บทที่ 46 ไม่ได้เจอกันนาน

เยี่ยนหนิงลั่วยามจริงจังนั้นน่ากลัวยิ่ง สำนักละอองหมอกจัดการประลองระหว่างศิษย์วงในอยู่บ่อยครั้ง นางสามารถคว้าอันดับหนึ่งได้ในทุกปี อีกทั้งท่านเจ้าสำนักยังจัดการฝึกนอกสำนักอย่างเข้มงวด ดังนั้นประสบการณ์การต่อสู้ของนางย่อมมีมากกว่าเยว่ซินเหยียน สุดท้ายเมื่อก้าวพลาดเพียงหนึ่งก้าว เยว่ซินเหยียนก็ถูกซัดเข้าที่ไหล่ เลือดในกายเดือดพล่าน ส่งผลให้ร่างของนางร่วงลงกลางอากาศ

เยี่ยนหนิงลั่วหยุดมือทันทีที่โจมตีโดนอีกฝ่าย นางยังแสดงคุณธรรมด้วยการเดินไปยื่นมือให้อีกฝ่ายอีกด้วย “ขอบคุณองค์หญิงเก้าที่ให้ข้าได้เป็นฝ่ายชนะ”

เยว่ซินเหยียนมึนงงไปชั่วครู่ หกแต่ก็ยื่นมือไปให้นางช่วยดึงตัวขึ้น นางไม่รู้สึกหดหู่ที่พ่ายแพ้แม้แต่น้อย หากแต่กลับเผยรอยยิ้มหวานออกมา “เยี่ยนหนิงลั่ว เจ้าแข็งแกร่งมากจริง ๆ ชมชื่ออัจฉริยะโดยแท้”

ถูกชมเช่นนี้ เยี่ยนหนิงลั่วกลับไร้ความเย่อหยิ่ง “ข้าอายุมากกว่าองค์หญิงสองปี ยามองค์หญิงเก้าอายุเท่าข้า อาจจะแข็งแกร่งกว่าข้าในตอนนี้ก็เป็นได้”

เยว่ซินเหยียนยิ้ม “เช่นนั้นต่อไปเรามาประลองกันอีกนะ”

“ตกลง” เยี่ยนหนิงลั่วตอบตกลง จากนั้นหันไปมองชิงเยี่ยหลี แล้วก็พบว่าเขาไม่ได้ใส่ใจดูการประลอง หากแต่นั่งเหม่อลอยเท่านั้น เยี่ยนหนิงลั่วเห็นเช่นนี้ก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้

เป็นเยว่ซินเหยียนที่จูงมือนางเดินมายังโต๊ะตนเอง ก่อนกล่าวว่า “จากนี้ไป เจ้าเป็นเพื่อนของเยว่ซินเหยียนแล้ว” พูดจบก็หันไปทางชิงเยี่ยหลี “พี่เยี่ยหลี นางเป็นอัจฉริยะจริง ๆ! ฮ่า ๆ ในที่สุดข้าก็พบสตรีที่แข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว”

เมื่อต้องยืนอยู่ห่างจากบุรุษที่ตนพึงใจไม่ไกลนัก ร่างทั้งร่างของเยี่ยนหนิงลั่วพลันชะงักค้าง หากไม่ใช่เพราะนางเกิดมามีนิสัยเฉยชาสามารถควบคุมสีหน้าตนเองได้แล้วล่ะก็ นางคงใจเต้นแรงใบหน้าแดงก่ำ จนกลายเป็นตัวตลกตัวหนึ่งเป็นแน่

ชิงเยี่ยหลีเพียงเงยหน้าขึ้นมองหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นส่งเสียง อืม ว่ารับรู้โดยไม่เอ่ยอันใด

เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเขา เยว่ซินเหยียนก็หันไปเอ่ยเป็นเชิงขอโทษ “พี่เยี่ยหลีก็เป็นเช่นนี้ ถึงท่าทางจะดูเย็นชา แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง”

