ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล

ตอนที่ 19 พันธมิตร
ยามบ่าย ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง
อวิ๋นม่านฟื้นขึ้นมา มองเห็นฉินเทียนกำลังนั่งอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำ นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้าฟื้นแล้ว” ฉินเทียนหันกลับมายิ้มให้
ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีดุจผลเชอร์รี่ นางรู้สึกละอายและตำหนิตนเอง มันก็แค่การต่อสู้มิใช่หรือ? แม้แต่โลหิตหลั่งไหลเพียงเล็กน้อย นางก็ไม่อาจรับมือได้แล้ว
ทุกคราที่นางต้องต่อสู้กับผู้คน นางมักกังวลว่าจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ นางรู้สึกไม่ดีทุกครั้งยามเห็นคนเจ็บปวด นี่เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่อาจหาวิธีมาแก้ไขได้
ในโลกใบนี้ ผู้คนให้ความเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่ง ไม่มีผู้ใดมีใจเป็นห่วงศัตรู กระทั่งตอบโต้กลับไปนางก็ยังไม่อาจทำได้ แม้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน จิตใจของนางก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะสร้างบาดแผลให้อีกฝ่าย
หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันกับอวิ๋นม่าน ฉินเทียนคิดว่านี่เป็นนิสัยถูกเพาะสร้างขึ้นตั้งแต่เด็กจนยากเกินแก้ไข บางทีนางอาจจะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด กังวลในบาดแผล ห่วงใยผู้อื่น ฉินเทียนไม่อาจเข้าใจได้ กระนั้นเขาก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่ง นางจะไม่แทงเขาจากทางด้านหลัง
“ไปล่าสัตว์ปีศาจกันต่อเถอะ” ฉินเทียนลุกขึ้นก้าวออกไปจากถ้ำ
“รอข้าด้วยสิ!” อวิ๋นม่านรีบลุกขึ้นติดตามเขาไป
………………………………………………..
“ฟู่…..ฟู…..ฟู่ว…” (เสียงหอบหายใจ)
“ฉินเทียน! ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! รอก่อน ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
ฉินหยางหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ มันพิงต้นไม้หอบหายใจอย่างหนักหน่วง เสื้อผ้าบริเวณหน้าอกอาบย้อมไปด้วยโลหิต เมื่อเห็นโลหิตที่หลั่งไหลออกมา แววตาของมันก็แวบขึ้นด้วยความโกรธแค้นและชิงชัง
มันหลบหนีจากมาโดยไม่หยุดพัก ขณะที่โลหิตยังคงหลั่งไหลออกมาไม่หยุด บาดแผลของมันลึกจนเห็นกระดูก
เมื่อพลังปราณของมันฟื้นฟูกลับมา มันก็ไม่ได้หลบหนีอีก สภาพของมันตอนนี้ราวกับสุนัขสูญเสียเจ้าของ นี่สร้างความอับอายให้มันเป็นอย่างมาก ชั่วชีวิตของมันไม่เคยต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกทำให้มันลืมเลือนความเจ็บปวดไป ทั้งหมดทั้งมวลเหลือเอาไว้เพียงความเกลียดชัง
มันนำเม็ดยาฟื้นฟูออกมากลืนและนั่งลงเข้าณาน มันต้องเร่งฟื้นฟูพลังปราณกลับมาโดยเร็วที่สุด การต้องอยู่ภายในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจโดยไร้ซึ่งพลังปราณก็ดุจดังวิหคไม่มีปลีก
“นี่ไม่ใช่ฉินหยางหรอกรึ?”
