“ได้ยินมาว่าลิ่วหลังไปสอบระดับอำเภอมาหรือ” นายใหญ่กู้เอ่ยถามขึ้นระหวังที่พวกเขากำลังทานมื้อเย็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบัณฑิตเสี่ยวฉินเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าทุกคนไม่ได้คาดหวังว่ากู้เจียวจงใจทำ แต่พวกเขามองว่ากู้เจียวเป็นเด็กอับโชค แล้วเซียวลิ่วหลังผู้เป็นสามีนางก็น่าจะพลอยอับโชคไปด้วยเหมือนกัน
พอมาครั้งนี้ เขาได้ยินชื่อของเซียวลิ่วหลัง เหล่าสะใภ้ภรรยาทั้งหลายต่างก็เริ่มเป็นกังวล นายใหญ่เป็นคนเอ่ยถาม พวกนางจึงไม่กล้าพูดเยอะ ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเดียว
“อือ เขาสอบแค่ด่านเดียว” กู้ต้าซุ่นเอ่ยตอบ
กู้ฉังไห่สงสัย “ทำไมถึงสอบแค่ด่านเดียวล่ะ มันมีทั้งหมดห้าด่านไม่ใช่รึ”
กู้ต้าซุ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “คงสอบได้ไม่ดีมั้ง ถ้าด่านแรกสอบไม่ผ่าน ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าสอบด่านต่อๆ ไป”
กู้ฉังไห่ถามต่อ “แล้วอย่างนี้ได้ค่าสอบคืนไหม”
กู้ต้าซุ่นตอบ “ไม่ได้คืนนะสิ”
กู้ฉังไห่คีบอาหารพลางเอ่ย “ชิ เงินตั้งสองตำลึงนะนั่น! ทิ้งลงส้วมอย่างน้อยมันยังลอยขึ้นมาได้”
นายใหญ่กู้ถลึงตาใส่จนกู้ฉังไห่ตัวหด แล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ
นอกจากกู้ต้าซุ่นแล้ว ดูเหมือนคนอื่นๆ จะเริ่มอิ่มกันแล้ว
แน่นอนว่ากู้ต้าซุ่นรู้เรื่องที่เจ้าสำนักส่งชื่อเซียวลิ่วหลังเข้าสอบระดับอำเภอ หึ เด็กเก่งๆ ตั้งเยอะไม่ส่ง
ดันเลือกหมาหัวเน่าอย่างเซียวลิ่วหลังไปสอบ เป็นอย่างไรเล่า สุดท้ายก็สิ้นเปลืองอยู่ดี
กู้ต้าซุ่นรู้สึกตัวเองเป็นผู้ชนะ
สิบวันต่อมา คะแนนสอบก็ได้ปรากฏ
กู้ต้าซุ่นที่กำลังรอหัวเราะเยาะเย้ยให้แก่ความพ่ายแพ้ของเซียวลิ่วหลังอยู่นั้น ดันเหลือบไปเห็นตัวอักษรตัวใหญ่สีแดงสดบนป้ายประกาศเกียรติคุณของสำนักบัณฑิต – แสดงความยินดีกับนักเรียนเซียวลิ่วหลัง! ผู้ผ่านการสอบระดับอำเภอ
ความรู้สึกของกู้ต้าซุ่นตอนนี้ ราวกับสายฟ้าผ่าลงมากลางกบาลของเขาในช่วงกลางวันแสกๆ !
ที่จริงผลไม่น่าจะออกมาเร็วขนาดนี้ แต่เป็นเพราะเจ้าสำนักใจร้อนเลยไปถามด้วยตนเอง พอทราบผลแล้ว
ก็ไม่รอช้า ชิงทำป้ายแสดงความยินดีแล้วมาแขวนไว้ที่สำนักบัณฑิตในทันควัน
มิหนำซ้ำยังแขวนไว้ตรงจุดที่เด่นสุดของสำนักเสียด้วย เพื่อรับประกันว่าใครที่เดินผ่านไปมาจะต้องได้เห็นมันอย่างแน่นอน!
เจ้าสำนักยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ใต้ป้ายคนเดียวราวกับคนสติฟั่นเฟือน
คนที่พอรู้เรื่องก็จะมองว่าลูกศิษย์ของเขาสอบได้ ส่วนคนอื่นที่ไม่ได้มารู้เรื่องด้วยอาจคิดว่าลูกชายของเจ้าสำนักสอบได้ ถึงได้แสดงความยินดีใหญ่โตอลังการเช่นนี้
เจ้าสำนักเรียกตัวเซียวลิ่วหลังไปพบ พลางเอ่ยชม “…ที่ข้าลงแรงลงใจไปนั้น ไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ”
เซียวลิ่วหลังคิดในใจ ข้าทำให้ท่านซึ้งใจมากเลยสินะ!
