หลังจากทั้งสองไหว้หลุมศพเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้ากลับเรือน
พวกเขาหมดแรงไปกับการเก็บกวาดบริเวณหลุมศพ เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยเปื้อน
กู้เจียวรู้ว่าลิ่วหลังเป็นคนรักสะอาด ระหว่างทางกลับช่วงที่ผ่านริมแม่น้ำ นางจึงเอ่ยกับเขาว่า “รีบไปล้างมือสิ”
“อืม” เซียวลิ่วหลังขานตอบ แล้วค่อยๆ เดินโดยใช้ไม้เท้าไปยังริมน้ำ
กู้เจียวสังเกตท่าทางการเดินของเขา แม้การผ่าตัดจะสำเร็จด้วยดี และร่างกายของเขาฟื้นฟูขึ้นเยอะมาก
แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งไม้เท้า
หรือว่าที่ผ่านมาทำกายภาพเบาเกินอย่างนั้นรึ
กู้เจียวลูบคางพลางครุ่นคิด
“ไม่ล้างเหรอ” เซียวลิ่วหลังหันมาถามนาง
กู้เจียวรีบเออออ “ล้างสิ! ล้างด้วยกันนี่แหละ!”
ก็แค่ล้างมือเอง เหตุใดต้องตื่นเต้นด้วย ไม่ได้อาบน้ำด้วยกันสักหน่อย จริงไหม
พอถามจบ จู่ๆ เขาพลันนึกขึ้นได้ว่ากู้เจียวเคยตกลงไปในแม่น้ำสายนี้ หรือนางเกิดกลัวจึงไม่กล้าเข้ามา
เขาเอ่ยโทษตัวเองที่ไปชวนนางเช่นนั้น เลยว่าจะรีบล้างแล้วรีบขึ้นไปหานาง แต่ปรากฏว่า กู้เจียวกำลังย่อตัวล้างมืออยู่ด้านข้างนี่แล้ว
น้ำในแม่น้ำเย็นมาก แต่ใช่ว่าถึงขั้นทนไม่ได้
ขณะที่ทั้งสองล้างมือเสร็จกำลังลุกขึ้นยืน จู่ๆ มีอะไรบางอย่างหล่นออกมาจากอ้อมอกของนาง
แล้วตกลงไปในแม่น้ำ
“กระเป๋าของข้า!” กู้เจียวนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น รีบพุ่งตัวออกไปคว้าแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ในกระเป๋านั่นมีเงินจำนวนไม่น้อย ดูเหมือนจะหนักอยู่เหมือนกัน ทำให้กระเป๋านั้นจมลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
กู้เจียวกระโดดลงไปในแม่น้ำในทันใด
เซียวลิ่วหลังสีหน้าตื่นตะลึง
รู้ตัวอีกทีนางก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“กู้เจียว!”
กระเป๋าของกู้เจียวค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ “หาเจอแล้ว…ข้าเจอแล้ว…”
เซียวลิ่วหลังรีบดึงนางขึ้นมาบนฝั่ง
กู้เจียวพาร่างอันเปียกปอนนั่งลงบนพื้นหญ้า หายใจหอบแรง
เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้วชำเลืองไปยังกระเป๋าที่นางถืออยู่ “แค่กระเป๋าเงินใบเดียว เจ้าถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตตนเองเลยหรือ”
“ไม่ใช่เพราะเงินหรอก” กู้เจียวส่ายหน้า จากนั้นเปิดกระเป๋าและเททุกอย่างในนั้นออกโดยไม่ได้มองดูเงินด้วยซ้ำ นางแค่คว้าถุงที่ทำจากหนังวัวขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ดูเท่านั้น
“เจ้ามีผ้าไหม” นางเอ่ยถามลิ่วหลัง
ลิ่วหลังหยิบผ้าสะอาดยื่นให้นาง
เขานึกว่านางจะใช้ผ้าเช็ดหน้าตัวเอง ที่ไหนได้ นางเอาไปเช็ดกระเป๋าหนังวัวนั่นด้วยความระมัดระวัง
หลังจากเช็ดจนแห้งแล้ว นางจึงค่อยเปิดออก ในนั้นเป็นหนังสือจากทางการที่ดูเหมือนจะยังไม่โดนน้ำซึมเข้าไป ยังคงแห้งสนิทและอยู่ในสภาพดีอยู่
กู้เจียวถอนหายใจโล่งอก
นี่คือเอกสารการสอบระดับอำเภอที่เจ้าสำนักส่งให้เซียวลิ่วหลัง แต่เซียวลิ่วหลังไม่ต้องการเข้าสอบ พอเขาได้กระดาษนั้นมาก็ขยำๆ แล้วโยนทิ้งไป
กู้เจียวดันไปเจอกระดาษนี้เข้าตอนนางเก็บกวาดห้องให้เขา นึกว่าเขาเผลอทำมันหาย ก็เลยแอบเก็บรักษาไว้ให้อย่างดี
