ตอนที่ 67 ชาติก่อนเขาฆ่าตัวตาย
ตอนที่ 67 ชาติก่อนเขาฆ่าตัวตาย
บรรยากาศวันปีใหม่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขในตอนแรกพลันหม่นหมองลงทันใดด้วยโทรเลขนี้
โจวลี่หรงมีสีหน้าเป็นกังวลและเจ็บปวด รีบเก็บข้าวของของตัวเองทันที
แม่เฒ่าโจวเอ่ยขึ้น “ลี่หรง ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ไว้ค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้ก็ได้ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว รอบรถโดยสารคงหมดไปนานแล้วล่ะ”
“แม่ ฉันขอจัดของไว้ก่อนแล้วกัน”
หลินเซี่ยเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าโจวลี่หรงกำลังเก็บสัมภาระของตัวเองอยู่ในห้องหลัก อีกทั้งสีหน้าของคนอื่น ๆ ก็ดูหนักอึ้งไม่ต่างกัน ก็คิดว่ามีใครบางคนไปยั่วโมโหโจวลี่หรงอีกครั้ง จึงกระซิบถามเฉินเจียเหอด้วยเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เฉินเจียเหอทำหน้าจริงจัง “ดูเหมือนโรคของน้องชายผมจะกำเริบอีกแล้ว หล่อนเลยต้องรีบกลับไปที่ไห่เฉิง”
“โรคกำเริบ?”
เขาลากหลินเซี่ยกลับไปที่ห้องของตัวเอง ก่อนจะอธิบายให้เธอฟังว่า “สี่ปีที่แล้วเขาป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูจากอาการบาดเจ็บที่สมอง ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาต้องคอยกินยาเพื่อควบคุมอาการ เขาไม่มีอาการนั้นมานานเกือบครึ่งปีแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมากำเริบเอาช่วงปีใหม่”
เมื่อพูดถึงน้องชายคนเล็ก ใบหน้าของเฉินเจียเหอก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
น้องชายของเขาฉลาดเป็นกรดมาตั้งแต่เด็ก ความจริงแล้วเขาควรมีอนาคตที่สดใส แต่เพราะป่วยเป็นโรคนี้ ทำให้การเล่าเรียนของล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ตอนนี้จึงต้องพักการเรียนไปก่อนและรักษาตัวอยู่ที่บ้านเท่านั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ใบหน้าของเฉินเจียเหอก็มืดครึ้มราวกับปกคลุมไปด้วยเมฆดำ
ได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอ หลินเซี่ยก็ค้นความทรงจำที่เกี่ยวกับน้องชายของเฉินเจียเหออย่างหนัก
ชาติที่แล้วเธอหย่ากับเฉินเจียเหอหลังจากได้กลับมาอยู่ในเมือง นับจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวของเขาอีก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอติดตามเสิ่นอวี้อิ๋ง แล้วเสิ่นอวี้อิ๋งก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เธอจึงยังพอได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเฉินผ่านหูมาบ้าง
จำได้แล้ว…
ชาติก่อน น้องชายคนเล็กของเฉินเจียเหอ… ฆ่าตัวตาย
ว่ากันว่าเพราะโรคภัยที่เขาเป็นอยู่ ทำให้เขาทนแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว ในที่สุดก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ต่อมา โจวลี่หรงที่เคยวางตัวสูงส่งก็พลันเสียศูนย์ หล่อนปลดเกษียณก่อนกำหนดและกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด
แม้ว่าเธอจะได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้มาอีกทอดหนึ่ง และไม่เคยเจอกับน้องชายของเฉินเจียเหอมาก่อน แต่ข่าวที่รับรู้มาก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของหลินเซี่ยก็เต้นรัว
ที่แท้น้องชายของเฉินเจียเหอก็ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูเองเหรอ
โรคลมบ้าหมูเป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ถ้าเข้ารับการรักษาอย่างทันเวลาหลังเกิดอาการ ผู้ป่วยก็จะหายดีในไม่ช้า
แต่มันเป็นโรคที่มีแนวโน้มทำให้ผู้ป่วย ‘ตายทางสังคม’ มากที่สุด
เพราะลักษณะการแสดงอาการของมันนั้นน่ากลัวจริง ๆ
เธอเคยเห็นมาแล้วกับตาว่าผู้ที่ป่วยโรคลมชักนั้นน่ากลัวขนาดไหน
เธอจำได้ราง ๆ ว่าตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นในชาติที่แล้ว เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอก็ป่วยเป็นโรคนี้เหมือนกัน
เขาเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง หน้าตาสะอาดสะอ้าน นิสัยร่าเริงแจ่มใส ชอบสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าผ้าใบสีขาว เป็นที่สะดุดตามาก
ตั้งแต่เขาย้ายมาเรียนที่นี่ เด็กสาวทั้งในและนอกชั้นเรียนก็เกิดความหวั่นไหว เกือบทุกคนต่างก็พูดถึงเขาอย่างลับ ๆ
พูดแล้วอาจไม่น่าเชื่อ เพราะตอนที่เธอนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเขาเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียน จำนวนคำทั้งหมดที่เขาเปล่งเสียงออกมาน้อยกว่าสิบประโยคซะอีก
สาเหตุหลักคืออีกฝ่ายเป็นคนเก็บตัวเกินไป วัน ๆ แทบไม่พูดคุยกับใครเลย สาว ๆ ในชั้นเรียนอยากรู้เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับเขามาก แต่ไม่ค่อยได้อะไรจากปากเจ้าตัวเท่าใดนัก พวกหล่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยนอกจากชื่อ
เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่โดดเด่นของเขาดึงดูดความสนใจของเด็กผู้หญิงทุกคน เด็กผู้ชายในชั้นเรียนจึงไม่ชอบหน้าเขามาโดยตลอด วันหนึ่งเขาถูกเด็กเกเรพวกนั้นหาเรื่อง ทำให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันอยู่สักพัก และแล้วจู่ ๆ เขาก็ล้มลงกับพื้น น้ำลายฟูมปาก ทั้งตัวชักกระตุก ตอนนั้นทุกคนได้แต่มองอย่างตกตะลึง
โชคดีที่เซี่ยหลานแม่บุญธรรมของเธอเป็นหมอ เธอจึงพอมีทักษะในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่บ้าง ตอนนั้นไม่มีใครในชั้นเรียนเลยที่กล้าเข้าไปช่วยเขา เมื่อเห็นนักเรียนชายพากันยืนเฉยทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ตรงหน้าคอขาดบาดตาย เธอจึงอาสาในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเพื่อช่วยเขาอย่างเร่งด่วน
และมารู้ภายหลังว่านักเรียนชายคนนี้ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู
ตั้งแต่เขาล้มลงไปชักน้ำลายฟูมปากในวันนั้น เด็กชายก็ไม่เคยมาโรงเรียนอีกเลย
พ่อแม่ของเขายังฝากให้ครูประจำชั้นนำของขวัญมามอบให้เพื่อขอบคุณเธอด้วย
แต่เธอไม่เคยเห็นหน้าเขาอีกเลย ได้ยินว่าเขาถูกย้ายโรงเรียนไปแล้ว
ถ้าวันนี้เขาไม่พูดถึงโรคลมบ้าหมูขึ้นมา เธอคงลืมเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมไปนานแล้ว
ไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายของเฉินเจียเหอเองก็ป่วยเป็นโรคนั้นเช่นกัน
ไม่น่าแปลกใจที่เขาคิดสั้นฆ่าตัวตายในชาติที่แล้ว
สำหรับโรคนี้ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ข้อมูลยังไม่ทั่วถึง ผู้ป่วยจะถูกประณามว่าเป็นสัตว์ประหลาด ถ้าคนอื่นบังเอิญมาเจอในระหว่างที่เขาล้มชัก
กระทั่งต่อมา โรคนี้ถึงได้มีชื่อเรียกว่าลมบ้าหมู
เธอยังจำน้ำเสียงและสายตาของนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนเมื่อพูดถึงเพื่อนร่วมชั้นชายคนนี้ในภายหลังได้ดี
สถานะหนุ่มหล่อในใจของเด็กสาวทั้งหลายตกฮวบลงมาจากแท่นบูชาภายในชั่วข้ามคืน เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดของเพื่อน ๆ ในทันที
แต่เมื่อครู่เฉินเจียเหอบอกว่าน้องชายของเขาป่วยเพราะมีสาเหตุมาจากอาการบาดเจ็บที่สมอง ถ้าโรคลมบ้าหมูเป็นผลพวงมาจากการบาดเจ็บที่สมองจริง ๆ คงไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา ต้องรักษาโดยการผ่าตัดอย่างเดียว
เธอไม่รู้ว่ายุคนี้วิทยาการการผ่าตัดก้าวหน้าจนทำแบบนั้นได้หรือยัง ถึงแม้ในจีนจะยังไม่มีกระบวนการรักษาดังกล่าว แต่ในต่างประเทศก็น่าจะเป็นไปได้
หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอซึ่งมีสีหน้าเศร้าโศก ก่อนจะปลอบโยนเขาเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลนะคะ พรุ่งนี้พวกเราจะกลับเข้าเมืองไปพร้อมกับแม่คุณ”
ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม ชาตินี้เธอจะต้องหาทางรักษาชีวิตของน้องชายเฉินเจียเหอไว้ให้ได้ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าตัวตาย
การมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้น ถึงจะมีความหวังในการรักษาให้หายขาดได้
“แล้วแม่ยายล่ะ?”