สองตาของฉินหยางลืมขึ้นโดยพลัน มันสะกดกลั้นอาการเจ็บปวดลุกขึ้นยืน “ฉินคุน…”
ผู้ที่มาถึงนี้ก็คือ ฉินคุน มันกำลังตามหาฉินเทียนเพื่อหวังจะล้างแค้น
ที่เบื้องหลังของฉินคุนเป็นสมาชิกสายนอกห้าคน ทั้งหมดเป็นคนที่มันนำมา ตราบเท่าที่พวกมันสามารถสังหารฉินเทียนได้ พวกมันก็จะได้รับทักษะระดับต่ำและมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของตระกูลฉิน
ข้อเสนอนี้เย้ายวนเกินต้านทาน หกกลุ้มรุมหนึ่ง พวกมันเชื่อว่างานครั้งนี้เรียบง่ายดุจปลอกกล้วยเข้าปาก
มองดูสภาพของฉินหยางแล้ว ฉินคุนก็หัวเราะออกมา “ช่างหายากนักที่จะได้เห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ เจ้าไปพบกับผู้ใดมา? เป็นตัวประหลาดฉินเฟิงหรือ?”
พวกมันทั้งคู่ต่างเป็นบุตรของผู้อาวุโสของตระกูล พวกมันแทบจะไม่เคยได้ติดต่อกัน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ก้าวล่วงธุระของอีกฝ่าย ดั่งน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แต่เมื่อเห็นฉินหยางที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตแล้ว มันก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้
กระนั้นมันก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ผู้อื่นอาจจะไม่ทราบ แต่ระดับของฉินหยางยังเหนือล้ำกว่ามัน ทั้งยังเจ้าแผนการและมักกระทำการด้วยความระมัดระวัง ตั้งแต่ยังเด็ก มันไม่เคยต้องพ่ายแพ้หมดรูปมาก่อน ดังนั้นสภาพของมันตอนนี้จึงทำให้รู้สึกเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ
ตัวอันตรายเพียงหนึ่งเดียวในการแข่งขันครั้งนี้ก็คือ ฉินเฟิง หรือว่าฉินหยางจะเผชิญกับตัวประหลาดนั้น?
ฉินหยางไม่ได้กล่าวตอบ มันกำลังคิดหาทางรับมือกับฉินคุน
การเข่นฆ่ากันภายในการแข่งขันถือเป็นเรื่องปกติ หากว่ามันตกตายที่นี่ แม้แต่บิดาของมันก็ไม่อาจทำอย่างไรได้ นี่เป็นกฏที่เหล่าบรรพชนได้กำหนดเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ไม่อาจแทรกแซงเข้าไปได้
“วางใจเถอะ ข้าไม่สังหารเจ้าหรอก” ฉินคุนทราบว่าฉินหยางกำลังวิตกเรื่องใดอยู่ เพื่อที่จะสังหารฉินเทียนแล้ว มันไม่อาจใช้พลังปราณสิ้นเปลือง แม้ว่าฉินหยางดูเหมือนจะกำลังบาดเจ็บ แต่ผู้ใดจะทราบว่ามันใช่หลุมพรางหรือไม่ บุคคลชั่วร้ายนี้ไม่ว่าสิ่งใดก็กระทำได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ฉินหยางก็ยิ่งระแวดระวังขึ้น มันคงแปลกไปแล้วหากว่ามันจะไว้ใจผู้อื่นโดยง่าย
“เอาเถอะ พวกเราไม่รบกวนเจ้าแล้ว” ฉินคุนมองดูฉินหยางอย่างเหยียดหยาม “พวกเราไป”
“รอเดี๋ยว” ฉินหยางผ่อนลมหายใจ มันประเมินได้แล้วว่าฉินคุนไม่ได้คิดจะสังหารมัน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ต้องการจะฆ่าแกงกันแล้ว พวกมันก็สามารถกลายเป็นพันธมิตรชั่วคราวได้เมื่อทั้งคู่ต่างมีเป้าแค้นเดียวกัน
ฉินหยางทราบว่าฉินคุนพ่ายแพ้ต่อฉินเทียนเพียงหนึ่งกระบวนท่าที่ลานฝึกฝีมือ จากความเข้าใจที่มันมีต่อฉินคุน มันทราบว่าฉินคุนจะต้องไม่ยอมกล้ำกลืนความอัปยศในครั้งนั้นเอาไว้
ฉินเซี่ยงเทียนมักหาโอกาสสร้างความลำบากให้ฉินเทียนอยู่เสมอ มันทราบว่าที่ฉินเทียนเข้าร่วมในการแข่งขันนี้มีเป้าหมายเพียงหนึ่ง นั่นก็คือ สังหารฉินเทียน
เห็นได้ชัดว่าความเกลียดชังของฉินหยางต่อฉินเทียนนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินคุนเลย
ฉินคุนหันกลับมา “มีอะไรหรือ?”
