บทที่ 48 เป็นห่วง
คนผู้นี้ใช้เวลาฝ่าออกมาจากค่ายกลอันทรงพลังของสำนักเซียนแพทย์ได้เพียงชั่วหนึ่งก้านธูป ค่ายกลอันแสนน่ากลัวนี้ปลิดชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ฝีมือกล้าแกร่งมาแล้วนับไม่ถ้วน หากแต่เขากลับสามารถเดินออกมาจากค่ายกลได้อย่างไร้รอยขีดข่วน
ส่วนไป๋จือเยี่ยนที่ได้รับการช่วยเหลือจนออกมาจากค่ายกลได้ในที่สุดยังคงตั้งท่าต่อสู้ค้างอยู่ บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยจ้ำสีเขียวสีม่วง ที่มุมปากยังมีรอยเลือดไหลเป็นทาง
หุ่นเชิดที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดพลันสลายหายไป เขายืนงงอยู่ชั่วครู่ ในใจคิดว่าปีศาจชั่วร้ายคงกำลังเคลื่อนกายมาเป็นแน่ หากแต่เมื่อเห็นโหลวจวินเหยาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ท่าทางสบายใจคล้ายไม่ได้พบเจอความลำบากใด เขาจึงรู้ในทันทีว่าพวกเขาออกมาจากค่ายกลได้แล้ว!
แต่เหตุใดเจ้านั่นถึงไร้รอยขีดข่วนเล่า!? มากไปแล้วนะ!
ตัวเขาถูกทุบจนหน้าช้ำอยู่ในค่ายกล แต่เจ้าบัดซบนั่นเข้าไปเดินวนรอบหนึ่งแล้วกลับออกมาเลยหรือไร?!
ไป๋จือเยี่ยนรู้สึกราวถูกมีดทิ่มที่กลางอก
หากแต่เรื่องทิ่มแทงจิตใจยังไม่หมดลงเพียงเท่านี้
เขาเพิ่งผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือด บนร่างกายมีรอยแผลแห่งเกียรติยศ เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวเดินนำหน้ามากับผู้อาวุโสสำนักเซียนแพทย์คนอื่น ๆ เดินตรงมาทางเขา ในใจก็รู้สึกได้รับการปลอบประโลม หากแต่คนทั้งกลุ่มกลับเดินผ่านเขาไปเช่นนั้นราวกับเขาไร้ตัวตน
ไป๋จือเยี่ยนที่ยืมยิ้มอยู่พลันเงยหน้าแข็งค้างขึ้น “…..?”
เขารีบหันไปทันที กลุ่มคนเดินมุ่งตรงไปยังโหลวจวินเหยาอย่างที่คิด บนใบหน้ามีแต่ร่องรอยความประหลาดใจ
กระทั่งท่านไป๋ชิวหน้าตายผู้เข้มงวดยังดู….. มีสีหน้าเมตตา!?
เหอ ๆ หรือตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะเป็นเพียงเด็กที่ท่านพ่อเก็บมาเลี้ยงจากข้างถนนกันแน่!?
“เจ้าหนู ยาชั้นยอดที่เจ้ากินเข้าไปคือยาอะไรกัน? เมื่อครู่ข้าเห็นว่าเจ้าขยับร่างไม่ได้แล้วแท้ ๆ” ไป๋หลีเอ่ยถามด้วยใบหน้าตื่นเต้น นัยน์ตาเบิกกว้างเปล่งประกายเป็นพิเศษ ราวกับดวงดาวส่องระยับ
โหลวจวินเหยายกยิ้มที่มุมปากก่อนตอบเสียงสบาย “ไม่ใช่ยาอันใด เป็นของขวัญจากสหายของข้าที่พบกันที่ดินแดนระดับล่าง”
เขาไม่คิดว่าวิชาแพทย์ของจิ้งจอกน้อย จะสามารถถอนกระทั่งพิษของสำนักเซียนแพทย์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เขานึกย้อนกลับไปตอนที่นางอธิบายสรรพคุณยา ‘สามารถถอนพิษส่วนมากได้’
แต่พิษของสำนักเซียนแพทย์คงไม่ได้อยู่ใน “ส่วนมาก” กระมัง!
