บทที่ 47 ค่ายกลหมอกผูกวิญญาณ
มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่ามีค่ายกลหนึ่ง ถูกเปิดไว้เพื่อใช้ทดสอบพวกเขาโดยเฉพาะ
โหลวจวินเหยเลิกคิ้วขึ้น “ดูท่าครั้งนี้ท่านพ่อของเจ้าจะเล่นจริง ถึงเราจะฝ่าค่ายกลนี่ไปได้ อย่างไรก็ต้องถูกเฉือนเนื้อหนังออกไม่น้อย”
มันคือค่ายกลระดับสูงของเซียนแพทย์ ชื่อว่าค่ายกลหมอกผูกวิญญาณ
ซึ่งก็เหมือนตามชื่อ ด้านในจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ดังนั้นเมื่อเข้าไปภายในเจ้าจะไม่อาจรู้ทิศทางได้เลย ด้านในค่ายกลยังมีสิ่งแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นที่ทำให้ใจสับสน ดังนั้นหากมีจุดอ่อนแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านค่ายกลไปอย่างไร้รอยขีดข่วน การที่วิญญาณถูกผูกติดนั้นไม่ใช่เรื่องน่าขัน หากติดอยู่ในค่ายกลเกินหนึ่งวันจะไม่มีวันออกมาได้อีกตลอดไป
หากแต่ตอนนี้คนทั้งคู่ยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไป ความหมายของไป๋ชิวชัดเจนนัก จะอยู่หรือถอยกลับไป เป็นเจ้าเลือกเอง
“หากพวกเจ้าติดอยู่ในนั้นหนึ่งวันแล้วยังไม่ตายข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!” น้ำเสียงเจืออำนาจของชายผู้หนึ่งดังก้องอยู่รอบทิศทาง
ไป๋จือเยี่ยนไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านพ่อ ท่านมีข้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว หากข้าตายไปสายเลือดท่านก็สิ้นสุดแค่นี้นะท่านพ่อ!”
“ถ้าสำนักเซียนแพทย์มีทายาททรยศหักหลังตระกูลเช่นเจ้า ก็ปล่อยให้เจ้าตายไปยังดีเสียกว่า!” น้ำเสียงที่แว่วดังนั้นทั้งดุดันทั้งไร้ความเห็นใจ เมื่อพูดจบก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก
ไป๋จือเยี่ยนอยากกระทืบเท้าระบายความโกรธนัก ท่านพ่อของเขาไร้หัวใจเกินไปแล้ว
โหลวจวินเหยาพลันยกยิ้มมุมปาก จากนั้นเดินเข้าไปด้านใน ไป๋จือเยี่ยนที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามเข้าไป ก่อนจะบ่นขึ้นด้วยน้ำเสียงขมขื่นราวกับแม่นางน้อยใจสลายผู้หนึ่ง “จวินเหยา เจ้ายอมเข้ามาจริง ๆ หากพวกเราต้องตายที่นี่ แค่ข้ายังไม่เป็นไร แต่จอมมารแห่งแคว้นกลับต้องมาตายอยู่ในค่ายกลนี่ หากข่าวแพร่ออกไปจะเสียหน้าแค่ไหน…..”
ย่างก้าวโหลวจวินเหยาพลันหยุดชะงักลง จากนั้นเหลือบมองคนที่เดินอยู่ข้างหลัง “ใครว่าเราจะตายอยู่ในนี้?”
ไป๋จือเยี่ยนชะงักไป “หรือว่าเจ้ามีแผน?”
