บทที่ 48 กินซาลาเปา

บทที่ 48 กินซาลาเปา

เพียงแค่กู้เสี่ยวหวานหันกลับไปมองก็พบว่ากู้หนิงอันกำลังจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ที่ทั้งตกตะลึง สงสัย และงงงวย ท่าทางอ้าปากกว้างถลึงตาโตนั้น ทำให้กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

กู้หนิงอันที่เดิมทีสุขุมนิ่งเงียบก็เริ่มพูดขึ้น แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพราะตื่นเต้น แม้แต่ตอนเอ่ยออกมายังมีอาการตะกุกตะกัก “ทะ…ท่านพี่ นี่…มาจากไหนหรือ? ของมากมายขนาดนี้…”

กู้เสี่ยวอี้มองสิ่งของที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนอย่างหลงใหล เขารู้เพียงแค่ว่าพี่สาวนำกลับมา และต้องเป็นสิ่งที่สามารถกินได้อย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานเห็นกู้หนิงอันไม่พูดอะไร กู้หนิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดึงกู้หนิงอันไว้อย่างตื่นเต้น จากนั้นก็พูดกระซิบข้างหูกู้หนิงอันไม่กี่ประโยค ทันใดนั้นก็เห็นดวงตาของกู้หนิงอันเบิกกว้างกว่าเมื่อครู่ คล้ายกับได้รับฟังเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และถามขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ็ดสิบตำลึงหรือ?”

ครั้นรู้ตัวว่าตัวเองกำลังส่งเสียงดัง จึงรีบใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้ เบิกตากว้างจ้องมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน คล้ายกับรอให้กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าว่าใช่

กู้เสี่ยวหวานดีใจพยักหน้า “มันคือเรื่องจริง!”

เมื่อเห็นน้ำเสียงจริงแท้แน่นอนของพี่สาว กู้หนิงอันรู้สึกดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”

กู้หนิงอันพูดว่ายอดเยี่ยมวนไปวนมาไม่หยุด ยั่วยุให้กู้หนิงผิงหัวเราะดังลั่นขึ้นมา

กู้หนิงอันรู้ตัวว่ายั้งสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ก็ปิดปากยิ้มออกมาอย่างเขินอาย กู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางที่มีความสุขของพวกน้อง ๆ ภายในใจก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องเอ่ยกำชับพวกเขา และพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หนิงอัน หนิงผิง พวกเราทั้งสี่คน หากถูกคนอื่นรู้เข้า….”

กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงระงับรอยยิ้มบนใบหน้าทันที เข้าใจว่าพี่สาวกำลังหมายถึงอะไร จึงรับประกันขึ้นมาทันที “ท่านพี่ ข้าเข้าใจ พวกข้าจะไม่พูดออกไป พวกข้ารับรอง!”

เมื่อเห็นกู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงรู้เรื่องแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็วางใจ

ณ ตอนนี้ กู้หนิงผิงก็หยิบห่อกระดาษไขหนึ่งห่อที่ซื้อมาเมื่อครู่ออกมาจากในตะกร้า และพูดอย่างลึกลับ “ท่านพี่ยังซื้อของดีมาให้พวกเรา เจ้าลองเดาดูว่ามันคือสิ่งใด?”

พูดจบก็ไม่รอให้กู้หนิงอันกับกู้เสี่ยวอี้เดา กู้หนิงผิงฉีกถุงกระดาษไขออก เผยให้เห็นซาลาเปาสีขาวลูกอวบสี่ลูกที่ยังคงมีไอความร้อนกระจายออกมา

“ซาลาเปา…” ในตอนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ เคยซื้อซาลาเปากลับมาสองลูก เมื่อตอนนั้นกู้เสี่ยวหวานเคยกินครึ่งลูก กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงก็เคยกินหนึ่งลูก และเหลืออีกครึ่งลูก เพราะตอนนั้นกู้เสี่ยวอี้ยังเล็กเกินไป ดังนั้นกู้เสี่ยวอี้จึงไม่เคยกินมาก่อน และไม่รู้ว่าซาลาเปาคืออะไร แต่กู้หนิงอันกลับรู้

“ซาลาเปาหรือ?”กู้เสี่ยวอี้กระพริบตา จ้องมองก้อนแป้งขาวอวบที่มีไอความร้อนพุ่งขึ้นมา ถามขึ้นด้วยเสียงออดอ้อน “ซาลาเปากินได้หรือ?”

“ซาลาเปาหรือ?” กู้หนิงอันเคยกินและเคยเห็นซาลาเปามาก่อน ชั่วพริบตาเดียวที่เห็นกู้หนิงผิงเปิดห่อกระดาษไข กู้หนิงอันก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความดีใจ โตขนาดนี้แล้วเพิ่งจะเคยกินซาลาเปาครั้งแรก แถมยังเป็นครึ่งลูก ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้กินเต็มที่และมีซาลาเปาถึงสี่ลูกพอดี

แม้กู้หนิงอันจะใจเย็นอย่างไร สุดท้ายก็ยังคงเป็นแค่เด็กหกขวบ เมื่อเห็นของกินแล้ว นิสัยโดยธรรมชาติของเด็กเล็กก็จะปรากฏออกมา

