บทที่ 49 การตื่นขึ้นของจิตวิญญาณอาวุธ

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 49 การตื่นขึ้นของจิตวิญญาณอาวุธ

ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวังมีผู้คนนั่งอยู่เต็มไร้ที่ว่าง

เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในครั้งนี้ ทุกคนในเมืองหลวงต่างตั้งตาคอยยิ่งนัก เพราะมีเพียงในวันเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญเท่านั้น ที่ทุกคนจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกันไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือยศถาบรรดาศักดิ์

กระทั่งเด็กจากตระกูลสามัญชน หากมีฝีมือมากพอ จนสามารถผ่านการทดสอบขั้นต้นได้ ก็จะมีโอกาสได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อประลองกับเหล่าลูกขุนนาง สุดท้ายอาจโชคดีได้เป็นนักบุญชายหรือนักบุญหญิงของเทศกาลได้ ก้าวเพียงหนึ่งก้าวขึ้นสูงเทียมเมฆ และอาจได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้

หากแต่นั่นก็เป็นเพียงความฝันที่สวยงาม เป็นเพราะนักบุญหญิงของเทศกาลในทุกปีก็คือเยี่ยนหนิงลั่ว โฉมงามสติปัญญาล้ำเลิศแห่งแคว้นชิงหลาน ที่ถูกรับเข้าสำนักละอองหมอกเมื่อสิบปีก่อน โดยทางสำนักเดินทางมารับด้วยตนเอง ปัจจุบันเป็นศิษย์สายหลักที่ได้รับความโปรดปรานยิ่งนัก

กระทั่งในสำนักละอองหมอกที่มีจอมยุทธ์ฝีมือดีอยู่มากมาย ชื่อของเยี่ยนหนิงลั่วก็ยังติดโผอันดับอยู่เสมอ ทั้งยังรั้งอันดับต้น ๆ

ส่วนตำแหน่งนักบุญชายก็เป็นของซวนหยวนเช่อเสมอ ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่าคนคู่นี้คือคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้าง ด้วยเพราะทั้งคู่มีฝีมือล้ำลึกทัดเทียมกัน

สามสำนักใหญ่ต่างต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งอยู่ลับ ๆ เสมอ และถึงแม้สำนักละอองหมอกจะยืนหยัดเป็นสำนักที่นำหน้าอีกสองแห่ง สำนักไร้สิ้นสุดและหุบเขาไร้กังวลก็ไม่ใช่สำนักไร้ฝีมือเช่นกัน ทั้งสองสำนักต่างรอคอยวันเวลา บ่มเพาะพลังในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้มีพละกำลังกล้าแข็งจนยากที่จะประเมินได้

เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในปีนี้จึงอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้

เนื่องจากคนทั้งคู่เป็นนักบุญหญิงและชายเมื่อปีที่แล้วของแคว้นชิงหลาน หน้าที่ต้อนรับแขกสำคัญจึงตกเป็นของเยี่ยนหนิงลั่วและซวนหยวนเช่อ

ถึงเยี่ยนหนิงลั่วจะเพิ่งเข้าพิธีปักปิ่น หากแต่กลิ่นอายมั่นคงสงบนิ่งดั่งภูผา ที่แผ่ออกมาจากร่างทำให้ผู้คนต่างคาดเดาอายุนางไม่ถูก ต่างถูกกลิ่นอายของนางกลบโดยไม่ทันรู้ตัว ได้แต่ยอมจำนนต่อนาง เมื่อยืนเคียงกับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นซวนหยวนเช่อ นางก็ไม่ดูด้อยกว่าแม้แต่น้อย

“หลายปีก่อนเจ้าไม่เห็นดูกระตือรือร้นเช่นนี้” น้ำเสียงอ่อนโยนของซวนหยวนเช่อดังขึ้นข้างกาย สีหน้าอ่านไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร

เยี่ยนหนิงลั่วเพิ่งทักทายศิษย์น้องร่วมสำนักไป เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้นางก็ชะงักไป จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “อะไรกัน? เมื่อปีก่อน ๆ ข้าเป็นอย่างไรหรือ?”

