บทที่ 67 แผนการลับ

บทที่ 67 แผนการลับ

ที่ยิ่งชวนฉงนใจคือการที่อู๋ฝานสามารถเป็นอาจารย์พละศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว

สถาบันที่อู๋ฝานจบการศึกษามาก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอะไร ภายหลังจบการศึกษา เขาก็ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับงานทางด้านการศึกษาหรือกีฬา เพราะอะไรปุบปับจึงสามารถเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเจียงโจว ที่ทราบกันดีว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของประเทศ?

หากว่าอู๋ฝานมีพื้นเพเช่นเกิ่งหย่าเฟยหรือหลี่ปิง เรื่องราวก็เป็นที่ยอมรับได้ แต่มันแปลกตรงที่อู๋ฝานไม่มีพื้นเพอะไร เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับดำเนินเรื่องราวจนถึงตอนนี้ได้ มันออกจะเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ

ใครก็เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเจียงโจวได้งั้นหรือ? ย่อมไม่ใช่ กระทั่งเกิ่งหย่าเฟยและหลี่ปิง นอกจากพื้นเพทางครอบครัวแล้ว ทั้งสองก็มีประวัติการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จึงสามารถทำงานเป็นอาจารย์ของที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวได้

ส่วนอู๋ฝานล่ะ?

ไม่มีอะไรทั้งนั้น!

“หรือจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาแต่เรายังตรวจสอบมาไม่ได้กัน?” หวังจื่อหมิงครุ่นคิด “แต่ประวัติของเขาก็เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ไม่น่าจะมีความสามารถปกปิดสถานการณ์อะไรได้ แปลกมาก แปลกจริง”

ในใจของหวังจื่อหมิง ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งสนใจในตัวของอู๋ฝาน บังเอิญว่าเขามีเรื่องราวต้องไปพบอู๋ฝานพอดี ดังนั้นจึงมีโอกาสได้สนทนา

อู๋ฝานไม่ทราบว่าข่งไห่หลินคิดจัดการอะไรกับตนเอง และหวังจื่อหมิงมีความสนใจในตัวเขาเอง สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เพียงยุ่งกับการปิ้งบาร์บีคิว

“ไม่รู้เลยว่าหยุดขายไปสองวันจะกระทบอะไรกับการขายวันนี้บ้างไหม” อู๋ฝานนำอุปกรณ์ปิ้งย่างของตนเองมุ่งไปตรงร้านแผงลอย

“นั่นเถ้าแก่นี่!”

“เถ้าแก่มาแล้วงั้นหรือ?!”

“วิเศษ รอมาหลายวัน เถ้าวันนี้เถ้าแก่ยังไม่โผล่หน้ามาอีก กะว่าจะโทรแจ้งตำรวจอยู่แล้วเชียว!”

สิ่งที่อู๋ฝานไม่คิดคือทันทีที่เขาปรากฏตัวใกล้ที่ตั้งร้านเดิม จะมีคนมารอคอยมากมายหลายคน ทั้งยังเกิดตื่นเต้นยินดียามพบเห็นเขาปรากฏตัวเสียด้วยซ้ำ

“กิจการบาร์บีคิวของเรายังแข็งแรงดีอยู่ ไม่เลว ไม่เลว” อู๋ฝานเกิดรู้สึกอิ่มเอมอยู่ในใจ

“เถ้าแก่ เร็วเข้า เร็วเข้า รอไม่ไหวแล้วนะเนี่ย”

“เถ้าแก่ สองวันมานี้หายไปไหนกัน? ผมนี่อยากกินบาร์บีคิวของเถ้าแก่จนตัวสั่นแล้ว”

“เถ้าแก่ ขอหมูสามชั้นสองไม้ ตีนเป็ดหนึ่งไม้ ปีกไก่อีกสองไม้…”

“เดี๋ยวสิ ฉันมาก่อนนะ! เอาปลาหมึกสอง แล้วก็หมูสิบไม้…”

