเงินให้หลานไปซื้อลูกแก้วเอง อย่าไปอิจฉาคนอื่นเลย”

เมื่อต้าโก่วได้ยินเช่นนั้น เขาก็ดีใจมากและรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ เอ้อโก่วก็ตามมาด้วยเช่นกัน

หลินม่ายหยิบเงินห้าเฟินออกมาจากกระเป๋าและพูดกับต้าโก่วว่า “ไหนลองเรียกว่าคุณน้าสิจ๊ะ ถ้าไม่เรียกว่าคุณน้า น้าจะไม่ให้เงินนะ”

ต้าโก่วจ้องไปที่เงินจำนวนห้าเฟินด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป เอ้อโก่วกลับโพล่งออกมาก่อน “คุณน้า คุณน้าฮะ ผมก็อยากได้เงินเหมือนกัน!”

หลินม่ายยิ้มและส่งเงินห้าเฟินให้เขา

เอ้อโก่ววิ่งไปที่ลานกว้างพร้อมกับเงินห้าเฟินอย่างมีความสุข “แม่ฮะ แม่ฮะ คุณน้ากลับมาแล้ว น้าให้เงินห้าเฟินผมไปซื้อลูกแก้วด้วย!”

ต้าโก่วกระวนกระวาย กระโดดโลดเต้นและรีบพูดออกว่า “คุณน้า คุณน้า ผมก็อยากได้เงิน!”

หลินม่ายมอบเงินห้าเฟินให้แก่เขา และเขาก็รับเงินกลับบ้านไปพร้อมป่าวประกาศข่าวดี

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

คิดจะมารีดไถเงินเขา กลับกลายเป็นจับไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสาร

เดินทางลำบากมากเลยนะเนี่ย กว่าจะไปถึงก็หมดวันพอดี

ไหหม่า(海馬)