“ไม่มี”
“เช่นนั้นจะเข้ามาในค่ายกลนี่ทำไมเล่า?!” ไป๋จือเยี่ยนเดือดดาลยิ่งนัก
โหลวจวินเหยาหันมายิ้มชั่วร้ายให้ จากนั้นเอ่ยขึ้นช้า ๆ “มีคำกล่าวที่ว่า….. คนชั่วอยู่นานพันปีไม่ใช่หรือ? แดนสวรรค์คงไม่กล้ารับตัวข้าไปหรอก” (1)
ไป๋จือเยี่ยนไม่อาจสรรหาคำใดมาต่อใด “…..” เช่นนี้ล่ะคือจวินเหยา
ยามเข้ามาด้านในแล้ว คนทั้งคู่ก็ถูกแยกจากกัน ตอนอยู่ด้านนอกค่ายกลอาจไม่เห็น หากแต่เมื่อเข้ามาด้านใน หมอกสะท้านฟ้าภายในจะกลืนกินทั้งร่าง มองไม่เห็นแม้ทางข้างหน้า ราวกับเดินเข้าไปในเขาวงกต ไป๋จือเยี่ยนจึงราวกับเป็นคนตาบอดไปในทันที
ด้านโหลวจวินเหยาดูง่ายดายกว่าเล็กน้อย นัยน์ตาปีศาจของเขาสามารถมองผ่านทุกสิ่งอย่าง และไม่อาจมีสิ่งใดรอดสายตาคู่นี้ไปได้ ภาพลวงตาเช่นนี้ไม่อาจหยุดเขาได้ เขาเอามือไพล่หลัง ค่อย ๆ ก้าวเดินไปด้านหน้า ดูท่าทางสบายใจยิ่งนัก
เส้นทางข้างหน้าพลันกระจ่างขึ้น หมอกหนาสลายหายไป ดูท่าเขาจะฝ่าค่ายกลมาได้อย่างไม่ยากเย็น หากแต่โหลวจวินเหยารู้ดีว่านี่ยังไม่สิ้นสุดเส้นทาง
ยามเมื่อจ้องมองทุ่งหิมะและธารน้ำแข็งกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เงาร่างมนุษย์หลายคนพลันปรากฏขึ้น ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาอย่างน่าสงสาร ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะชั่วร้าย เสียงเหล่านี้ดังขึ้นบาดหูไม่หยุดหย่อน ใบหน้าที่เคยผ่อนคลายของโหลวจวินเหยาชะงักค้างในพลัน
เสียงเหล่านั้นเป็นเสียงที่คุ้นหูเขานัก
เขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาตนเอง หากแต่น้ำเสียงนั่นกลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
“อย่า….. ข้าขอร้องท่าน โปรดไว้ชีวิตลูกข้าด้วย ได้โปรด…..”
เงาร่างกำยำสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งกำลังเงื้อดาบขึ้นสูง กำลังจะแทงลงมายังท้องกลมนูนของหญิงคนหนึ่ง นางไร้เรี่ยวแรงหากแต่ก็ยังใช้กำลังเฮือกสุดท้ายหลบดาบนั้น ดังนั้นจึงถูกดาบแทงลึกทะลุทรวงอก โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดเปรอะใบหน้าและลำตัวของบุรุษผู้นั้น
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้น สังหารเหล่าคนชั่ว ช่วยหญิงท้องที่เหลือเพียงลมหายใจแผ่วไว้
“ได้โปรด….. ขอร้อง….. ท่านช่วย….. ลูกของข้า…..” ลมหายใจนางแผ่วราวกับใยแมงมุมเส้นบาง มือที่ชุ่มไปด้วยเลือดของนางกุมมือบุรุษตรงหน้าไว้แน่น น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาขาดช่วง ดูท่าชีวิตนางกำลังปลิดปลิวล่องลอยไป “ข้า….. ไม่อาจรอด….. ช่วยลูกข้า….. ช่วยเขา…..