เยี่ยนหนิงลั่วไม่ใส่ใจกับท่าทางเย็นชาเช่นนั้นแม้แต่น้อย อย่างไรนั่นก็คือตัวตนของเขา นางมองตรงไปยังเขา จากนั้นเผยรอยยิ้มน่ามองออกมา “ชิงเยี่ยหลี ไม่ได้เจอกันนาน”

รอยยิ้มโฉมสะคราญที่งามล่มเมืองจนถึงอาจล่มแคว้นได้

ยิ่งเป็นรอยยิ้มจากเยี่ยนหนิงลั่วผู้มีรูปโฉมงามหาผู้ใดเทียบเทียม ทั้งยังมีนิสัยเย็นชา รอยยิ้มที่หาได้ยากเช่นนี้มีมูลค่าดั่งสมบัติล้ำค่า

รอยยิ้มจริงใจกระจ่างใสเช่นนี้ แม้แต่อวี้เซียวหนิงที่เป็นสหายสนิทใกล้ชิดกับนางยังไม่เคยเห็นมาก่อน

คำพูดไร้พิธีการของนางเพียงหนึ่งประโยคส่งผลให้ทุกคนตกตะลึง

นางเรียกชื่อจริงของชางไห่อ๋อง! ทั้งยังใช้น้ำเสียงสนิทสนมยิ่ง เหมือนสองคนนี้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้นานแล้ว

หากแต่รอยยิ้มของนางก็น่าคิดนัก คู่หมั้นของนางคือองค์รัชทายาทมิใช่หรือ? ทว่าสายตานางที่ใช้มองบุรุษผู้นั้นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เป็นสายตาที่ใช้มองบุคคลอันเป็นที่รัก…..

ซวนหยวนเช่อเห็นภาพฉากนั้นแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่มีการลอบสังหารชางไห่อ๋อง เมื่อเยี่ยนหนิงลั่วได้ยินเสียงเขา นางก็รีบออกมาจากด้านในเรือทันที ท่าทางแตกตื่น ทั้งยังถามหาบุรุผู้นั้นด้วย

หมายความว่านางมีความรู้สึกต่อชางไห่อ๋อง…..

เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้ยินใครเรียกชื่อเขาเช่นนี้ นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีพลันทะมึนลงเล็กน้อย จากนั้นมองตรงไปยังเยี่ยนหนิงลั่ว “เรารู้จักกันหรือ?”

เวลากว่าแปดปีผ่านไป นี่เป็นคำพูดคำแรกที่เขาเอ่ยกับนาง

รอยยิ้มมุมปากเยี่ยนหนิงลั่วยิ่งลึกขึ้น “รู้จักสิ เรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน”

ชิงเยี่ยหลีขมวดคิ้ว ไม่อาจจำหญิงสาวตรงหน้าได้ หากแต่ยังสงสัยไม่เท่าไหร่ นางก็เอ่ยเสียงนุ่มขึ้นมาก่อน “แปดปีก่อน ที่ภูเขาหลังสำนักละอองหมอก ท่านได้รับบาดเจ็บ”

ได้ยินดังนั้น ชิงเยี่ยหลีจึงจำได้ในทันที

ตอนนั้นเขาถูกพลังตนเองสะท้อนกลับ เนื่องจากถูกลอบโจมตีในตอนที่กำลังทะลวงขั้นการบำเพ็ญเพียร บังเอิญหลุดเข้าไปในค่ายกลป้องกันแห่งหนึ่ง เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่นำทางเขาออกมา และพาเขาไปซ่อนยังกระท่อมหลังเล็กบนหุบเขาเพื่อฟื้นพลัง เขาพักอยู่ที่นั่นราวห้าวัน หลังบาดแผลหายเขาก็จากไป

ชิงเยี่ยหลีพลันหลุดจากภวังค์ความคิด นัยน์ตาสีเขียวเข้มมองประเมินหญิงสาวตรงหน้า “เป็นเจ้าหรือ?”

