บทที่ 53 จักรพรรดิคีย์บอร์ด (ต้น)
“อา บังเอิญว่ามือของเจ้านุ่มจนทำให้ข้ารู้สึกสบายจนลืมตัว ขออภัย ๆ” ซูอันตอบอย่างเขินอายก่อนที่จะรีบปล่อยมืออวี้เหยียนลั่วและเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่เมื่อครู่พวกเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ? อ้อใช่ ข้าไม่ใช่คนประเภทที่จะทิ้งชื่อของข้าไว้หลังจาก
ทำความดี…แต่ดู ๆ ไปแล้วเจ้าก็น่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรและน่าจะไว้ใจได้ดังนั้นข้าจะยอมบอกชื่อของข้า
ก็ได้ แต่! เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยชื่อจริงของข้าให้กับคนอื่น ๆ รวมไปถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าด้วย”
ดวงตาของอวี้เหยียนลั่วเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะถามกลับ “เจ้าไม่ไว้ใจคนของข้า
งั้นเหรอ?”
“ข้าจะไม่พูดว่าข้าสงสัยพวกเขา แต่มันจะเป็นการปลอดภัยกว่าหากพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ซูอันตอบกลับ “อันที่จริงข้ามีเรื่องสงสัยข้าได้ยินจาก เสี่ยวซีว่าตระกูลอวี้เป็นตระกูลยักษ์ใหญ่ที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันทั่ว
ไปหมด แต่ทำไมคนคุ้มกันของเจ้าถึงได้อ่อนแอขนาดนั้นกัน?”
ไม่ใช่ว่าซูอันมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ผู้หญิงที่สวยอย่างอวี้เหยียนลั่วเวลาไปไหนมาไหนย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้ชายแทบทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่มีทางเลยที่นางจะอยู่รอดปลอดภัยโดยมีแค่ผู้คุ้มกันที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับสามระดับสี่แบบนี้
อวี้เหยียนลั่วยิ้มและตอบกลับว่า “คนคุ้มกันคนอื่น ๆ ของตระกูลถูกมอบหมายให้ไปทำงานอื่นจนหมด ดังนั้นข้าจึงเหลือแค่พวกเขา”
ซูอันแสดงสีหน้าปกติราวกับคาดเอาไว้แล้วว่าคำตอบมันต้องออกมาในลักษณะนี้ “เจ้ากำลังจะบอกว่ากลุ่มค่ายเมฆาทมิฬซุ่มทำร้ายเจ้าในขณะที่คนคุ้มกันชุดนี้ของเจ้าคือชุดที่อ่อนแอที่สุดเท่าที่เคยมีมา? ข้าจะ
ไม่พูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปงั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่คนคุ้มกันชุดนี้จะไม่มีใครเป็นหนอนเพราะชะตากรรมของพวกเขา
ทุกคนต่างถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าให้ตายทั้งหมดแน่นอนหากซูอันไม่ปรากฏตัวออกมา แต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยง ท้ายที่สุด การเพิ่มบุคคลที่รู้จักตัวตนของเขาย่อมหมายถึงโอกาสเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมา
อวี้เหยียนลั่วหัวเราะเบา ๆ แทนคำตอบ “เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ เจ้าคงไม่ใช่แค่คนธรรมดาแน่ ๆ จริงไหม?”
ซูอันเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน เจ้าไม่เห็นข้าเอาชนะไอ้โจรพวกนั้นด้วยการดีดนิ้วเพียง
ครั้งเดียวของข้างั้นเหรอ? ข้า ซูอันเป็นเหมือนเทพที่จ้องมองโลกจากมุมองเบื้องบน ไม่มีท้องฟ้าใดอยู่สูงกว่าข้า ข้างนอกนั่นมีจอมยุทธคีย์บอร์ดมากมายนับล้าน แต่ทุกคนต่างต้องก็มหัวให้ข้า ในฐานะจักรพรรดิคีย์บอร์ด
ข้ากล้าพูดได้เลยว่าไม่มีใครในสามโลกที่เทียบกับข้าได้ ข้าคือผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง!”
อวี้เหยียนหลัว: “…”
จอมยุทธ์คีย์บอร์ด? จักรพรรดิคีย์บอร์ด? ไอ้เจ้าหนุ่มนี่มันพูดถึงอะไรกัน? อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจของเขาไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเลยจริง ๆ
“เจ้าชื่อซูอัน?” อวี้เหยียนลั่วถาม “เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน? ข้าจะให้คนของข้าส่งทองไปที่บ้านของเจ้า”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ซูอันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ด้วยความสัตย์จริง ตัวตนของเขาในฐานะลูกเขย
ของตระกูลฉู่นั้นค่อนข้างน่าอาย และเขาก็ไม่ต้องการให้คนในตระกูลฉู่ รู้วีรกรรมของเขาเรื่องนี้เช่นกัน “ทำไม
ไม่บอกที่อยู่ของเจ้าแทน? ข้าจะแวะไปรับเงินเองเมื่อข้าว่าง”
“เช่นนั้นก็ได้” อวี้เหยียนลั่วไม่แปลกใจที่เห็นว่า ซูอันไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยที่อยู่อาศัยของเขา นางหยิบ
จี้หยกออกมาจากเสื้อคลุมของนางแล้วส่งต่อ “รับนี่ไป”
ซูอันหยิบจี้้หยกมาและตรวจสอบมันอย่างละเอียด จี้หยกชิ้นนี้มีสีขาวเหมือนหิมะตัวจี้ถูกแกะสลักเป็นรูปสัตว์อย่างประณีต แม้ว่าเขาจะมองไม่ออกว่ามันสัตว์ชนิดใด แต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากจี้หยกชิ้นนี้ก็คือความอบอุ่นและกลิ่นหอมที่น่าจะมาจากเรือนร่างของอวี้เหยียนลั่วเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาจึงถามโดยไม่รู้ตัวว่า “นี่คือสิ่งของแทนความรักที่เจ้ามีต่อข้างั้นเหรอ?”