พูดจบ กลุ่มคนก็พากันตื่นตกใจ หากคำเหล่านี้ออกจากปากไป๋จือเยี่ยน พวกเขาคงคิดว่าเจ้าหนูนั่นแค่พูดล้อเล่น หากแต่บุรุษตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่เจ้าหนูธรรมดาคนหนึ่ง หากแต่เป็นจอมมารผู้ครองแดนเมฆาสวรรค์ ดังนั้นคำที่ออกจากปากเขาย่อมน่าเชื่อถือกว่านัก
“ที่ดินแดนระดับล่างมีผู้มีวิชาแพทย์สูงส่งเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?” ไป๋ชิวขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจ “พิษในร่างเจ้า….. ถูกล้างออกแล้วหรือ?”
“ไม่เพียงแต่ล้างพิษออก กระทั่งคำสาปเลือดก็ถูกถอนออกจนสิ้น!” ในที่สุดไป๋จือเยี่ยนก็มีโอกาสพูดขึ้น สีหน้าเขาภูมิใจยิ่ง “ข้าจะเล่าให้พวกท่านฟัง คนผู้นั้นมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ กระทั่งท่านปู่ทวดสมัยยังหนุ่มยังอาจไม่มีความสามารถเช่นคนผู้นี้!”
นอกจากจะเคยเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเซียนแพทย์แล้ว ไป๋จือเยี่ยนยังเป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในหมู่ศิษย์สำนัก นิสัยเย่อหยิ่งไม่ยอมใคร มีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้เขาเอ่ยปากชมมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นทุกคนจึงยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “หรือจะเป็นปรมาจารย์เร้นกายจากแดนเมฆาสวรรค์ที่เดินทางลงไปยังดินแดนระดับล่างงั้นหรือ?”
“ฮ่า ๆ ปรมาจารย์เร้นกาย….. แม่นางน้อยที่อายุยังไม่ถึงสิบสี่ปีน่ะหรือ? ล้อกันเล่นเป็นแน่” ไป๋จือเยี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ “เลิกเดาสุ่มเช่นนี้เถอะ คนผู้นั้นมาจากดินแดนระดับล่าง แต่มีความสามารถสูงส่ง ถึงวิชาแพทย์ของนางจะแตกต่างจากสำนักเซียนแพทย์ของเรา แต่ข้าว่าวิชาของนางกลับล้ำลึกกว่ามาก”
ครั้งนี้ กระทั่งใบหน้าเคร่งขรึมของไป๋ชิวที่ไม่ค่อยเผยอารมณ์ใดนักยังมีท่าทางตกใจ “แม่นางน้อยอายุยังไม่ถึงสิบสี่งั้นหรือ?”
สำหรับเขาเรื่องนี้ต่างจากไป๋หลีและคนอื่น ๆ ที่ในใจเชื่อเพียงครึ่ง จิตใจเขาล่องลอยไปยังสถานที่อันห่างไกล ราวกับนึกเรื่องบางอย่างที่ตนยังไม่แน่ใจขึ้นได้เรื่องหนึ่ง
เด็กสาวที่ครอบครองพรสวรรค์สะท้านชั้นฟ้าทั้งที่อายุยังน้อยนัก เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบนแดนเมฆาสวรรค์มาก่อน
หากแต่ครั้งนี้เรื่องราวกลับเกิดขึ้นที่ดินแดนระดับล่าง….. เรื่องเช่นนี้น่าฉุกคิดนัก
ไป๋ชิวสีหน้าทะมึนลง จากนั้นหันไปมองโหลวจวินเหยา “ตามข้ามา” แล้วก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ฟังคำไป๋ชิว เดินตามหลังเขาไป
ปล่อยให้ไป๋จือเยี่ยนยืนสับสนอยู่คนเดียวเช่นนั้น “เหตุใดท่านพ่อจึงบอกให้จวินเหยาตามไป? เช่นนั้นข้าไปกับพวกเขาแล้วกัน….. โอ๊ย! ผู้อาวุโสสาม ท่านทำอะไร!?”