“เป็นข้า” เยี่ยนหนิงลั่วพยักหน้าก่อนคลี่ยิ้ม

“เช่นนั้นชางไห่อ๋องกับหนิงเอ๋อร์….. รู้จักกันแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ชิงหลานที่มองดูเหตุการณ์จากด้านบนมาสักพักเอ่ยขึ้น

“เมื่อหลายปีก่อนข้าถูกลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ได้องค์หญิงหนิงเฟิ่งยื่นมือเข้าช่วยไว้” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยขึ้นสีหน้าไร้อารมณ์

“อ้อ? เป็นเช่นนั้นหรือ? เหตุใดหนิงเอ๋อร์จึงไม่เคยบอกเลยเล่าว่ารู้จักกับชางไห่อ๋อง?” ฮ่องเต้ชิงหลานแกล้งทำทีเป็นไม่พอใจ หากแต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหญิงสาวจะรู้จักกับชางไห่อ๋อง ทั้งยังเคยช่วยชีวิตเขามาก่อน

เยี่ยนหนิงลั่วยิ้มบาง “ข้าไม่ได้ทำอะไรมาก จึงคิดว่าข้าไม่ได้ช่วยเหลือสิ่งใดมากนัก ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าเขาคือชางไห่อ๋อง เขาบอกชื่อกับข้า แต่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ฮ่องเต้ชิงหลานพยักหน้าเข้าใจเรื่องราว หากแต่ในใจกลับมีความคิดบางอย่าง

ชางไห่อ๋องเป็นผู้ที่ไม่สนใจผู้ใด ลักษณะนิสัยเย็นชายิ่งนัก ทิ้งระยะห่างกับผู้คน ทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องความโหดร้ายเลือดเย็น หลายปีมานี้ นอกจากองค์หญิงเก้าเยว่ซินเหยียน ก็ไม่อาจมีสตรีอื่นที่กล้าเข้าใกล้บุรุษผู้นี้ ไม่ว่าผู้คนจะเคารพเทิดทูนเขาเช่นไร หากแต่ความโหดเหี้ยมของเขาก็ทำให้มีทั้งคนรักและคนเกลียด

ทว่าหนิงเอ๋อร์กลับสามารถเรียกชื่อจริงเขาได้ อย่างไม่เกรงกลัว พูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งท่าทางสำรวม ดังนั้นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่คงไม่ใช่เพียงคนรู้จักธรรมดา

ดูแล้วเขาสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้

ในที่สุดเยว่ซินเหยียนก็หลุดออกความภวังค์ความสับสน “พี่เยี่ยหลีรู้จักองค์หญิงหนิงเฟิ่งด้วย! ไม่เห็นท่านเคยเล่าให้ข้าฟังมาก่อนเลย!”

ชิงเยี่ยหลีไม่พูดอะไร เป็นเยี่ยนหนิงลั่วที่เอ่ยตอบ “ตอนนั้นข้ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่แต่ในสำนักละอองหมอก เขาจะรู้ว่าข้าเป็นใครได้อย่างไร?”

“นั่นก็จริง” เยว่ซินเหยียนยิ้มแล้วหยักหน้า “แต่รู้จักกันก็ดีแล้ว ได้ยินว่าเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญของแคว้นชิงหลานกำลังจะมาถึง ข้าตั้งตารอชมเทศกาลนี้ คงจะมีอะไรให้ทำเยอะแยะ ต้องสนุกมากเป็นแน่!”

