บทที่ 33 โจ๊กอร่อยมาก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 33 โจ๊กอร่อยมาก

บทที่ 33 โจ๊กอร่อยมาก

ลู่เฉินขมวดคิ้ว “แค่วิดีโอนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเธอเป็นมืออาชีพ มันถูกสร้างโดยมืออาชีพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีคนคอยดำเนินการให้เธอ”

ในตอนแรก ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นญาติของกู่อวี๋เฉิง และต่อมาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ เมื่อทุกคนคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีภูมิหลังและเป็นเพียงคนธรรมดา เธอก็ได้รับความนิยมอีกครั้ง

แล้วใครเป็นคนช่วยเธอ?

“ประธานลู่คุณต้องการสืบเรื่องเธอไหม”

ลู่เฉินส่ายหัว “ไม่จำเป็น ถ้าเธอมีทีมงานมืออาชีพคอยหนุนหลัง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเรา”

“ข้อมูลการสตรีมของหมายเลข 23 เป็นยังไงบ้าง?”

จ้าวเว่ยเฉิงผู้ถือรายงานที่เพิ่งทำออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ในคืนนี้กล่าวว่า “อยู่ในอันดับต้น ๆ เมื่อคืนจำนวนผู้ชมในห้องสตรีมของเธออยู่ในอันดับที่สอง แต่วันนี้ลดลงเล็กน้อย อยู่ในอันดับที่สี่”

ถึงจะลดลง แต่ก็ถือว่าดีมากเช่นกัน

“แต่เธออยู่ในห้องสตรีมสำหรับสองคน ข้อมูลนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเต็มที่ว่าเธอคือคนที่ดึงดูดผู้เข้าชมเข้ามา”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เราจะจัดการหลังจากการประเมินรอบแรก คุณกลับไปก่อนก็ได้”

หากเธอไม่สามารถเลื่อนขั้นไปคลาส A ได้หลังจากการประเมินครั้งแรก เขาคงต้องฝ่าฝืนกฎและปล่อยให้เธอดำเนินการสตรีมเพียงคนเดียวเพื่อดูผลให้แน่ชัด

หลังจากทำงานเสร็จ เขาก็เดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองวิวตามเคย จากนั้นเขาก็เห็นหมายเลข 23 เดินออกมาจากป่า

ชุดเหมือนเมื่อวานเป๊ะ

การบิดเหงื่อออกจากเสื้อก็เช่นเดียวกัน

ส่วนตัวก็อ้วนเหมือนเดิม

ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมา

“บังเอิญจัง ประธานลู่” เสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นมาฟังดูมีความสุขเล็กน้อย

เขามองออกไปนอกประตูและเห็นฮันเอินจี ยืนอยู่ตรงนั้นในชุดสีเหลืองสดใส

“ขอเข้าไปนั่งด้วยได้ไหมคะ”

เขาไม่ต้อนรับแขกและกำลังจะปฏิเสธ

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ เรื่องงาน”

ข้ออ้างนี้งี่เง่าแต่ได้ผล

เมื่อเขาเปิดประตู ฮันเอินจีก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอสะบัดผมและเดินไปที่ห้องนั่งเล่น

เธอคิดว่าลู่เฉินออกจากเกาะไปแล้ว จนกระทั่งเธอออกมาเดินเล่นและเห็นหัวหน้าผู้กำกับ จ้าวเว่ยเฉิงออกจากบ้านพัก เธอจึงรู้ว่าเขาอยู่บนเกาะนี้มาตลอด!