พลางมองเจ้าสำนักด้วยสีหน้าราบเรียบตามเคย “ข้าแค่เบื่อที่ต้องสอบหลายๆ รอบน่ะ”
เจ้าสำนักเอ่ยอย่างโล่งอกโล่งใจ “อ้อ งั้นเจ้าก็ส่งกระดาษเปล่าไปสิ!”
เจ้าสำนักครุ่นคิดในใจ ในเมื่อเจ้าจะยื่นกระดาษเปล่าให้ก็ได้ถ้าเจ้าไม่อยากทำข้อสอบต่อ ยอมรับเถอะ
ลิ่วหลัง ที่เจ้าทำไปนั้นเป็นเพราะเจ้าเห็นใจตน!เป็นเพราะเจ้าไม่อยากให้ตนผิดหวังใช่ไหมล่ะ!
เซียวลิ่วหลังขี้เกียจจะเสวนาต่อ พลันเดินหันหลังออกไป
ข่าวนี้ยังมาไม่ถึงหมู่บ้าน กู้เจียวเลยพลอยไม่รู้ไปด้วย
นางเอาแต่นอนรักษาไข้อยู่ในเรือนจนอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว นางเตรียมข้าวของ ว่าจะแวะไปที่วัดเสียหน่อย
ก่อนกู้เจียวจะออกเดินทาง หญิงชราก็เอ่ยทักขึ้น พลางเอ่ย “ขนมครั้งก่อนที่เจ้าเอามารสชาติใช้ได้เลยล่ะ ครั้งนี้เอามาเพิ่มอีกสิ”
กู้เจียวนึกอยู่สักพัก ก็ร้องอ๋อว่าขนมที่หญิงชราพูดถึงนั้นคือครั้งที่นางกลับมาจากไปเยี่ยมที่วัดครั้งแรก
เป็นขนมที่ฮูหยินคนนั้นมอบให้นาง “นั่นไม่ใช่ขนมของวัดหรอก เป็นขนมของแขกที่วัดน่ะ ข้าไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้เจอนางอีกไหม”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่กู้เจียวก็อดคิดไม่ได้ว่าโอกาสที่จะได้เจอนางอีก มีค่อนข้างสูงเลยล่ะ เพราะที่ไปมาสองครั้ง ก็เจอนางทั้งสองครั้งเลย
กู้เจียวนำดอกไม้ป่าใส่ตะกร้า วางแผนว่าจะเอาไปแลกกับขนมเป็นสินน้ำใจเล็กๆ
ตลอดทางขึ้นเขามาที่วัด กู้เจียวไม่เห็นแม้แต่เงาของฮูหยินคนดีคนเดิม จะเห็นก็แต่เหล่าเณรน้อยหัวกลมทั้งหลาย
พวกเขาทำการบ้านเสร็จแล้วจึงออกมาวิ่งเล่นได้ จู่ๆ มีเณรน้อยรูปหนึ่งที่หน้าเหมือนผลหล่อฮังก๊วยกำลังปีนขึ้นมาที่ประตู ทำท่าเหมือนกำลังเฝ้ามองใครสักคน
พอกู้เจียวเดินมาถึงยอดเขา เหล่าเณรน้อยก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที!
“นางมาแล้ว! นางมาแล้ว!”
“นางสะพายตะกร้ามาด้วย!”
“นางมาแล้ว! นางมาแล้ว!”
“นางเอาตอกไม้ (ดอกไม้) มาด้วยล่ะ”
“รีบซ่อนแอบเร็วเข้า!”
เณรน้อยกรูกันวิ่งถอยหลังจนชนกันไปชนกันมากระจัดกระจายราวกับกำลังมองฟักเขียวกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น
กู้เจียวมองไปยังเบื้องหน้า เณรน้อยหลายรูปจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้านางเยอะแยะยั้วเยี้ยไปหมด
นี่มันอะไรกันนี่
วันรวมพลเณรน้อยหรืออย่างไร
“จิ้งฝาน! จิ้งซิน! จิ้งซ่าน! ไปไหนกันหมดนะ”
เหล่าเณรน้อยหกล้มกลิ้งเกลือกอยู่อย่างนั้น นี่พวกเขาไม่อายกันบ้างรึ แถมยังถูกศิษย์พี่ขานเรียกชื่ออีก!
เณรน้อยลุกขึ้นแล้วพยายามจะวิ่งหนี
กู้เจียวเอ่ยทักพวกเขา “เมื่อครู่นี้ พวกท่านทำอะไรกันน่ะ”
เณรน้อยสองสามคนหยุดฝีก้าวแล้วหันมาตอบนาง
เณรน้อยคนแรกตอบว่า “พวกเราไม่ได้มองโยมนะ!”
