บทที่ 68 ทุกคนต่างสงสัย

บทที่ 68 ทุกคนต่างสงสัย

“เชฟใหญ่ คุณมายังไงเนี่ย?” อู๋ฝานถามด้วยความประหลาดใจ

คนคุ้นเคยที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันตรงหน้าร้านแผงลอยของอู๋ฝาน คือเชฟใหญ่หลิวจากร้านคัลเลอร์แมน อู๋ฝานไม่นึกคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวตรงหน้าร้านแผงลอยของตัวเอง ดังทราบว่า เวลานี้เป็นช่วงมื้อเย็น เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดในร้านคัลเลอร์แมน แต่แล้วเวลาเช่นตอนนี้เชฟใหญ่หลิวกลับไม่อยู่ในครัวของร้าน เพราะอะไรถึงได้มีเวลาออกมาเดินเล่น?

“อย่าเรียกผมว่าเชฟใหญ่หลิว ผมลาออกจากคัลเลอร์แมนแล้ว” เชฟหลิวตอบกลับ “คุณอู๋ เรียกชื่อผมก็ได้ ผมชื่อหลิวอี้เตา”

“หลิวอี้เตา? ชื่อมีเอกลักษณ์จริงนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “เพียงแต่ ทำไมถึงลาออกจากคัลเลอร์แมนล่ะครับ? นั่นเป็นหนึ่งในร้านที่ดีที่สุดในเจียงโจวแล้วนะ ถ้าคุณลาออกมา ก็ยากที่จะหาร้านอื่นที่ดีกว่าในเจียงโจวแล้วนะครับ”

“ผมพูดไปชัดแล้วว่าขอคำนับคุณเป็นอาจารย์” หลิวอี้เตาตอบกลับ “ถ้าหากยังอยู่ที่คัลเลอร์แมนคงไม่มีโอกาสได้เรียนการทำอาหารจากคุณ”

“นี่เอาจริงหรือครับเนี่ย?” อู๋ฝานถึงกับประหลาดใจ ก่อนหน้านี้หลิวอี้เตาพูดจริงว่าต้องการคำนับตัวเขาเป็นอาจารย์ ตอนนั้นเขานึกคิดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น ไม่นึกคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะเอาจริงเอาจังถึงขนาดนี้ ถึงขนาดยอมลาออกจากร้านคัลเลอร์แมน

“ถึงขนาดนี้ต้องเอาจริงแล้วสิ” หลิวอี้เตาตอบกลับ

“กลัวจะทำคุณผิดหวังเหลือเกินครับ ผมก็แค่คนทำบาร์บีคิวขาย” อู๋ฝานตอบกลับ

“ไม่มีผิดหวังอะไรทั้งนั้น” หลิวอี้เตาส่ายศีรษะตอบกลับ “การทำอาหารต้องเกี่ยวข้องกับฝีมือหลากหลายด้าน บาร์บีคิวเป็นหนึ่งในนั้น ระดับของคุณที่สูงกว่าผม ก็ต้องสอนอะไรผมได้อย่างแน่นอน”

อู๋ฝานไม่นึกคิด ว่าหลิวอี้เตาจะดื้อรั้นถึงขนาดนี้ได้ เพื่อได้เรียนทักษะการทำอาหาร ถึงขั้นยอมลาออกจากคัลเลอร์แมน เป็นความแน่วแน่ที่น่านับถือ

“อยากจะเรียนจากผมหรือครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“ใช่!” หลิวอี้เตายืนยันหนักแน่น

“ถ้าเป็นแบบนั้น รบกวนขอยืมมือก่อนแล้วกันครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

กล่าวได้ว่าอู๋ฝานให้บททดสอบแก่หลิวอี้เตา หากว่าอีกฝ่ายไม่ยินดี เช่นนั้นก็จากไป แต่หากยินดี เช่นนั้นการรับเป็นศิษย์ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