อีกฝ่ายเห็นเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูก ถึงอยากช่วยนาง แต่เขาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรหรือต้องทำอย่างไร
“ผ่า….. ท้องข้า…..” นัยน์ตาพร่ามัวของสตรีผู้นั้นพลันใสกระจ่าง เป็นนัยน์ตาที่แน่วแน่เฉียบคมจนน่าตกตะลึง
สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามที่นางบอก และผ่าเด็กออกมาจากท้องของนาง นางบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว เมื่อถูกผ่าท้องนางก็สิ้นใจในทันที
ร่างของนางถูกทิ้งไว้ท่ามกลางทุ่งหิมะแห่งนั้น พักผ่อนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นตลอดกาล ส่วนเด็กถูกนำกลับมาและได้บุรุษผู้นั้นรับเลี้ยงไว้ ก่อนนางสิ้นใจ นางบอกเขาว่าชื่อของเด็กคนนั้นคือโหลวจวินเหยา
เขาพลันดึงความคิดตนกลับมายังปัจจุบัน ความทรงจำส่วนนั้นของเขามีแต่การฆ่าฟันและความทุกข์ไม่สิ้นสุด กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างโหลวจวินเหยากลายเป็นกลิ่นอายดุดันบ้าคลั่ง นัยน์ตากลายเป็นสีแดงฉานในพลัน
หากแต่เขากลับได้สติภายในเวลาไม่นาน มุมปากยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มเยาะรอยหนึ่ง จากนั้นเดินหน้าต่อไปราวกับไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
เหตุการณ์ทุกอย่างมีสายตาที่ซ่อนอยู่คู่หนึ่งจับจ้องอยู่
เป็นไปได้อย่างไร? เขาตื่นจากภาพลวงนั่นเร็วมาก!
ความทรงจำนั่นควรจะเป็นความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คอยตามหลอกหลอนเขาอยู่ในความฝัน ทว่าเขากลับดึงจิตตนเองออกมาได้รวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร?
หรือว่าในตอนนี้ บุรุษผู้นี้ไร้จุดอ่อนใดงั้นหรือ!?
ความฝันที่ตามหลอกหลอนโหลวจวินเหยา ในอดีตมันเคยฝังลึกอยู่ภายในจิตใจไม่อาจลืมเลือน แต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้ มันไม่ส่งผลกระทบต่อเขามากอีกต่อไป เป็นเพราะหลังจากเขาตั้งแคว้นมารขึ้น เขาก็ได้กำจัดเหล่าคนที่ไล่ล่าและสังหารครอบครัวเขาไปจนสิ้น ในตระกูลหลายชั่วโคตรของมันไม่มีผู้ใดเหลือรอด พวกมันทุกคนล้วนต้องทรมาณอย่างแสนสาหัสก่อนสิ้นใจ กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
เขา โหลวจวินเหยา ไม่เคยเป็นคนดี หากผู้ใดทำให้เขาพิโรธแล้ว คนผู้นั้นก็ไม่อาจนอนหลับอย่างเป็นสุขได้อีก
บุรุษลึกลับเจ้าอารมณ์ทั้งยังนิสัยไม่เหมือนคนทั่วไปผู้นี้ไม่มีวันปล่อยให้ศัตรูตนได้ตายไวไร้ความเจ็บปวด เขาจะค่อย ๆ ละเลียดลงมือ ทำให้จิตใจพวกมันราวกับแขวนบนเส้นด้าย ไม่อาจได้มีชีวิตสงบสุขไปเป็นเวลานาน เมื่ออีกฝ่ายไม่ทันระวัง พวกมันก็จะตายอย่างลึกลับ ใบหน้าพวกมันก่อนตายถ้วนเป็นใบหน้าของคนที่หวาดกลัวสุดขีด
มีคำกล่าวที่ว่าแก้แค้นสิบปียังไม่สาย
สำหรับคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างโหลวจวินเหยา การแก้แค้นของเขาขึ้นอยู่กับอารมณ์ หรือก็คือ ไม่ว่าใครที่ล่วงเกินเขาจะต้องรู้สึกเสียใจที่ตนได้เกิดมาบนโลกใบนี้ทีเดียว