“อืม หากองค์หญิงไม่รังเกียจ อีกสักสองสามวันข้าขอพาพวกท่านชมแคว้นชิงหลาน ได้สัมผัสวิถีความเป็นอยู่ของชาวเมืองได้หรือไม่” ในคืนนี้เยี่ยนหนิงลั่วยิ้มมากกว่าเวลาสิบปีที่ผ่านมาเสียอีก เป็นรอยยิ้มงามอย่างหาที่ติไม่ได้ หากเทียบกับภาพหญิงงามผู้เย็นชาในอดีต นางในคืนนี้ดูน่าเข้าหากว่าเป็นไหน ๆ

เหล่าแขกในงานต่างพากันกระซิบกระซาบ คืนนี้องค์หญิงหนิงเฟิ่งเป็นอะไรไป? ปกตินางเย็นชาไม่ใส่ใจสิ่งใด หากแต่คืนนี้กลับอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งนัก เป็นแบบนี้ผิดวิสัยยิ่ง

นัยน์ตาซวนหยวนเช่อเจือแววยิ้มเยาะ อา คิดว่านางเกิดมาก็หน้าตาเย็นชาแบบนั้นเสียอีก เป็นเพราะนางยังไม่เจอบุรุษที่พึงใจนี่เอง หากแต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่นางพึงใจคือชางไห่อ๋อง บุรุษผู้นั้นมีความสามารถทำให้สตรีลุ่มหลง หากแต่เยี่ยนหนิงลั่วที่เฉลียวฉลาดกลับตกหลุมรักคนไร้หัวใจเช่นนี้ ต่อไปคงมีแต่ความทุกข์

ยามเมื่อการประลองระหว่างหญิงสาวจบลง บรรยากาศภายในงานเลี้ยงก็ดูเป็นกันเองขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นนางรำรูปร่างอ่อนช้อยก็ขึ้นมายังแท่น เสียงดนตรีไพเราะดังขึ้น นางรำโบกสะบัดแขนเสื้อพลิ้วไสว ก่อเกิดเป็นภาพสวยงามน่าชม

“สกุลของชางไห่อ๋อง….. เหมือนของเราเลย!” ชิงเป่ยพึมพำกับตนเอง จากนั้นหันไปหาคนข้างตัว “พี่ ท่าน….. เอ๋? ไปไหนแล้ว??”

ที่นั่งจ้างตัวเขาว่างเปล่าไร้เงาคน ชิงเป่ยเบิกตากว้าง เมื่อครู่นางยังนั่งอยู่ตรงนี้ เหตุใดจู่ ๆ จึงหายไปเช่นนี้? ทั้งยังไม่บอกกล่าวกับเขาสักคำ

เด็กหนุ่มเม้มปากครุ่นคิด คืนนี้เขาคงจะตื่นเต้นไปหน่อยเมื่อได้เห็นคนที่ตนเทิดทูนบูชามานาน ชิงเป่ยไม่คิดสิ่งใดอีก นั่งจ้องมองบุรุษที่นั่งก้มหน้าจิบเหล้าในมือไม่แสดงสีหน้าใดออกมา

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ด้านนอกวังเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงที่ดังมาให้ได้ยินเบา ๆ

ท่ามกลางฤดูร้อนเช่นนี้ ลมเย็นที่โชยมายามค่ำคืนสมควรพัดพาเอาความรู้สึกสบายมาด้วย หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ลมที่พัดมาจึงรู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อย ยามเมื่อลมเย็นเช่นนี้พัดผ่านร่าง ส่งผลให้จิตใจเบื่อหน่ายใกล้หลับเต็มทนของนางตื่นตัวขึ้น

นัยน์ตาเย้ายวนหรี่ลงเล็กน้อยในตอนที่แหงนหน้ามองจันทร์ ภายในใจนางมีความคิดแล่นเข้ามาไม่หยุด

เหตุใดจึงรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีเช่นนี้?

เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากคนจากแคว้นหลินยวนเดินทางมาถึงเสียด้วย หากแต่ดูแล้วไม่น่ามีสิ่งใดเชื่อมโยงกัน เช่นนั้น….. นางดึงดูดสายตาผู้ใดมากันแน่? นางใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบมาโดยตลอด จำไม่ได้ว่าเคยสร้างศัตรูไว้ที่ใด!