ไป๋จือเยี่ยนยกมือขึ้นป้องใบหน้าก่อนกระโดดหนีไปหนึ่งก้าวใหญ่ มองกลุ่มคนที่กำลังส่งยิ้มให้เขาด้วยความหวาดกลัว จู่ ๆ มาจิ้มแผลช้ำบนร่างเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ คิดว่าตลกนักหรือ?!
ไป๋หลีคลี่ยิ้มเป็นมิตรยิ่ง “ดูใบหน้าม่วงช้ำดำเขียวของเจ้าสิ มาที่ห้องข้า ข้าจะทายาให้เจ้า”
ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะไป๋จือเยี่ยนชอบหลอกกินเต้าหู้แม่นางทั้งหลายมากไปหรือไม่ หากแต่ในหัวเขาพลันมีความคิดล้านแปดประดังเข้ามา ได้ยินไป๋หลีพูดเช่นนั้น ใบหน้าเขาพลันขาวซีด รีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ใส่ยาก็ใส่ยาสิ เหตุใดจึงต้องไปที่ห้องท่านด้วย? ผู้อาวุโสสามมีความสนใจอื่นนอกเหนือจากการศึกษาตำรายาแล้วหรือ?!”
ไป๋หลีเห็นไป๋จือเยี่ยนหน้าตาซีดเซียว ทั้งยังร้องออกมาเสียงดังก็ชะงักไป ชั่วครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าเห็นเจ้ากุมหน้าเมื่อครู่จึงคิดว่าคงได้รับบาดเจ็บหนัก หากไม่ไปนอนลงดี ๆ ข้าจะใส่ยาให้เจ้าได้อย่างไร? แล้วความสนใจอื่นที่เจ้าพูดถึงคืออะไรกัน??”
สีหน้าไป๋จือเยี่ยนพลันแข็งค้างไป รู้สึกอึกอักขึ้นมาทันที เขากระแอมเสียงเบา “ไม่มีอันใด เช่นนั้นก็ไปใส่ยาเถอะ!”
จากนั้นเขาก็สับฝีเท้าเดินไปอย่างรวดเร็วเหมือนมีลมใต้เท้า ราวกับฝูงหมาป่ากำลังวิ่งไล่ล่าเขาอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋หลียังคงมีสีหน้าสับสนนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ตะโกนบอก “เจ้าหนู! ห้องข้าอยู่ทางทิศใต้! เจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือทำไมเล่า? ตรงนั้นมันที่ปลดทุกข์”
เท้าที่กำลังก้าวไปอย่างรวดเร็วของไป๋จือเยี่ยนพลันสะดุดกึก “…..”
อีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวพาโหลวจวินเหยามายังอาคารประชุม อาคารแห่งนี้เปิดใช้ยามมีเหตุการณ์ใหญ่หรือเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น หากแต่ไป๋ชิวพาเขามาที่นี่เป็นเพราะอาคารประชุมใหญ่แห่งนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในสำนักเซียนแพทย์ ทั้งยังมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด
หลังจากนำมาถึงที่แล้ว ไป๋ชิวก็บอกให้เขารออยู่ที่นั่น ส่วนตัวเขาเดินจากไป หากแต่น้ำเสียงเนือยหน่ายไร้อารมณ์พลันดังขึ้น “ไม่จำเป็นแล้ว ท่านเข้ามาใกล้ข้าได้แล้ว”
ฝีเท้าไป๋ชิวหยุดชะงัก ในใจยังรู้สึกไม่เชื่อ
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่คนผู้นี้ยังถูกพิษทรมานร่าง สภาพอารมณ์เขาเปลี่ยนไปมาก สภาพร่างกายเองก็เปลี่ยนเป็นภาพน่ากลัว กระทั่งสิ่งของไร้ชีวิตยังดับสลายในกำมือเขา นับประสาอะไรกับมนุษย์
หากแต่บุรุษตรงหน้าเขาในตอนนี้กลับนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในอาคารประชุมอย่างผ่อนคลาย นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทำจากไม้เนื้อแดงชั้นดี นิ้วมือเรียวยาวกำลังเขี่ยใบต้นบอนไซที่ตั้งอยู่ด้านข้างเล่น