ภายหลังอู๋ฝานได้คำนับป้าใหญ่หวังเป็นอาจารย์ เขาจึงได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารมากมาย ดังทราบว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับปรมาจารย์คนหนึ่ง ป้าใหญ่หวังที่ถ่ายทอดวิชาให้แก่อู๋ฝาน จึงทำให้ภาคทฤษฎีการทำอาหารของอู๋ฝานตอนนี้ก้าวไปถึงระดับปรมาจารย์เช่นกัน หรือจะเรียกว่าเป็นเชฟใหญ่ก็ไม่ผิด แต่เพราะยังขาดประสบการณ์ฝึกฝนของจริง ขอเพียงทำอาหารต่อไปเรื่อย ๆ แม้เป็นบาร์บีคิว เขาก็สามารถพัฒนาประสบการณ์การทำอาหาร ระดับของทักษะทำอาหารจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้อื่นต้องการพรสวรรค์ พรแสวง เวลา และปัจจัยอื่นเพื่อเสริมทักษะการทำอาหารให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่กับอู๋ฝาน ที่เขาต้องทำก็เพียงลงมือทำต่อไป สะสมประสบการณ์ ก็จะพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง มันคือผลประโยชน์ของการเป็น ‘ผู้เล่น’

และทักษะทำอาหารระดับสูงของอู๋ฝานนั้นได้ก้าวข้ามหลิวอี้เตาไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่ภาคทฤษฎีระดับปรมาจารย์ของอู๋ฝาน จะสอนหลิวอี้เตา และด้วยความเป็น ‘ผู้เล่น’ อู๋ฝานเชื่อว่าทักษะการทำอาหารของตนเองจะก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งกว่าหลิวอี้เตา ดังนั้นแม้เป็นในด้านการทำอาหารจริง อู๋ฝานก็เชื่อว่าจะรักษาระดับที่นำหน้าหลิวอี้เตาต่อไปได้

ดังนั้นแล้วการเป็นอาจารย์ของหลิวอี้เตา อู๋ฝานถือได้ว่ามีคุณสมบัติทั้งความสามารถและระดับ

แน่นอนว่าอู๋ฝานยอมรับหลิวอี้เตาเป็นศิษย์ มันมีความหมายถึงแผนการเปิดร้านอาหารในภายหน้าด้วยเช่นกัน

ในอีกโลกหนึ่ง ตัวเขาได้เพาะปลูกผัก ผลไม้ และเลี้ยงสัตว์เอาไว้มากมาย ด้วยพวกมันเหล่านั้น หากไม่เปิดร้านอาหารคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ยังไม่พูดถึงว่าตัวอู๋ฝานเองก็มีทักษะการทำอาหารดีเยี่ยม ไม่เปิดร้านอาหารถือเป็นเรื่องเสียของอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ว่าหากเขาต้องการเปิดร้านอาหาร อู๋ฝานก็ไม่อาจเป็นเชฟเพียงคนเดียวได้ เว้นแต่จะคิดอยากทำร้านขนาดเล็กมาก แนวคิดการฝึกฝนเชฟขึ้นมาเสียตอนนี้เป็นเรื่องดี และหลิวอี้เตาก็เป็นตัวเลือกที่ดี

หลิวอี้เตาเคยเป็นเชฟใหญ่ของร้านคัลเลอร์แมน ด้วยระดับดังกล่าว รวมกับความเป็นมืออาชีพของตัวเขา ภายหน้าอีกฝ่ายย่อมได้เป็นเชฟใหญ่ของร้านอาหารที่เขาเปิดขึ้นเองได้อย่างแน่นอน

“ตกลงครับ ไม่มีปัญหา!” ส่วนคำขอของอู๋ฝาน หลิวอี้เตาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่เพียงมีท่าทีหยามเหยียดใด แต่ยังกระตือรือร้นเสียด้วยซ้ำ

อู๋ฝานค่อนข้างพึงพอใจต่อการตอบรับจากการเป็นเชฟใหญ่ในภัตตาคารชื่อดัง สู่การเป็นเชฟของร้านแผงลอยบาร์บีคิว สถานะนั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด คนปกติย่อมไม่มีทางยอมรับความต่างนี้ได้ไหว แม้กระนั้น หลิวอี้เตาที่ไม่มีแม้ร่องรอยการบ่นใดถือว่าหาได้ยาก

หลิวอี้เตาไม่ใช่คนไกลห่างจากการทำอาหาร แม้ว่าเป็นบาร์บีคิว ด้วยเขาช่วยเหลือ อู๋ฝานรู้สึกได้ชัดว่าผ่อนคลายได้มากขึ้น ไม่ได้เหนื่อยล้าเหมือนดังเช่นก่อนหน้านี้