“ฮัดชิ้ว~” นางตัวสั่น พลันจามเสียงเบาออกมา

ชิงอวี่ถูจมูกตนอย่างแรง สบถออกมาเล็กน้อย “บ้าเอ๊ย! เจ้าบ้าที่ไหนนินทาลับหลังข้า?”

————

ณ เขตตะวันออกบนแดนเมฆาสวรรค์ ยังมีสำนักที่ตั้งขึ้นจากตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปี

ตระกูลแห่งนี้มีฝีมือด้านการปรุงยาอันล้ำเลิศ ทั้งยังมีคุณธรรมสูงส่ง รักษาชีวิตคนใกล้ตายเยียวยาคนเจ็บ ช่วยเหลือคนจน ขจัดความยากจนข้นแค้น ผู้คนต่างยกย่องการกระทำอันมีคุณธรรมและเมตตาธรรมเช่นนี้ ตระกูลแห่งนี้คือตระกูลเซียนแพทย์สกุลไป๋

เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักเซียนแพทย์คือเจ้าสำนักคนที่สิบเจ็ด มีนามว่า ไป๋ชิว มีฝีมือการรักษาคนขั้นสูง เป็นเซียนแพทย์ที่ใส่ใจคนทั้งใต้หล้า และเป็นบิดาของไป๋จือเยี่ยน

หากแต่พ่อลูกที่ไม่ได้พบหน้ากันนานหลายปี การกลับมาเจอกันครั้งนี้ดูท่าจะไม่ใช่การพบกันที่มีความสุขเท่าไรนัก

“เฮ้ย! ท่านพ่ออย่าเพิ่งไป ให้ข้าอธิบาย…..”

‘ปัง!’

ประตูโบราณขนาดใหญ่ของสำนักเซียนแพทย์ปิดลงเสียงดังปัง เกือบกระแทกหน้าไป๋จือเยี่ยน

ไป๋จือเยี่ยนหดหู่ใจนัก หันหลังเดินออกมาด้วยจิตใจรวดร้าว “จะทำเช่นไรต่อ? ผ่านประตูเข้าไปยังไม่ได้ ไหนเจ้าว่าไม่มีปัญหาอย่างไรเล่า?”

ด้านหลังเขาคือบุรุษในชุดสีม่วงสะดุดตา ดูทั้งหรูหราและน่าเกรงขาม ใบหน้าเขาหล่อเหลายิ่งนัก คนผู้นี้คือโหลวจวินเหยาไม่ใช่หรือ?

“อืม….. ดูท่าพ่อเจ้า….. จะไม่อยากเห็นหน้าข้า ดังนั้นจึงไม่อยากเห็นหน้าเจ้าไปด้วย” โหลวจวินเหยาลูบคางตนก่อนเอ่ยสรุป

“บัดซบเอ๊ย ต้องให้เจ้าบอกเรื่องนั้นด้วยหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนสบถออกมา

“เช่นนั้นก็บุกเข้าไป” โหลวจวินเหยาเอ่ยขึ้นเสียงสบาย

ไป๋จือเยี่ยนกลอกตาใส่เขา “เจ้าคิดว่าสำนักเซียนแพทย์เป็นสถานที่ที่ใครคิดอยากบุกเข้ามาก็ทำได้หรือ? ที่นี่ไม่ใช่เขตแดนของเจ้า ด้านในอาจมีกับดักซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน ข้าไม่ได้กลับมานานหลายปี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นเดินนำเข้าไป เขาวางมือหนาบนบานประตู ออกแรงผลักเล็กน้อย ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิดออกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เมื่อครู่ไป๋จือเยี่ยนทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเปิดประตูบานนั้น หากบานประตูไม่ขยับแม้เพียงนิด

หลังจากเปิดประตูเข้ามาแล้ว ด้านในเงียบสงบยิ่ง ไร้เงาผู้คน กลายเป็นสถานที่รกร้าง ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่มาก่อน