เครื่องเรือนต่าง ๆ เช่นเก้าอี้ โต๊ะ และเตียงนอนในห้องจำต้องทำจากของชั้นดีชนิดพิเศษ รัศมีพลังที่ในอดีตเคยแผ่ออกจากร่างเขา เพราะพิษนั่นร้ายแรงแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึง
เมื่อไรที่ไป๋ชิวต้องตรวจดูอาการเขา เขาจำต้องสวมชุดและถุงมือที่สามารถป้องกันเขาจากรัศมีพลังนั่นได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถเข้าใกล้โหลวจวินเหยาได้มากเช่นนี้
ครั้งที่พาตัวเขากลับมาตอนนั้น เขาตัวเล็กนิดเดียว เมื่อคิดว่าเด็กตัวน้อยในวันนั้นเติบโตมาเป็นผู้มีพลังล้ำลึกมหาศาลในวันนี้ ในใจไป๋ชิวก็รู้สึกปวดแปลบเล็กน้อย
ภายในร่างของเขาคือพลังอันรุนแรงที่หมุนเวียนอยู่รอบหัวใจ หมายความว่าหากต่อไปถูกพิษอีก พลังนั้นก็จะกดผลของพิษไว้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าภายในเวลาครึ่งเดือนเขาจะปลอดภัยอย่างแน่นอน ไป๋ชิวใช้ชีวิตมาหลายร้อยปี เขาไม่เคยเห็นสิ่งใดน่ามหัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อน นัยน์ตานักปราชญ์ของเขาพลันส่องประกายสว่าง
“วิธีของแม่นางน้อยจากดินแดนระดับล่างช่างแปลกตา ใช้วิธีที่แตกต่างจากสำนักเซียนแพทย์โดยสิ้นเชิง มองแล้วเห็นชัดว่าเหนือกว่าของเรามาก” ไป๋ชิวเอ่ยชมไม่หยุด “เป็นแม่นางน้อยอนาคตไกล หากนางอยู่ที่แดนเมฆาสวรรค์ นางคงโผบินได้อีกไกล ช่างน่าเสียดาย”
โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงเบา “ท่านลุงไป๋เองก็เสียดายคนมีฝีมือโดดเด่นเช่นนางเหมือนกันใช่หรือไม่? หาได้ยากนักที่ท่านจะชื่นชมคนผู้หนึ่งได้มากเช่นนี้”
“นางคือยอดอัจฉริยะ” ในตอนนั้นเองที่ภายในใจไป๋ชิวถูกแม่นางน้อยที่ยังไม่ทันพบหน้าทำให้รู้สึกกังวล ใบหน้าพลันทะมึนลงเล็กน้อย “เจ้าถูกพิษนั่นมายาวนานเกือบร้อยปี จู่ ๆ พิษถูกถอนออกเช่นนี้ เกรงว่าผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่นิ่งเฉย ข้าว่าแม่นางน้อยผู้นั้นคงต้องเจอเคราะห์ร้ายเป็นแน่”
โหลวจวินเหยามีสีหน้าจริงจังขึ้นในทันที “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ผู้ที่ลงมือกับเจ้าต้องการควบคุมเจ้าและไม่ได้หมายเอาชีวิตเจ้า คำสาปเลือดในร่างของเจ้ามีชื่อว่าคำสาปกลืนอารมณ์ สามารถทำให้ผู้ถูกคำสาปไร้อารมณ์ความรู้สึก ไม่อาจรักใครได้ และยอมทำตามคำสั่งของผู้ร่ายคำสาปเพียงผู้เดียว คำสาปเช่นนี้ต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งนัก ไม่เพียงทำให้ผู้ร่ายคำสาปไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวัน ยังส่งผลร้ายต่อร่างกายอย่างหนักหน่วง เจ้าคิดว่าคนที่ยอมแลกสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อร่ายคำสาป พอถูกคนผู้หนึ่งถอนคำสาปออกไปเช่นนี้ คนผู้นั้นจะโกรธแค้นถึงเพียงไหน?”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าโหลวจวินเหยาพลันเปลี่ยนเป็นน่ากลัว หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นเขาก็ดึงจิ้งจอกน้อยเข้ามาพัวพันกับเรื่องทั้งหมดนี่แล้วหรือ!?