เณรน้อยคนที่สองตอบว่า “ใช่แล้ว ไม่ได้มองโยมซักกะหน่อย!”
ส่วนเณรน้อยคนที่สามเอาแต่พยักหน้า
กู้เจียวเลิกคิ้วหลิ่วตาพลางเอ่ยถาม “มองข้าทำไมรึ”
พวกเขาตอบพร้อมกัน “ก็โยมน่ามองนี่นา!”
“…”
เณรน้อยชี้ไปที่รอยปานแดงบนหน้าของนาง “หมายถึงตอกไม้ (ดอกไม้) บนหน้าของโยมไงล่ะ!”
ตลกสิ้นดี พวกเด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะมองว่าตนเป็นคนขี้เหร่ พอเห็นก็รังแกหรือไม่ก็หลบเลี่ยง แต่พอเป็นเณรน้อยเหล่านี้ที่อยู่แต่บนเขากลับมองว่าปานของตนดูสวยงามเสียอย่างนั้น
กู้เจียวรู้สึกถูกใจกับความน่ารักไร้เดียงสาของเหล่าเณรน้อย เลยยื่นลูกอมให้พวกเขา
“พวกเรามิอาจรับของจากอุบาสิกาได้” เณรน้อยปฏิเสธ
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่สักพัก พลางเอ่ย “พวกท่านสวดอาราธนาศีลได้ใช่ไหม ถ้าสวดได้ข้าก็สามารถถวายลูกอมเหล่านี้ให้ได้”
เณรน้อยครุ่นคิดอยู่สักพัก ที่นางพูดมาก็มีเหตุผล! เลยรีบไปคว้าหนังสือสวดมนต์และบาตรพระจากในห้องมาแล้วทำการสวด จากนั้นกู้เจียวก็ถวายลูกอมให้พวกเขา
เณรน้อยแบกบาตรพระจากนั้นขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์แล้วนั่งกินลูกอมด้วยความเพลิดเพลิน
กู้เจียวลองนับหัวเณรน้อยดูว่ามีกี่คน พลางถาม “เอ๋ ปกติพวกท่านมีกันสี่รูปไม่ใช่รึ ทำไมเหลือแค่สามล่ะ”
เณรน้อยเอ่ยขึ้ย “โยมหมายถึงเณรจิ้งคงสินะ เขากำลังจะย้ายไปอยู่ข้างล่างแล้ว!”
เณรน้อยซุ่มซ่ามรูปนั้นชื่อว่าจิ้งคงนี่เอง
กู้เจียวพอทราบเรื่องราวจากที่เณรน้อยเล่ามาให้ฟังแล้วว่าเณรจิ้งคงถูกคนใจบุญรับอุปถัมภ์ไปแล้ว ครอบครัวนั้นแต่งงานกันมาแล้วสิบปี แต่ไม่มีบุตร เลยรับเณรจิ้งคงไปดูแลเป็นลูกบุญธรรมของพวกเขา
“คงเศร้าน่าดูสินะที่ต้องจากที่นี่ไป” กู้เจียวเอ่ยถาม
เณรน้อยทั้งสามส่ายหัวพร้อมกัน
เณรน้อยคนแรกดูกระตือรือร้นมากกว่าใคร ดูแล้วน่าจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม เขาเอ่ยกับกู้เจียวว่า “อย่างเขาน่ะไม่เศร้าหรอก เขาอยากจะไปจากที่นี่ตั้งนานแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“เขาบอกว่า ถ้าออกจากที่นี่ไป ก็สามารถกินเนื้อสัตว์ได้นะสิ!”
“…”
มีเณรน้อยแหวกแนวหลงเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยหรือเนี่ย
กู้เจียวเอ่ยถามต่อ “แล้วพวกท่านเศร้าใจไหม”
เณรทั้งสามส่ายหัวพร้อมกันอีกครั้ง
เณรน้อยคนแรกอธิบายต่อ “ที่จริงแล้ว ต่อให้เขาออกไปจากที่นี่แล้ว เขาก็กินเนื้อไม่ได้อยู่ดี เขาเหม็นกลิ่นเนื้อจะตาย! แต่ตัวเขาเองไม่รู้ตัว!”
บนโลกนี้มีคนมึนกลิ่นเนื้อด้วยหรือเนี่ย อย่ามาหลอกซะให้ยากเลยน่า!
กู้เจียวถามต่อ “แล้วพวกท่าน ไม่คิดจะบอกเขาหน่อยหรือ”
เณรน้อยเอ่ยตอบ “ถ้าบอกเขา เกรงว่าจะไม่ยอมออกไปนะสิ!”