ลู่เฉินออกมาจากห้องนั้นและลงไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง เขาไม่ต้องการให้ใครขึ้นไปชั้นสองนอกจากจ้าวเว่ยเฉิง

มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา

เขาสวมชุดอยู่บ้านที่มีลวดลายสีฟ้าเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบาง คิ้วที่โก่งเข้ม เมื่อถอดสูทออก ดูเย็นชาและแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย ชายหนุ่มทำตัวตามสบายซึ่งทำให้หัวใจของฮันเอินจีเต้นถี่รัว

เธอไม่เคยกระตือรือร้นเหมือนเด็กสาวที่กำลังมีความรักอย่างนี้มาก่อน

“คุณอยากดื่มอะไร”

“น้ำเปล่า ขอบคุณค่ะ”

“คุณมีอะไร?” เขาถามขณะที่เทน้ำใส่ถ้วยกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งและวางไว้ข้างหน้าฮันเอินจี

จากนั้นเขาก็เอนกายพิงโซฟา ไขว่ห้างแล้วจิบกาแฟ

ใบหน้าด้านข้างที่แปลกตาดูเหมือนจะเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ

ฮันเอินจีแค่ต้องการหาข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้ประธานลู่ ไม่ใช่เพราะเธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขา แต่การสื่อสารเป็นข้อได้เปรียบของเธอเสมอ “หลังจากถ่ายทำรายการ ฉันก็ไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประธานลู่เลย คือมีผู้เข้าแข่งขันที่มีพรสวรรค์เข้าตาฉันสองสามคนน่ะค่ะ ซึ่งฉันคิดว่าเราสามารถพัฒนาพวกเขาได้ ฉันเลยอยากถามว่าประธานลู่ได้มองใครไว้หรือเปล่า”

“ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณ คุณฮัน”

ฮันเอินจียิ้มอย่างมั่นใจ “ฉันพูดจริง ๆ ส่วนตัวฉันชอบหมายเลข 15 ฉูรั่วฮวน ในระหว่างการสอนของคลาส A เธอไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังขยันฝึกซ้อมมากอีกด้วย”

“อ้อ” ลู่เฉินกล่าวออกมา ซึ่งเขาไม่สามารถปฏิเสธคำตอบของเธอได้

ฮันเอินจีต้องการคุยมากกว่านี้ เธอจึงพูดต่อว่า “ตระกูลลู่และตระกูลฮันสนิทกันมาหลายชั่วอายุ แต่ทำไมเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ผมเคยพบคุณมาก่อน แต่คุณยังเด็กเกินกว่าจะจำความได้”

ตอนนั้นฮันเอินจียังเด็ก แต่เป็นเด็กที่นิสัยเสียมาก เธอตะโกนใส่คนรับใช้และทุบข้าวของถ้าเธอไม่พอใจ และต้องได้ทุกสิ่งที่ต้องการ

แต่เหมือนพอเธออายุมากขึ้นคงจะควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น

พอได้ยินคำตอบของเขา ฮันเอินจีก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“ใช่ ฉันได้ยินจากพ่อแม่ของฉันว่าคุณไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่มัธยมต้นและไม่ได้กลับมาจนเรียนจบ ตอนนั้นคุณถือว่าเป็นเจ้าชายของเมืองหลวงแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะเจอคุณ”

มีคำเยินยอในคำพูดของเธอ

“ไม่เชิง ผมแค่ไม่ชอบออกไปข้างนอก”

เป็นฮันเอินจีเสมอที่ริเริ่มหาหัวข้อที่จะพูดคุย และลู่เฉินก็ตอบกลับอย่างสุภาพ

แต่ทันใดนั้น เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น

ฮันเอินจีมองออกไปด้วยความสับสน ใครจะมาอีกในเวลานี้?