กู้เจียวยื่นเอกสารให้เขา “เจ้าเก็บไว้ดีๆ ล่ะ ข้าชุ่มไปทั้งตัว เดี๋ยวเอกสารจะพลอยเปียกไปด้วย”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “นี่ทำเจ้าทำเพื่อ ข้าไม่…”
เขาไม่เข้าสอบอยู่แล้ว
สภาพอากาศแบบนี้ ให้ล้างมือในแม่น้ำยังพอไว้ แต่ให้ลงไปทั้งตัวแบบนั้นคงจะไม่ไหว
ลมที่พัดโชยมาสร้างความหนาวเหน็บไปทั่วกายจนกู้เจียวเริ่มสั่น ดวงตาเริ่มเบิกกว้างขึ้น นางเหยียดมือเล็กๆ ออกไปข้างหน้า หยดน้ำจากบนตัวนางค่อยๆ หยดแหมะลงพื้น แต่เอกสารบ้านี่กลับไม่เป็นอะไรเลยงั้นรึ
เขาคิดจะพูดออกไปว่าเขาไม่เข้าสอบอยู่แล้ว แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนเป็น “อย่างไรเสีย ข้าก็สอบไม่ติดหรอก ทำเพื่ออะไรกัน”
กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรีม “เจ้ายังไม่ลองสอบเลย จะรู้ได้ไงว่าสอบได้หรือไม่ได้ ต่อให้สอบไม่ได้ก็จริง แต่ก็ยังมีครั้งต่อไปอีกไม่ใช่หรือ ครั้งต่อไปสอบไม่ได้อีก ก็มีครั้งต่อๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเจ้าก็สอบได้เองแหละสักวันหนึ่ง!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “แล้วถ้าสอบไม่ได้ไปเรื่อยๆ ล่ะ ล้มเหลวไปเรื่อยๆ …”
“ใครบอกล่ะว่าถ้าสอบไม่ติดแล้วจะล้มเหลวน่ะ ชีวิตคนเรามีทางเลือกตั้งมากมาย ถ้าเจ้าไม่ชอบจริงๆ เจ้าก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้นี่นา” พอเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ๆ กู้เจียวก็โพล่งถามเขา “หรือว่าเจ้า…ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ชอบเรียนหนังสือหรอก ใช่ไหม”
เซียวลิ่วหลังจ้องเข้าไปที่แววตากลมใสราวกับกวางน้อยของนาง ราวกับว่า หากเขาบอกออกไปว่าเขาไม่ชอบเรียนหนังสือ นางจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจ จากนั้นคว้าเอกสารไว้กับตัว
“เจ้าโง่รึเปล่า”
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงเบา
กู้เจียวหันไปหาเขา “ว่าไงนะ เจ้าพูดว่าไง”
“ไม่มีอะไรหรอก” เซียวลิ่วหลังหันหลังให้นาง จากนั้นถอดชุดเครื่องแบบออก แล้วคลุมให้นาง “กลับเรือนกันเถอะ”
…
หลังจากที่กู้เจียวตกแม่น้ำ ก็เป็นไข้ซมไปพักหนึ่ง แม้แต่วันที่เซียวลิ่วหลังเข้าสอบระดับอำเภอ อาการของนางก็ยังไม่ทุเลา แต่ถึงยังไง นางยังคงตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้ทั้งๆ ที่หัวยังมึนอยู่ ซ้ำยังเตรียมสำรับแห้งไว้สำหรับให้ลิ่วหลังเอาไปกินที่สนามสอบอีกด้วยห
การสอบระดับอำเภอมีทั้งหมดห้าครั้ง สอบวันเว้นวัน วันนึงใช้เวลาสอบทั้งวัน จะกินจะถ่ายจะทำอะไรก็ต้องอยู่แต่ในสนามสอบ
ด่านแรกคือด่านที่บังคับทุกคนเข้าสอบ หากผ่านแล้ว จะได้ไปต่อด่านที่สอง หากผ่านทั้งหมดห้าด่าน ก็จะมีสิทธิ์เข้าสอบระดับจังหวัด
หากผ่านระดับจังหวัดไปได้ ก็จะต้องเข้าสอบระดับสถาบัน พอผ่านแล้วก็จะได้เป็นซิ่วไฉแห่งแคว้นเจา
แน่นอนว่าพอได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ก็ต้องมีการแบ่งระดับซิ่วไฉ
กลุ่มผู้สมัครที่มีคะแนนดีที่สุดจะถูกขนานนามว่าหลิ่นเซิง โดยราชการจะแจกข้าวสารอาหารแห้งให้ทุกเดือน ลำดับต่อมาเรียกว่าเจิงเซิง จะไม่มีสวัสดิการด้านอาหาร และสุดท้ายคือฝู่เซิง
กู้ต้าซุ่นสอบได้ระดับหลิ่นเซิง ดังนั้นพวกตระกูลกู้จึงภูมิใจในตัวเขามาก
กู้เจียวไม่ได้คาดหวังให้เขาสอบได้ระดับหลิ่นเซิงแบบกู้ต้าซุ่น ที่จริงถ้าสอบได้ระดับฝู่เซิงก็นับว่าไม่เลว!