รอบด้านของอู๋ฝานถูกรายล้อมอย่ารวดเร็ว แม้ว่ามีคนเพียงห้าถึงหกคน แต่มันก็มากพอทำให้อู๋ฝานรู้สึกเป็นประหนึ่งคนค้าขายเจ้าดัง แน่นอนว่าเขาทราบดี ว่าคนเหล่านี้ตามมาก็เพราะบาร์บีคิวที่เขาทำขาย

‘วุ่นวายอะไรกันได้ขนาดนี้? นี่ถ้าได้กินวัตถุดิบจากโลกในเกม จะไม่ใช่ยิ่งคลุ้มคลั่งกันหรอกหรือ? ถ้าหากไม่ได้กินทุกวัน คงไม่ถึงขั้นนอนไม่หลับกันมั้ง?’ อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ

“ใจเย็นกันนะครับ รอคอยผมจัดเตรียมของสักครู่ ทีละคนนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวใกล้เคียง ต่างมองมาด้วยสายตาอิจฉา แน่นอนว่าในความอิจฉาเหล่านั้น มันมีความริษยาอยู่ด้วย

แม้ว่าหน้าร้านของพวกเขาก็มีลูกค้าอยู่บ้าง แต่ไม่เหมือนของร้านอู๋ฝาน ที่มีลูกค้าเดนตายตั้งหน้าตั้งตารอคอย อย่างไรแล้วฝีมือของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับร้านอื่น หากว่าไปกินที่อื่น รสชาติที่ได้ก็ไม่ได้ต่างกันอะไรมากมาย

ทว่าร้านของอู๋ฝานจึงไม่ใช่ อู๋ฝานไม่ได้มาขายสองวัน แต่พวกเขาก็ยังได้เห็นคนคอยวนเวียนรอบบริเวณที่อู๋ฝานตั้งร้านอยู่ทุกวัน เห็นได้ชัดว่ารอคอยให้อู๋ฝานมาขาย อย่างนั้นจะไม่เกิดริษยาได้อย่างไร?

อีกทั้งเพียงอู๋ฝานปรากฏตัว เถ้าแก่ร้านแผงลอยใกล้เคียงต่างก็พร้อมใจกันไม่ยินดี เพราะพบว่าคนที่ยืนรอตรงหน้าร้านของตัวเองและกำลังจะสั่งทาน พลันโยกย้ายตำแหน่งที่ยืนรอไปตรงหน้าแผงของอู๋ฝานเสียแล้ว

“เจ้าหนุ่มคนนี้นี่เหลือเกิน นี่มันไม่ต่างอะไรกับปล้นกิจการกับแหล่งรายได้ของพวกเรากัน? อย่างนั้นจะทำธุรกิจกันต่อยังไง!” เถ้าแก่ร้านบาร์บีคิวข้างเคียงยิ่งพบเห็นคนออกันหน้าร้านอู๋ฝานมากขึ้น จึงเกิดความรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา

“ใช่แล้ว! ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ ภายหน้าพวกเราจะทำธุรกิจกันยังไง? เขาได้เอาลูกค้าไปหมดแน่” เถ้าแก่อีกคนตอบรับด้วยความโกรธเคืองไม่ต่างกัน

ลูกค้าหลายคนต่างพร้อมใจกันถอนตัวจากร้านของพวกเขา มุ่งตรงไปยังร้านของอู๋ฝานเพียงเพราะอู๋ฝานปรากฏตัว ดังนั้นกิจการของเถ้าแก่เหล่านี้จึงกลายเป็นซบเซาในพริบตา หน้าร้านไร้ซึ่งลูกค้าแม้สักคน เพราะพวกเขาเหล่านั้นไปตั้งแถวรอคอยตรงหน้าร้านของอู๋ฝานกันหมด แม้ร้านอื่นได้ทานเร็วกว่าพวกเขาก็ไม่สน เรื่องราวจึงยิ่งทำเหล่าเถ้าแก่มีเวลาว่างมานั่งจับเข่าพูดคุยกัน

แน่นอนว่าเถ้าแก่ทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ได้ชอบที่จะอยู่เฉย พวกเขาอยากขายดีจนยุ่งเหมือนดังอู๋ฝาน