ยามที่โหลวจวินเหยามุ่งหน้าเดินต่อไป เบื้องหน้าเขาคือภาพวิวทิวทัศน์สวยงามต่าง ๆ สาวงามล่มเมืองสะเทือนแคว้น ทั้งยังเห็นยาล้ำค่าต่าง ๆ ที่สามารถเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรได้อย่างสูงส่ง หากแต่ของเหล่านั้นไม่สามารถล่อลวงจิตใจโหลวจวินเหยาได้แม้แต่นิด
จนสุดท้ายเขาก็เห็นว่าตนเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางทะเลบุปผางามตระการตาแห่งหนึ่ง ดอกไม้สีแดงงดงามผลิดอกบานเอนไหวไปตามแรงลม เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก โหลวจวินเหยาหยุดชะงักลง ใบหน้าเปลี่ยนสีในพลัน
บัดซบ หลงกลเข้าจนได้
ทิวทัศน์งดงามและโฉมงามทั้งหลายที่เขาเห็น เมื่อรวมกับทุ่งดอกอิงซู่พลันทำให้เขาเข้าใจบางอย่าง ภาพลวงเหล่านี้ปล่อยกลิ่นหอมที่เกือบจับสัมผัสไม่ได้ออกมา ในตอนนั้นเองที่พลังในร่างราวกับถูกดูดออกไป ก้าวเดินไปข้างหน้าเพียงหนึ่งก้าวยังยากเย็น
ไป๋ชิวตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทั้งฉลาดและรอบคอบ รู้ดีว่าอย่างไรเขาก็ต้องพลาดท่าเป็นแน่
โหลวจวินเหยามีสีหน้าระแวดระวัง หากแต่ในใจกำลังรีบหาทางรับมืออย่างรวดเร็ว
ค่ายกลหมอกผูกวิญญาณถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับผู้ฝึกยุทธ์อันแข็งแกร่ง พลังบำเพ็ญเพียรล้ำลึก ดังนั้นหากต่อต้าน นอกจากจะไร้ผลแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรยังจะถูกค่ายกลกดไว้ด้วย ถึงสุดท้ายจะสามารถออกมาได้ แต่ก็จะไร้พลัง กลายเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง
ชายหนุ่มร่างสูงหยุดยืนนิ่งงัน ไม่ได้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงดั่งที่บุรุษผู้ซ่อนตัวตนคิดไว้ เขาดูรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้นิสัยเขาจะเปลี่ยนไปไม่น้อย ใจเย็นและสุขุมกว่าเดิมมาก
ผู้ที่ก้าวเข้ามายังค่ายกลย่อมไม่รู้ความลับเบื้องหลัง ยิ่งต่อต้านยิ่งได้รับผลสะท้อนกลับที่รุนแรง
ถึงเขาจะได้รับผลจากพิษ จนทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอื่นใด ดังนั้นดูแล้วเขาไม่ได้ใช้พลังต่อต้าน แสดงให้เห็นว่าเขามีความเข้าใจไม่น้อย
ส่วนอีกด้าน ไป๋จือเยี่ยนดวงไม่ดีนัก
ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลเซียนแพทย์ ร่างกายเขาไม่ว่าพิษใดก็ไม่อาจกล้ำกราย ถึงจะมีความรู้ด้านการแพทย์โดดเด่นและมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจรู้ความลับของค่ายกลที่ว่ายิ่งต่อต้านยิ่งถูกกดพลัง
เขาเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดไร้ชีวิตนับไม่ถ้วนและไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย พวกมันรู้เพียงต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น นั่นคือเข้าโจมตีไป๋จือเยี่ยน อย่างไม่หยุดหย่อน
แรกเริ่มเขาก็สามารถรับมือกับพวกหุ่นได้ไม่ยากเย็น จนกระทั่งพบว่ายิ่งโจมตีรุนแรงเท่าไหร่ หุ่นเชิดเหล่านี้ยิ่งโจมตีเขากลับแรงเป็นสองเท่าของพลังที่เขาซัดไป สุดท้ายจึงได้รับบาดเจ็บหลายจุด สภาพยับเยินไม่น่าดู
เจ้าสำนักเซียนแพทย์ไป๋ชิวที่กำลังเดือดดาลกับไป๋จือเยี่ยน พลันถูกเสียงร้องหนึ่งข้างหูดึงความสนใจไป
“กินอะไรเข้าไปน่ะ!? เป็นไปได้อย่างไร!? เขาขยับได้แล้ว!!”