อวี้เหยียนลั่วยังคงควบคุมอารมณ์ได้ถึงแม้ว่าซูอันจะพูดจาหยาบคายกับนางแบบนี้ นางกลับยิ้มและพูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อ่อนแอสักเท่าไหร่ แต่การจะเป็นคู่ครองของข้าได้นั้นเจ้าคงต้องไปฝึกเพิ่มมาก่อน
อีกสักอย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะคู่ควรกับการเป็นผู้ชายของข้า จี้หยกนี้เป็นเครื่องหมายของข้า คนของข้าจะรู้ได้ทันทีว่าเจ้าเป็นใครและจะอนุญาตให้เจ้าผ่านมาเจอข้าได้หากเจ้าแสดงมันให้พวกเขาเห็น”
ซูอันซุกจี้หยกไว้ที่หน้าอกของเขาพร้อมกับพูดว่า “ล้างประตูหน้าบ้านของเจ้ารอได้เลย ข้าจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่นอนเพื่อให้เจ้ามาเป็นผู้หญิงของข้า!”
อวี้เหยียนลั่วระเบิดเสียงหัวเราะ ด้วยเหตุผลบางอย่างนางไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับทัศนคติตรงไปตรงมาของชายหนุ่มคนนี้
ทั้งสองกลับมายังบริเวณรอบ ๆ รถม้า และพวกเขาสังเกตเห็นว่าจี้เสี่ยวซีกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ เหล่าผู้คุ้มกันตระกูลอวี้ กำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้กับพวกเขา ซึ่งทำให้ซูอันกระโดดโลดเต้นด้วยอาการตกใจพร้อมกับถามขึ้นว่า “ทำไมพวกเขาถึงเคลื่อนไหวได้?”
จี้เสี่ยวซีกะพริบตาปริบ ๆ “นั่นเป็นเพราะข้าคลายผนึกให้กับพวกเขาเอง บาดแผลของพวกเขาค่อนข้างสาหัส ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที”
“ขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ แม่นางจี้” เหล่าคนคุ้มกันตระกูลอวี้เอ่ยขอบคุณจี้เสี่ยวซีอย่างจริงใจ แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมสตรีที่เหมือนนางฟ้าผู้นี้ถึงได้มาเกี่ยวข้องกับไอ้ชายหนุ่มที่มีสันดานราวกับปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากนรกนี่ พวกเขาควรจะเตือนนางดีไหมเพื่อไม่ให้นางถูกชักนำไปสู่เส้นทาง
ที่ผิด?
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขานึกถึงความโหดเหี้ยมของ ซูอันอีกรอบท้ายที่สุดพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ย
ความในใจของตนเองออกไปเพราะเกรงว่าจะทำให้ซูอันขุ่นเคือง หากซูอันสามารถเอาชนะพวกโจรค่าย
เมฆาทมิฬได้อย่างง่าย ๆ แบบนั้น การจัดการกับพวกเขาตอนนี้ที่กำลังอ่อนแออยู่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
“เจ้าพูดก่อนหน้านี้ว่าพ่อของเจ้าคือหมอเทวะจี้เติ้งถู?” อวี้เหยียนลั่วเริ่มประเมินจี้เสี่ยวซีอย่างสนใจ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเด็กหญิงที่สวยงามและบริสุทธิ์คนนี้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“ถูกต้อง” จี้เสี่ยวซีตอบอย่างเขินอาย นางพบว่าเป็นการยากที่จะสบตากับอวี้เหยียนลั่วแบบตรง ๆ เนื่องจากแรงกดดันจากความงดงามอันหาที่เปรียบไม่ได้ของอวี้เหยียนลั่ว
“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของหมอเทวะจี้มานานแล้ว ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีลูกสาวที่มีเสน่ห์และมีความสามารถเช่นนี้ ข้าต้องขอบใจเจ้าจริง ๆ สำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในวันนี้”อวี้เหยียนลั่วโค้งตัวให้นางเล็กน้อย
“อันที่จริง ข้าไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย…” จี้เสี่ยวซีโค้งคำนับกลับด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “อันที่จริงข้างสงสัยมานานแล้วว่าท่านกับพ่อของข้าเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าเพราะพ่อของข้ามักบ่นให้ข้าฟังบ่อย ๆ ถึงท่าน ดูเหมือนว่าพ่อของข้าจะปักใจกับท่านอยู่พอสมควรเลยทีเดียว”
อวี้เหยียนลั่วรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดนี้ เนื่องจากนางจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเคยได้พบกับหมอเทวะจี้มาก่อนรึเปล่า