แม้วิทยายุทธ์ของนางอาจไม่ด้อยไปกว่าฝีมือด้านการแพทย์ หากแต่อย่างไรก็เป็นศัตรูที่มาจากแดนเมฆาสวรรค์ เด็กคนหนึ่งมีวิทยายุทธ์ธรรมดาสามัญจากแดนเมฆาสวรรค์ยังสามารถเอาชนะยอดฝีมือจากแดนธาราขาวซึ่งเป็นดินแดนระดับกลางได้ แล้วชาวดินแดนระดับร่างอย่างนางจะสามารถรับมือไหวหรือ
โหลวจวินเหยาผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง เขากลับมายังแดนเมฆาสวรรค์ได้ราวยี่สิบวันแล้ว ตนนี้ยังไม่รู้ว่าจิ้งจอกน้อยเป็นอย่างไร หากนางต้องมีภัยเพราะเขาจริง…..
“ท่านลุงไป๋ ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะต้องการให้ท่านตรวจหาต้นตอของคำสาปกลืนอารมณ์ นางบอกกับข้าว่าตอนที่นางกำลังถอนคำสาปให้ข้า นางถูกอีกฝ่ายโจมตี ข้าจึงคิดว่ามีคนจงใจทำเช่นนั้น”
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย หลายวันที่ผ่านมาเขารวบรวมคนกลับแคว้นมารมาได้มากแล้ว ทั้งยังมีเม่ยจีและคนอื่น ๆ ที่คอยปกป้องเขต ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดกล้ามาก่อปัญหาถึงหน้าประตู ในใจเขาตอนนี้เป็นห่วงจิ้งจอกน้อยมากกว่า
ตอนนี้โหลวจวินเหยาอาจยังไม่รับรู้ว่าเหตุใดเขาที่มักทำอะไรไปไหนมาไหนตามใจตนตลอดถึงได้เป็นห่วงความปลอดภัยของคนผู้หนึ่งเช่นนี้
บางครั้งก็ยังมีบางสิ่ง….. ที่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะคำว่าน่าสนใจไม่ใช่หรือ?
——————–
เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญที่มีทุกสามปี ภาพในคืนนั้นจะแตกต่างจากทุกคืน วันคืนยังไม่ทันเลื่อนผ่านวันที่สิบห้าของเดือน หากแต่ดวงจันทร์กลับกลมโตยิ่งนัก แสงเรืองสีทองเหลือบแดงหมุนวนอยู่รอบพื้นผิว ดูน่าลึกลับและสวยงาม
“ได้ยินว่าองค์หญิงหนิงเฟิ่งเกิดวันเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ เป็นวันที่จัดงานเฉลิมฉลองใหญ่ เพียงแค่วันแรกที่ลืมตาดูโลกก็ได้รับดวงชะตาหงส์แล้ว!”
“นางเป็นยอดสตรีอัจฉริยะแห่งแคว้นชิงหลานแล้ว ทั้งยังมีชาติกำเนิดสูงส่ง คงหาสตรีที่สามารถเทียบเคียงกับนางได้ยาก”
ภายในรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง น้ำเสียงพูดคุยส่งเสียงแว่วมาให้ได้ยิน เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามผู้หนึ่งหรี่นัยน์ตาหงส์ลง จ้องมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ในที่สุดจะดึงม่านปิดลง
เกิดมามีชะตาชีวิตดั่งหงส์หรือ?
หึ พระจันทร์สีเลือดเต็มดวงเช่นนี้หมายถึงลางร้ายต่างหาก