กู้เสี่ยวอี้ดูดนิ้วหัวแม่มือ จ้องมองซาลาเปาขาวอวบไม่กี่ลูกที่ยังมีไอความร้อนพุ่งขึ้นมาไม่วางตา พลางถามกู้เสี่ยวหวาน “ท่านพี่ ซาลาเปาคือสิ่งใดหรือ?”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินก็พลันเจ็บปวดหัวใจ นัยน์ตาเศร้าโศก เมื่อชาติก่อน เด็กแต่ละครอบครัวก็เหมือนกับเป็นเด็กที่ถูกโอ๋ อยากจะเอาเข้าปากแต่ก็กลัวจะละลาย ถือของไว้ในมือก็กลัวว่าจะแตก เด็กต้องการพระจันทร์ แต่พ่อแม่ไม่กล้าเก็บดาว เด็กอยากกินอะไรก็เหมือนกับเป็นพระราชโองการที่สำคัญต่อพวกพ่อแม่ อะไรน่ากินก็นำมันกลับมาที่บ้าน เพราะกลัวพวกเด็ก ๆ จะไม่ได้กิน

แต่กู้เสี่ยวอี้ที่เดิมอายุเท่านี้ควรจะออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ ซึมซับอ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้เป็นบิดามารดา เวลานี้กลับทำได้แค่อยู่กับพวกพี่ ๆ อิ่มมื้อหิวมื้อ เติบโตจนกระทั่งอายุสี่ขวบ แม้แต่ซาลาเปาก็ยังไม่เคยเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกิน

แค่นางถามว่าซาลาเปาคือสิ่งใด กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกขื่นขมอยู่ในใจ ไม่รู้จริง ๆ ว่าหลายปีมานี้พวกเด็กเหล่านี้ใช้ชีวิตมาอย่างไร

กู้เสี่ยวหวานอดทนฝืนน้ำตาที่กำลังจะไหลเอาไว้ หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมา ยื่นใส่มือของกู้เสี่ยวอี้ พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ซาลาเปาก็คือแป้งที่ห่อเนื้ออยู่ด้านใน ข้างในมีเนื้อ รสชาติดีมาก เจ้ารีบกินเถอะ ต่อจากนี้ไป ข้ารับรองว่าหากเสี่ยวอี้อยากกินอะไร ข้าก็จะทำสิ่งนั้นให้เสี่ยวอี้กิน!”

กู้เสี่ยวอี้รับซาลาเปาขาวอวบอ้วนลูกนั้นมา ไออุ่นมารวมกันอยู่ที่นิ้วมือ กลิ่นหอมเย้ายวนโชยเข้าจมูกจนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

ซาลาเปาสี่ลูก ในมือของทุกคนถือเอาไว้คนละลูก แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่เพราะกู้เสี่ยวหวานนำซาลาเปาเก็บไว้อย่างดี ซาลาเปาถึงยังได้มีความร้อนอยู่ เมื่อมาถึงมือก็ยังคงนุ่มนิ่ม ครั้นมองซาลาเปานุ่มนิ่มสลับกับท่าทางพยายามกลืนน้ำลายของเด็ก ๆ ทั้งสาม นางก็เอ่ยเตือนสติขึ้นมา “เอาละ ทุกคนรีบกินซาลาเปาเถอะ ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย”

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานเตือนสติคนที่อยู่ข้าง ๆ

นานแล้วที่ไม่ได้กินซาลาเปา หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองซาลาเปาแล้วก็กัดมันก่อนหนึ่งคำ ซาลาเปาไส้หมูกับผัก เมื่อกัดลงไปหนึ่งคำ ก็ทำให้ในปากฉ่ำไปด้วยน้ำมัน

ซาลาเปาในยุคโบราณนี้ช่างแตกต่างจากยุคปัจจุบัน พูดได้อย่างเดียวว่าไส้หมูที่อยู่ข้างในได้กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งภายในซาลาเปา และไม่ต้องกังวลว่าเนื้อนี้จะเป็นเนื้อจากหัวหมู ต่อมน้ำเหลืองบนคอหมู หรือกระทั่งเศษกระดาษ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของธรรมชาติ และมีโอกาสได้กินหมูท้องถิ่นที่เติบโตจากอาหารของชาวนา

และขนาดของซาลาเปานั้น เทียบกับซาลาเปายุคปัจจุบันสามลูกก็ยังใหญ่กว่า เกรงว่าวันนี้ตอนเย็นพวกเขาไม่ต้องกินข้าวก็ยังได้

มาถึงต่างโลกก็เนิ่นนาน แม้แต่เนื้อเปื่อยก็ไม่เคยเห็น นานแล้วที่ไม่ได้กินซาลาเปาหรือเนื้อสัตว์ กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกว่าซาลาเปานี้รสชาติเลิศเลอจนสุดบรรยาย

กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิง และกู้เสี่ยวอี้ เห็นกู้เสี่ยวหวานเริ่มกินก็ลอบกลืนน้ำลาย และเริ่มกินบ้าง

ในช่วงเวลานี้ พี่น้องทั้งสี่ต่างนั่งอยู่บนเตียง ในมือแต่ละคนถือซาลาเปาเนื้อเอาไว้ และกินอย่างเอร็ดอร่อย

กู้เสี่ยวหวาน กู้หนิงอัน และกู้หนิงผิงกินซาลาเปาหมดก่อน กู้เสี่ยวอี้ยังเล็กจึงไม่สามารถยัดลงไปได้ทั้งหมด จึงยังเหลืออยู่เล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานใช้ชามใส่ส่วนที่เหลือเอาไว้ วางแผนว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะใส่ไว้ในหม้อนึ่งไว้สักครู่ เท่านี้ก็สามารถกินต่อได้แล้ว

“ท่านพี่ ซาลาเปาอร่อยจริง ๆ” กู้เสี่ยวอี้ลูบหน้าท้อง พูดขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ที่แท้สิ่งนี้ก็คือซาลาเปา และซาลาเปาอร่อยมากจริง ๆ

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อ่านถึงตอนนี้แล้วมีใครน้ำลายไหลอยากกินซาลาเปาบ้างไหมคะ ฮ่า ๆๆ

ไหหม่า(海馬)