เมื่อประธานลู่กดรับวิดีโออินเตอร์คอม พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนหน้าจอ “คุณลู่คะ ฉันหลินเจี้ยน เช้านี้ฉันเอาอาหารเช้ามาให้คุณ ฉันมาเอากล่องข้าวกลับค่ะ”

“รอสักครู่” เขากล่าว

เขายืนขึ้นและไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบกล่องอาหารกลางวันที่ล้างแล้วออกมา ฮันเอินจีตามเขาไปและพูดว่า “ฉันจะไม่รบกวนการพักผ่อนของคุณแล้วค่ะ ประธานลู่”

ลู่เฉินพยักหน้า

หลังจากเปิดประตู หลินเจี้ยนยิ้มอย่างมีความสุข “ประธานลู่…”

เมื่อเธอเห็นฮันเอินจีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็แข็งทื่อ “สวัสดีค่ะอาจารย์ฮัน”

จากนั้นเธอก็อธิบายว่า “เมื่อเช้าตอนฉันออกมา ฉันได้ยินว่า ประธานลู่ไม่ค่อยอยากอาหารและไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน เลยคิดว่ายังมีโจ๊กที่ฉันทำอยู่ ฉันจึงอาสานำมาให้ประธานลู่”

“อืม” ฮันเอินจีตอบอย่างไม่แสดงท่าทีอะไร

“โจ๊กอร่อยมาก” เขาพูดพร้อมกับยื่นกล่องเก็บความร้อนให้เธอ

หลินเจี้ยน ถือกล่องอาหารกลางวันไว้ในอ้อมแขนของเธอและพูดว่า “ฉันดีใจที่คุณชอบ ประธานลู่ฉันจะทำอาหารให้คุณอีกในทุกเช้าได้ไหม”

ลู่เฉินอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อเขานึกถึงรสชาติของโจ๊ก เขาก็รู้สึกลังเลเล็กน้อยและตอบว่า “ได้สิ”

และหลังจากกินโจ๊กแล้วเขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมจริง ๆ

ดูเหมือนว่าเขายังต้องการทานอาหารเช้าอยู่จริง ๆ

หลินเจี้ยนหน้าแดงด้วยความตื่นเต้นและจากไปอย่างมีความสุข

ฮันเอินจีตามหลังไปสองสามก้าว “ประธานลู่ผู้เข้าแข่งขันฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ถ้าคุณอยากกินอะไรก็บอกฉันได้นะคะ ฉันก็ชอบทำอาหารกินเองเหมือนกัน”

“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”

ลู่เฉินพยักหน้าและปิดประตู

ใบหน้าของ ฮันเอินจีมืดหม่นในทันที ‘หลินเจี้ยน คือใครกัน?’

คืนนั้นซูโย่วอี๋พลิกตัวไปมาบนเตียงเพราะหลับไม่ลง เธอมีโอกาสอีกเพียงครั้งเดียวที่จะคัดลอกทักษะ ถ้าเธอคัดลอกทักษะแรปไม่ได้ คะแนนสอบเรื่องเพลงคงไม่ดีแน่

เธอพยายามเต้นอย่างเต็มที่ อย่างน้อยที่สุดเธอก็กระโดดได้เต็มที่ แต่ตอนที่เธอร้องแรป เธอทำได้แค่ท่องจำเนื้อเพลงเท่านั้น

เธอกำลังจินตนาการถึงฉากการประเมิน หลังจากการร้องเพลงอันไพเราะของเธอก็ต่อด้วยการอ่านเนื้อเพลงแทนการแรป

เธอรู้สึกอายจนอยากจะฝังตัวเองให้จมดิน

เฉินซีซีหันไปหาเธอแล้วพูดว่า “พี่สาว นอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องซ้อมอีก”

เสียงของเธอขาดหายไป

ซูโย่วอี๋เอาผ้าห่มปิดหน้าแล้วหลับไปในที่สุด

ในเช้าวันที่สอง เพื่อรักษาอาการปวดประจำเดือนของเฉินซีซี เธอยังคงใส่ผงเลิศรสในโจ๊ก เธอวางแผนที่จะให้เธอกินมันติดต่อกันสามวัน แล้วคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง

ส่วนหลินเจี้ยนก็ใส่โจ๊กในกล่องเก็บความร้อนแล้วออกไปจากหอพัก ซึ่งซูโย่วอี๋ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่นั่งกินที่นี่ แต่ซูโย่วอี๋ก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้