เนื่องจากพวกเขาเลื่อนเวลากลับเข้าเมืองอย่างกะทันหันเกินไป แน่นอนว่าหลิวกุ้ยอิงคงไม่ทันได้เตรียมตัว
“พรุ่งนี้ยังเป็นวันที่หกของปีใหม่ คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงวันหยุดยาว แม่ฉันกับเสี่ยวเยี่ยนคงยังไม่มีอะไรให้ทำมากนักหรอก ปัญหาสำคัญคือที่พักต่างหาก”
หลินเซี่ยกังวล “ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สบายใจอยู่ดีที่จะทิ้งพวกหล่อนไว้ที่หมู่บ้าน ฉันอดกังวลไม่ได้ว่าถ้าพวกเราเดินทางออกก่อน ครอบครัวของหวังต้าจ้วงจะแห่กันมาทำให้แม่เดือดร้อน”
ลำพังหลินเอ้อร์ฝูหรือแม่เฒ่าหลินไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ทุกอย่างที่ควรย้ายออกจากบ้านก็ย้ายออกมาเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดเพียงอย่างเดียวที่เหลือคือบ้านก่ออิฐหลังนั้น ปล่อยให้คนพวกนั้นยึดไปก่อน คงหาทางเอาคืนได้ไม่ช้าก็เร็ว
เฉินเจียเหอบอกว่า “ไม่ต้องกังวล คืนนี้ผมจะแวะไปที่บ้านของหวังต้าจ้วง คุยกับพ่อค้าเนื้อหวังให้ชัดเจน และตักเตือนพวกเขาด้วย เขาควรรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด”
หวังต้าจ้วงเป็นฝ่ายก่ออาชญากรรมก่อน จากนั้นหลินเซี่ยก็ทุบตีเขาเพื่อป้องกันตัว ถ้าเขากล้ามาสร้างปัญหาให้กับหลิวกุ้ยอิงและลูกสาว เขาจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่
“แล้วผมก็จะบอกน้าให้ทราบเรื่องการแจ้งความด้วย อีกสองวันสำนักสันติบาลจะเปิดทำการตามปกติ พอผมกลับไปทำงานจะพาแม่ยายไปแจ้งความด้วยกัน”
พอได้ยินแผนการของเฉินเจียเหอแล้ว หลินเซี่ยก็โล่งใจมาก
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกลับไปที่บ้านตระกูลหลินในตอนกลางคืน เพื่อบอกหลิวกุ้ยอิงว่าพวกเขาจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้
นอกจากนี้เขายังทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของที่ทำงานเฉินเจียเหอ รวมถึงที่อยู่ของบ้านไว้ให้พวกหล่อนด้วย
“คืนนี้ฉันจะนอนเป็นเพื่อนแม่ หลังจากไปบ้านตระกูลหวังแล้วรีบกลับเข้าบ้านนะคะ พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับไปหาคุณ”
เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินว่าคืนนี้เธอจะไม่กลับบ้าน เขาก็ตกตะลึง ปฏิเสธโดยตรงว่า “ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ฉันขอนอนกับแม่คืนเดียวเอง” หลินเซี่ยรีบปีนขึ้นไปอยู่บนเตียง คิดว่าเฉินเจียเหอคงกังวลว่าอาจมีคนมาสร้างปัญหา จึงพูดว่า “ไม่ต้องกังวลค่ะ ประตูบ้านลงกลอนได้ ยังไงก็ปลอดภัย”
เฉินเจียเหอยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยความกังวล มองดูหญิงสาวที่ปีนขึ้นไปบนเตียงเรียบร้อยแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความเว้าวอน
“คุณกลับไปผมดีกว่า กลัวว่าพรุ่งตอนเช้าจะออกเดินทางสายเกินไป”
“ไม่สายแน่ รถรอบแรกล้อหมุนแปดโมง ฉันจะไปถึงบ้านคุณตอนเจ็ดโมง คุณไปเถอะ”
ท้ายที่สุด เฉินเจียเหอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจำใจเดินจากไป
ก่อนกลับบ้าน เขาไม่ลืมกำชับให้หลิวกุ้ยอิงล็อกประตูอย่างแน่นหนา และระวังเรื่องความปลอดภัย
พอเฉินเจียเหอจากไปแล้ว หลินเซี่ยก็ลงจากเตียง วิ่งไปที่ห้องครัว เปิดตู้เก็บวัตถุดิบแล้วมองเข้าไปข้างใน เห็นว่าหลินเอ้อร์ฝูใช้แป้งขาวทำบะหมี่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในตู้ยังเหลือแป้งในปริมาณหนึ่งในสาม
หลินเซี่ยไปเปิดตู้ในครัวดูอะไรบางอย่าง หลิวกุ้ยอิงจึงรีบตามออกไปพร้อมกับพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะเซี่ยเซี่ย แม่กับเสี่ยวเยี่ยนกินบะหมี่กันไปแล้ว”
“แม่คะ คืนนี้ยังพอมีเวลา ฉันจะสอนแม่กับเสี่ยวเยี่ยนทำเหลียงผี”
ในตู้ยังเหลือแป้งอีกเยอะแยะ กระทั่งพวกหล่อนทั้งสองก็ไม่มีทางกินหมดภายในหนึ่งวัน หลังจากพวกหล่อนเข้าเมือง ไม่แน่หลินเอ้อร์ฝูอาจจะพังประตูบ้านเข้ามาแล้วขโมยแป้งไปกินก็ได้ ถ้าอย่างนั้นถือโอกาสสอนพวกหล่อนทำเหลียงผีไม่ดีกว่าเหรอ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น่าสงสารน้องชายพี่เหอนะคะ ชีวิตที่น่าจะมีโอกาสดีๆ ถูกจำกัดไว้ด้วยโรคนี้
ไหหม่า(海馬)