ซวนหยวนเช่อนัยน์ตาดำทะมึน เอ่ยตอบโดยไม่มองหน้านาง “บุรุษผู้นั้น ชิงเยี่ยหลี เจ้าอย่าเข้าใกล้เขามากนักจะดีกว่า”

“หรือว่าองค์รัชทายาจะหึง?” เยี่ยนหนิงลั่วพูดจบก็หัวเราะออกมา “ข้ารู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร วางใจได้ อย่างไรข้าก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ทำให้ผู้คนติฉินนินทาเจ้าแน่ แต่ …..” นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะโน้มตัวเข้ามาใกล้ นางเบาเสียงลงจนมีแต่คนทั้งคู่ที่สามารถได้ยิน “เจ้ารู้หรือไม่….. ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงไม่ชอบเจ้า?”

“เพราะเหตุใด?” เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ซวนหยวนเช่อไม่อาจเข้าใจ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ไม่ได้เกลียดนาง หากแต่เมื่อพบกันทีไรนางก็มองเมินเขาทุกครา ในฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้น สตรีมากหน้าหลายตาต่างอยากให้เขามองพวกนางเพียงสักครั้ง หากแต่นางกลับหลบเลี่ยงเขาราวกับเขาเป็นแมงป่องที่มีพิษร้าย

เรื่องนั้นทำให้เขาที่เดิมทีชอบนางอยู่บ้างเริ่มรู้สึกเกลียดชังนาง ไม่มีบุรุษใดที่ทนคู่หมั้นคู่หมายของตนทำท่าทางเช่นนี้ใส่ไปได้ตลอด

เมื่อเวลาผ่านไป คนทั้งคู่ก็ยิ่งเกลียดชังจนกลายเป็นของแสลงทางสายตากันและกัน

“หึ ตอนนี้ข้าไม่กลัวที่จะต้องบอกเจ้าแล้ว” เยี่ยนหนิงลั่วพลันคลี่ยิ้มออกมา ยามแม่นางที่มักวางตัวเย็นชาทำท่าเฉยเมยคลี่ยิ้มงามออกมาเช่นนี้ นับเป็นภาพน่าตกตะลึงนัก ในสายตาคนอื่นมองเป็นภาพคู่หมั้นกำลังกระซิบกระซาบคำหวาน

มีเพียงซวนหยวนเช่อที่ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของนางเอ่ยขึ้นที่ข้างหู “ชิงเยี่ยหลี….. เขาคือพรหมลิขิตของข้า ครั้งแรกที่ข้าพบเขาข้าเพิ่งอายุได้แปดขวบ หากแต่หลายปีที่ผ่านมา เขาคือบุรุษที่ปรากฏตัวในความฝันข้าอยู่บ่อยครั้ง และในตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าข้า เป็นตอนนั้นที่ข้าพลันเข้าใจว่าความฝันทั้งหมดนั้นคือความจริง”

“หากแต่ตอนนี้ข้ายังมีตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทแห่งชิงหลานค้ำคออยู่” ใบหน้าเยี่ยนหนิงลั่วทะมึน “และข้าเกลียดตัวตนเช่นนี้นัก ทว่าข้ากลับเกลียดเจ้ามากกว่า”

“หลายปีที่ผ่านมาในสำนักละอองหมอก ข้าสู้บากบั่นฝึกฝนตนให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่วันหนึ่งข้าจะได้ยืนข้างกายบุรุษผู้นั้น ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว หากปีนี้ข้าได้เป็นนักบุญหญิง ข้าจะร้องขอให้ฝ่าบาทถอนเรื่องหมั้นหมายระหว่างเรา”

ใบหน้าซวนหยวนเช่อตกใจเล็กน้อย หากแต่ก็ยังเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!? เยี่ยนหนิงลั่ว ชิงเยี่ยหลีมาจากหลินยวน สองแคว้นยังเป็นศัตรูกัน เจ้าคิดว่าชื่อเสียงเทพสังหารของเขาได้มาเพราะอันใด!?”

“ข้าไม่สน” เยี่ยนหนิงลั่วหันหน้ากลับไป ใบหน้าเรียวทั้งยิ่งผยองและดูห่างเหิน “ยืนข้างกายเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่ข้าไม่ยอมถอยแน่”

ซวนหยวนเช่อยังอยากเอ่ยคำใดต่อ หากแต่ทันใดนั้นที่ไหล่พลันมีมือวางลงมา

“เช่อ พวกเจ้าสองคนกระซิบความลับใดกัน?” โม่เฟยหรานเดินทางเข้าพระราชวังมากับแม่ทัพใหญ่โม่ เมื่อเห็นซวนหยวนเช่อจึงบอกลาท่านปู่และเดินมาหาเขา