“ข้าทราบว่าฉินเทียนอยู่ที่ใด” ฉินหยางเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา เมื่อพวกมันร่วมมือกัน การสังหารฉินเทียนก็กลายเป็นง่ายดุจบี้มดปลวก
มันต้องการฟื้นฟูเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยหาโอกาสลงมือ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว
ความแข็งแกร่งของฉินคุนไม่แตกต่างจากมันมากนัก และเมื่อรวมกับผู้ฝึกตนขั้นที่ห้าอีกห้าคนด้วยแล้ว ฉินเทียนย่อมไม่อาจหนีรอดไปได้
ดังนั้นน้ำเสียงของฉินหยางจึงเป็นเชิงเสนอให้ร่วมมือกัน
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร” ทั้งฉินคุนและมันล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นการจับมือเป็นพันธมิตรย่อมไม่เสียหายอะไร
อย่างไรเสียฉินเทียนก็ยังเป็นตัวอันตราย
ด้วยเหตุนั้นฉินหยางจึงเข้าร่วมกับทั้งหก ฉินคุนคอยคุ้มครองในขณะที่ฉินหยางเข้าณานฟื้นฟู
ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ล้วนอยุ่ในระดับต่ำกว่าขั้นก่อวิญญาณ พันธมิตรกลุ่มนี้ประกอบด้วย ผู้ฝึกตนขั้นที่เจ็ด สองคน ดังนั้นกลุ่มของพวกมันจึงอาจจะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดภายในการแข่งขันครั้งนี้แล้ว
ภายในหลุมต้นไม้ไม่ห่างไกลจากฉินหยาง ดวงตาคู่หนึ่งได้หายเข้าไปในความมืดมิด
ผู้ที่อยู่ในความมืดนี้ก็คือฉินเฟิง ผู้ฝึกตนขั้นที่เก้าซึ่งมีรังสีปราณแปดชั้น มันเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นก่อวิญญาณ
ในยามกลางวันมันจะพักผ่อน ขณะที่ยามราตรีจึงค่อยออกล่า
มันได้ยินการสนทนาระหว่างฉินหยางและฉินคุนอย่างชัดเจน กระนั้นตัวมันที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดย่อมไม่ลดตัวไปปรากฏกาย
เป้าหมายของมันก็คือการเป็นที่หนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ตอนนี้มันรวบรวมแต้มการล่าได้มากกว่าหนึ่งพันแต้มแล้ว มันเชื่อว่าไม่ผู้ใดเหนือล้ำกว่ามัน
พิจารณาเรื่องราวต่างๆแล้ว มันไม่มีกะใจจะเสียเวลาไปยุ่งเกี่ยว
“ตระกูลฉิน…” ในความมืดมิด ฉินเฟิงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้และยิ้มขมขื่นออกมา มันรู้สึกไม่มีความสุขกับสถาการณ์ในปัจจุบันของตระกูลฉินยิ่ง หากแต่มันก็ทราบได้ว่า ทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คือ ตัวมันจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
วาจาจำเป็นจะต้องใช้ความแข็งแกร่งเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยัน
ยังคงเหลือเวลาอีกสามปี ภายในเวลาสามปีนี้ มันจะต้องไปให้ถึงขั้นกลั่นวิญญาณ มิเช่นนั้นมันก็จะไม่มีโอกาสหลงเหลือแล้ว
…………………………………………………
ภายในสามปี ฉินเฟิงก็จะมีอายุครบสิบแปดปี และนั่นจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในการประเมินของมัน หากว่ามันสามารถอยู่ในลำดับแรก มันก็จะมีคุณสมบัติในการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งประมุขของตระกูล
หากว่ามันประสบความสำเร็จ มันก็จะกลายเป็นประมุขคนต่อไป
นี่ก็คือเป้าหมายของมัน