นางไม่ได้หวังสูงอยู่แล้ว สอบติดก็ดีไป หากไม่ติดก็ไม่เป็นไป นางเลี้ยงเขาไหว ไม่ต้องให้เขาไปสอบเคอจวี่หรอก
กู้เจียวนั่งบนรถเกวียน ลมหนาวพัดโชยทำเอาร่างเล็กๆ บอบบางที่กำลังเป็นไข้อยู่ถึงกับสั่นระริกจนน้ำมูกไหล นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นหรอก ก็แค่สอบๆ ไปอย่างนั้น ถือว่าไปลองสนามสอบ ข้าหาข้อมูลมาแล้วว่าการสอบครั้งนี้จะต้องสอบถึงห้าครั้ง ครั้งแรกทำได้ไม่ดีก็ไม่เป็นไรหรอก ยังมีสอบอีกสี่ครั้งให้แก้ตัว เดี๋ยวข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทุกวันนะ…ฮัดเช้ย! ฮัดเช้ย! ฮัดเช้ย!”
กู้เจียวเอ่ยจบถึงกับจามติดการสามหน จามจนหน้ามืดตาลายเห็นดาวเต็มไปหมด
เซียวลิ่วหลังชำเลืองนางอยู่พักนึง แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร
พอเข้าไปในห้องสอบ ผู้คุมสอบแจกกระดาษข้อสอบให้ผู้เข้าสอบทุกคน
ที่เขาต้องมานั่งอยู่ที่นี่ เพราะใครก็ไม่รู้เสี่ยงชีวิตเพื่อเอกสารที่เขาโยนทิ้งไป
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ครั้งนี้เขาจะตั้งใจทำข้อสอบ
เขาตั้งใจจะส่งคำตอบว่าง
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามดังขึ้นจากห้องสอบข้างๆ
ในหัวของเซียวลิ่วหลังเอาแต่ฉายภาพนางที่กำลังไอจามตัวสั่นอยู่บนรถเกวียน ใบหน้าเรียวเล็กนั่นเปลี่ยนเป็นสีแดงไปทั้งหน้า สายตาก็ดูล่องลอย แต่นางกลับยืนกรานว่าจะไม่กลับเรือน
พอนึกถึงนางที่ร่างกายป่วยออดแอด ต้องมานั่งรอเขาทั้งวันบนรถเกวียน เซียวลิ่วหลังก็พลันยกพู่กันขึ้นอย่างหงุดหงิด!
พอสอบด่านแรกจบ เขาก็ไม่สอบด่านที่สองต่อแล้ว
เรื่องราวทั้งหมดลอยมาถึงหูกู้ต้าซุ่นจนได้
ปกติแล้ว คนที่เข้าสอบแค่วิชาเดียว มีอยู่สองเงื่อนไขเท่านั้น หนึ่งคือสอบได้คะแนนดีมาก จนได้ไปต่อในระดับจังหวัด สองคือสอบได้แย่มากจนต้องรีบถอนตัวก่อน
เงื่อนไขแรกก็เคยมีเกิดขึ้นบ้าง แต่มีน้อย ต่อให้ด่านแรกจะทำคะแนนออกมาดีอย่างไร แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าอีกสี่ด่านที่เหลือจะไม่มีใครแซงได้ ยิ่งเซียวลิ่วหลัง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เขาเป็นแค่นักเรียนรองโหล่ของห้อง แม้ว่าเขาจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถเป็นคนแรกได้อยู่ดี