ถึงแม้ผู้อาวุโสสามสำนักเซียนแพทย์ไป๋หลีจะมีอายุหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังมีนิสัยชอบส่งเสียงดังและตื่นตกใจง่าย เมื่อเห็นสิ่งใดน่าประหลาดใจก็จะร้องเสียงดังขึ้นมา นัยน์ตาเบิกกว้าง
ไป๋ชิวมัวแต่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปกับบุตรชายไร้ประโยชน์ของตน ไม่เห็นสิ่งที่โหลวจวินเหยาทำ ดังนั้นจึงหันไปมองไป๋หลีด้วยความสงสัยก่อนเอ่ยถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
สีหน้าไป๋หลียังคงเป็นสีหน้าตื่นเต้น “เจ้าเด็กนั่น ข้าเห็นเต็มสองตาว่าเพิ่งกินยาบางอย่างเข้าไป ไม่เพียงกินแล้วสามารถขยับร่างได้ แต่ดูเจ้าหนูตอนนี้สิ! ไม่ถูกควันพิษในอากาศโดยรอบทำให้เห็นภาพหลอนแม้แต่นิด! หากเขาเจอภาพหลอนของค่ายกลก็จะสามารถออกมาได้ทันที!”
ไป๋หลีคลั่งไคล้เรื่องยาต่าง ๆ มาก มักขังตนเองอยู่ในห้องหลอมยา ทดลองสูตรยาประหลาดต่าง ๆ ไปเรื่อย
เขาเป็นผู้ติดตั้งไอพิษลงในค่ายกลนี้ด้วยตนเอง อาจพูดได้ว่าในสำนักเซียนแพทย์ แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดมีความสามารถด้านพิษสูงส่งไปกว่าเขา อีกทั้งพิษนี้ยังไม่มียาถอนพิษ เพราะจงใจหมายจะนำไว้ใช้กับศัตรู
หากแต่เมื่อครู่ ยาเพียงเม็ดเดียวกลับสามารถถอนพิษทั้งหมดของเขาได้ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“เป็นไปได้หรือ?” ไป๋ชิวเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
เมื่อเขาหันกลับมา ก็พบกับชายในชุดธรรมดาสามัญผู้มีใบหน้างดงามผู้หนึ่ง ที่มุมปากยกยิ้มสบาย ๆ เขายื่นมือเรียวออกไปดึงโฉมงามนางหนึ่งตัวเล็กน่ารัก กำลังนั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ กลายเป็นว่าโฉมงามนางนั้นคือดอกบัวแดงที่มีรูปทรงราวแม่นางน้อยกำลังยกมือขึ้นปิดตาร้องไห้
ถูกต้อง จุดนั้นคือจุดที่ไป๋หลี ที่มีนิสัยชอบเล่นตลกร้าย ติดตั้งตาของค่ายกลเอาไว้
เมื่อค่ายกลถูกทำลายลง โลกแห่งภาพลวงตาก็ถึงจุดสิ้นสลาย ค่อย ๆ สลายหายไปทีละนิด จากนั้นก็หายไปจนไร้ร่องรอย
ไป๋ชิวหันมามองข้างตัว ธูปเพิ่งจะไหม้หมดไปเมื่อครู่ จากนั้นเถ้าจากธูปก็ร่วงหล่นไป
เชิงอรรถ
คนชั่วอยู่นานพันปี หมายถึง คนดีมักมีอายุสั้น แต่คนชั่วมักมีอายุยืน