บางครั้ง อู๋ฝานจะขอให้หลิวอี้เตาช่วยปิ้งบาร์บีคิว ขณะเดียวกันก็คอยอธิบายเรื่องของบาร์บีคิวไปด้วย หลิวอี้เตารับฟังอย่างตั้งใจ ทักษะการทำอาหารล้วนเชื่อมโยงถึงกันหมด บาร์บีคิวเป็นการทำอาหารที่เหมือนกับอีกหลากหลายอาหาร ส่วนสำคัญหลักไม่ต่างกัน ขณะนี้อู๋ฝานบอกเล่าออกไป หลิวอี้เตาย่อมตั้งใจฟังและเรียนรู้

“เถ้าแก่ เขาจะทำได้หรือ พวกเรากินแต่บาร์บีคิวของเถ้าแก่นะ”

“ใช่แล้ว พวกเรามาที่นี่เพื่อกินฝีมือของคุณนะเถ้าแก่ ถ้ายุ่งเกินไป พวกเราก็รอได้”

“ใช่แล้ว ฉันก็คิดเหมือนกัน”

อู๋ฝานขอให้หลิวอี้เตาช่วยในเรื่องการปิ้งย่าง แต่บรรดาลูกค้ามีความเห็นต่าง สาเหตุที่พวกเขาอยากกินฝีมือของอู๋ฝาน จนถึงขนาดต่อแถวรอคอย ก็เพราะฝีมือของอู๋ฝาน ขณะนี้อู๋ฝานขอให้คนอื่นช่วยปิ้งย่างให้ พวกเขาจึงกลัวว่ารสชาติจะไม่อร่อยเท่าที่อู๋ฝานทำ อย่างไรแล้ววัตถุดิบและเครื่องเทศของบาร์บีคิวก็คล้ายคลึงกัน รสชาติที่แตกต่างจึงเป็นในด้านของฝีมือ คนอื่นทำจะไม่อร่อยเท่าที่อู๋ฝานทำ

“ไม่ต้องกังวลนะครับ ฝีมือเขาไม่แย่อย่างแน่นอน” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “พวกคุณลองทายสิครับ ว่าก่อนหน้านี้เขาทำงานที่ไหน?”

“ที่ไหน?”

“คัลเลอร์แมน! นอกจากนี้ยังเป็นเชฟใหญ่ของที่นั่น คิดว่าฝีมือการทำอาหารของเขาจะแย่ไหมล่ะครับ?”

“คัลเลอร์แมน? ไม่จริงน่า?”

“นั่นสิ ถ้ามาจากคัลเลอร์แมนนั่น จะมาเป็นเชฟทำบาร์บีคิวที่นี่งั้นหรือ?”

“ฉันขอไม่เชื่อ”

แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะเคยไปคัลเลอร์แมน แต่ไม่มากก็น้อยต้องเคยได้ยินชื่อเสียง อย่างไรแล้วมันก็ถือเป็นหนึ่งในภัตตาคารที่ดีที่สุดในเจียงโจว เชฟใหญ่ของที่นั่น ในความเห็นของคนส่วนใหญ่ ย่อมระดับสูงและมีสถานะพร้อมกับความสามารถ อย่างนั้นแล้วจะมาปิ้งบาร์บีคิวที่ร้านแผงลอยข้างถนนได้อย่างไร?

“ฮึ่ม! คุยโวแลบลิ้นไม่กลัวเห็นฟัน!”

“ถูกต้องแล้ว โกหกแบบนี้กันได้ยังไง? คิดว่าหลอกเด็กอยู่หรือ?”

“คนหนุ่มสมัยนี้นี่เหลือเกิน คิดว่าทำธุรกิจยังไงก็ได้ แค่อาศัยคำคุยไปเรื่อย”

ไม่เพียงแต่บรรดาลูกค้า แต่แม้กระทั่งเถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวใกล้เคียงก็ยังไม่เชื่อคำของอู๋ฝาน พวกเขามองว่ามันก็แค่วิธีการที่อู๋ฝานคิดอยากดึงดูดความสนใจของลูกค้า เพื่อเรียกลูกค้าให้เข้าร้านมากขึ้นก็เท่านั้น

*หลิวอี้เตา แปลว่า หนึ่งมีดประหาร