กู้เจียวนิ่งไปสักพัก แล้วเอ่ยต่อ“พวกท่านคิดแทนเขาได้อย่างรอบคอบจริงๆ ”มีครอบครัวดีๆ รับไปเลี้ยงดูได้ นับว่าน่ายินดียิ่งนัก
เณรน้อยบ่นต่อ “ใครใช้ให้เขากินเยอะขนาดนั้น เยอะขนาดที่ว่าแย่งข้าวของพวกเรากินจนหมดเลยล่ะ!”
“…”
นี่เณรหรืออะไรกันเนี่ย
แต่ท้ายที่สุด ครอบครัวนั้นก็ไม่ได้มารับเณรน้อยจิ้งคงไปเลี้ยง เจ้าอาวาสเลยให้คนไปสืบเรื่องถึงได้รู้ว่า
ฮูหยินเกิดท้องลูกขึ้นมาเสียก่อน เพิ่งรู้ผลตรวจเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง
แถมหมอยังบอกอีกว่านางจะได้ลูกชาย
ตอนที่กู้เจียวไปยังห้องทำวัตรก็เห็นเณรน้อยจิ้งคงกำลังนั่งอยู่บนโขดหินหน้าประตู มีกระเป๋าใบใหม่วางอยู่ด้านข้าง เณรน้อยนั่งก้มหน้าอย่างเหงาหงอย
เห็นได้ชัดว่า เขารู้เรื่องแล้วว่าครอบครัวบุญธรรมจะไม่มารับเขาแล้ว
กู้เจียวครุ่นคิดสักพัก ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเณรน้อย พลางเอ่ยถาม “ให้ข้านั่งด้วยได้ไหม”
เณรน้อยไม่ตอบ แต่ขยับกระเป๋าไปอีกข้าง
กู้เจียวเลยเข้าไปนั่งข้างๆ เขา
ในฐานะที่กู้เจียวเป็นคนชอบดูของน่ารักๆ สวยงามอยู่แล้ว นางมองว่าเหล่าเณรตัวน้อยในวัดแต่ละคนนั้นหน้าตาน่ารักกันจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเณรน้อยที่อยู่ด้านข้างรูปนี้ ทั้งหัวกลมเล็กเหมือนลูกชิ้น ตาโต และขนตายาวสวย ดูแล้วสบายตาน่ามองยิ่งนัก
“กำลังเสียใจอยู่รึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ว่าไงนะ” จิ้งคงน้อยหันไปหากู้เจียว สักพักพอรู้ว่ากู้เจียวถามอะไรมา ก็ทำหน้าเบ้ใส่ “อาตมาไม่ได้เสียใจสักหน่อย!”
น้ำเสียงเขาสะอื้นเล็กน้อย
กู้เจียวเลิกคิ้วแล้วถามต่อ “ถ้าเช่นนั้น ก็แปลว่า เจ้าไม่อยากออกจากที่นี่อย่างนั้นสิ”
เณรน้อยเอามือกอดอก เบือนหน้าหนี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะนงตน “ก็ใช่นะสิ ข้างล่างนั่นมีอะไรดีงั้นรึ
ได้ยินมาว่าจะต้องกินเนื้อ! อาตมาไม่อยากผิดศีลสักหน่อย!”
เอ๋ ไม่เห็นเหมือนที่เพื่อนเณรของท่านว่าไว้เลยนี่นา
กู้เจียวหยอกล้อเณรน้อยต่อ “ไม่อยากออกไปจริงๆ รึ”
จิ้งคงน้อยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “แน่นอนว่าไม่อยาก! ชีวิตนี้ อาตมาไม่อยากออกไปจากที่นี่! อาตมาจะเป็นพระไปตลอดชีพ! จะเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้!”
กู้เจียวยกนิ้วโป้งให้เขา พลางเอ่ยชมในใจ อืม เป็นคนมีเป้าหมายดีแฮะ
กู้เจียวหรี่ตาใส่เขา จากนั้นเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้าหนักแน่นขนาดนี้ งั้นก็ไม่เป็นไร ข้าว่าจะเจรจากับ
ท่านเจ้าอาวาสเสียหน่อยว่าจะพาเจ้าไปพักที่ข้างล่างสักวันสองวัน”
เณรน้อยเท้าเอวพลางเอ่ย “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ลงไป! โดยเฉพาะกับโยม! ไม่เชื่อลองถามอีกครั้งดูสิ!”
กู้เจียวนิ่งอึ้งไปสักพัก จากนั้นเอ่ยถามเณรน้อยอีกครั้ง “ท่านจะลงไปข้างล่างกับข้าไหม”
เณรน้อยเอ่ยตอบอย่างมั่นใจพลางคว้ากระเป๋าที่อยู่ด้านข้าง “ไปสิ!”
“…!!”