“จะว่าไปแล้ว ที่พูดครั้งก่อนล่ะเป็นยังไง มีใครไปเจอมาแล้วบ้าง?” เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวคนหนึ่งเอ่ยคำถามขึ้นมา

คนอื่นต่างชะงักงันไปครู่ พวกเขาเข้าใจดีว่าคำของอีกฝ่ายมีความหมายถึงอะไร

“ฉันไปพบมาแล้ว” เถ้าแก่อีกคนพูดตอบ “อันที่จริงก็ทักทายไปแล้ว แต่สองวันที่ผ่านมาเจ้าหนุ่มนี่ดันไม่มา ฉันก็นึกว่าเขาไม่มาขายแล้ว เพราะงั้นก็เลยไม่ได้ขอให้ใครมา จะเรียกคนพวกนั้นมาที่นี่มันต้องใช้เงินนะ”

“เรื่องต้องจ่ายเงินก็แค่เล็กน้อย พวกเราแบ่งกันจ่ายเท่ากัน รวมกันแล้วก็จ่ายไม่มากหรอก” เถ้าแก่อ้วนท้วนที่อยู่ข้างเคียงตอบกลับ “ขอแค่ไม่เป็นที่สนใจก็พอแล้ว ถ้าไม่งั้นพวกเราคงทำการค้ากันอีกไม่ได้”

“ใช่ ฉันเห็นด้วย”

“ฉันก็เห็นด้วย”

เถ้าแก่ร้านบาร์บีคิวทั้งหลายต่างตอบรับกันออกมา การขโมยเงินกันแบบนี้ก็ไม่ต่างกับฆ่าพ่อแม่ อู๋ฝานแย่งการค้าไปจากพวกเขา ใจพวกเขาจึงเกลียดชังอู๋ฝาน ไม่แปลกหากจะหาทางทวงคืนธุรกิจกลับคืน

หากอาศัยการแข่งขันตามปกติ มันก็คงไม่อาจเป็นไปได้ แม้พวกเขาไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติบาร์บีคิวของอู๋ฝาน แต่ดูจากบรรดาลูกค้า พวกเขาก็คร้านจะไปต่อแถวร้านของอู๋ฝานเพื่อลอง และมันคือสัญญาณของปัญหา ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากไปต่อแถวหน้าร้านของอู๋ฝานก็เพียงตามกระแสไปชั่วครู่ แต่ตอนนี้ไม่อาจคิดแบบนั้น เพราะลูกค้าหลายคนที่เคยได้ลองรสชาติ พวกเขามีการพูดกันปากต่อปากถึงความประทับใจที่ได้รับ ผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขาต่างแห่กันไปที่ร้านของอู๋ฝานกันหมดสิ้น

ดังนั้นแล้ว หากพวกเขาต้องการทวงการค้ากลับคืนมา ก็ต้องคิดหาทางอื่น ที่ไม่ใช่เส้นทางตามปกติซึ่งควรจะเป็น

เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวหลายคนร่วมวงสนทนากันเป็นการลับ ขณะที่อู๋ฝานกำลังยุ่ง เม็ดเหงื่อผุดจากหน้าผากไม่หยุดหย่อน แม้การเคลื่อนไหวลงมือรวดเร็ว ตัวเขายังรู้สึกว่าไม่อาจทำได้ทันตามความต้องการ ขณะนี้จึงคิดอยากได้ผู้ช่วยมาช่วยงาน

“ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ น่าจะเรียกใครสักคนมาช่วย” อู๋ฝานพึมกับอยู่ในใจ “ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อ แล้วไม่ได้จ้างใครมาช่วยงาน คงได้หมดแรงจนตายกันไปข้างแน่”

“คุณอู๋ ต้องการความช่วยเหลือไหม?”

ขณะอู๋ฝานกำลังง่วนอยู่กับงานในมือ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นให้ได้ยิน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง พบเห็นร่างอันคุ้นเคยของคนคนหนึ่ง จึงถึงกับต้องประหลาดใจ