ซวนหยวนเช่อยั้งคำที่กำลังจะพูดไว้ได้ทันเมื่อเห็นโม่เฟยหราน หากแต่สีหน้าเขาดำทะมึนลงอย่างเห็นได้ชัด

“เกิดอะไรขึ้น? หนิงเอ๋อร์ เจ้าทะเลาะกับองค์รัชทายาทอีกแล้วหรือ?” โม่เฟยหรานถามด้วยใบหน้าสับสนเมื่อเห็นแววตาไม่เป็นมิตรของซวนหยวนเช่อ

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็อยู่เป็นเพื่อนองค์รัชทายาทเถอะ” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยเสียงเย็นชา จากนั้นหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้โม่เฟยหรานยืนงง

ซวนหยวนเช่อหรี่ตาลงเล็กน้อย นางเดินออกไปเช่นนี้เป็นเพราะนางเห็นคนจากแคว้นหลินยวนที่เพิ่งเดินทางเข้ามาพร้อมกับชิงเยี่ยหลี

ที่อีกด้านหนึ่ง ด้วยชิงเป่ยไม่อาจลุกขึ้นเดินในที่คนพลุ่งพล่านเช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เข็นตนอย่างว่าง่าย ไม่ว่าในใจจะมีความสงสัยก่อตัวขึ้นมากเพียงไร ต้องการมองนั่นนี่มากเพียงไหน หากแต่ก็ต้องกดความอยากเหล่านั้นไว้ในใจ

ชิงอวี่ที่อยู่ข้างกายเขายังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวเรียบง่ายชุดหนึ่ง กระทั่งนางกำนัลน้อยในวังยังสวมชุดที่หรูหรากว่านางเสียอีก

หากแต่เพราะการแต่งกายไม่โดดเด่นเช่นนี้ของนาง ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาพากันเหลือบมองนาง ใบหน้าที่เหมือนได้รับความโปรดปรานจากเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้า กระทั่งใช้เพียงแป้งผัดหน้าธรรมดาเล็กน้อย แต่ก็สามารถเอาชนะแม่นางคนอื่น ๆ ทำให้สตรีที่มีรูปโฉมงดงามกลับดูมีหน้าตาธรรมดาเมื่อถูกเปรียบเทียบกับนาง

หากแต่วันนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาพูดคุยกับนาง อาจเป็นเพราะในวันนี้ร่างของแม่นางน้อยผู้งดงามแผ่รัศมีกดดันแปลกประหลาดออกมาจากร่างงั้นหรือ? เป็นไปได้ว่าอาจทำให้ผู้คนรู้สึกระมัดระวังนางไม่กล้าเข้าใกล้นัก

ชิงเป่ยหันมองเด็กสาวข้างกายตนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อตัวเท่าไรนัก เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หยุดเข็นเก้าอี้ หมุนตัวกลับมาก่อนจะเปล่งเสียงขึ้น “ชิงอวี่!”

“หือ?” นางเคยชินกับการถูกเรียกว่า ‘พี่’ มาโดยตลอด จู่ ๆ กลับได้ยินเขาเรียกชื่อนางขึ้นมา ชิงอวี่จึงเลิกคิ้วประหลาดใจ “มีอะไรหรือ?”

“ท่านมีเรื่องอะไรที่บอกข้าไม่ได้กันแน่?” ชิงเป่ยถาม ขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาไม่พอใจเล็กน้อย “สองสามวันมานี้ท่านไปไหนมาไหนราวกับร่างไร้วิญญาณ ไม่ได้ดูแลสวนสมุนไพรตั้งหลายวัน ท่านไม่รู้หรือว่าสมุนไพรเหล่านั้นหากไม่รดด้วยน้ำเลี้ยงวิญญาณทุกวันมันจะเหี่ยวเฉาตายได้? ข้าก็รอให้ท่านรู้ตัวอยู่ แต่ท่านกลับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น กระทั่งสวนสมุนไพรตายไปแถบหนึ่ง!”

เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ชิงอวี่ชอบคลุกคลีอยู่กับเหล่าพืชพันธุ์และสมุนไพรต่าง ๆ นางชอบที่จะมองพวกมันเติบโตงอกงามภายใต้การดูแลเอาใจใส่ของตน

ยาวิเศษและสมุนไพรชั้นเลิศทั้งหลายที่ขายกันราคาสูงเสียดฟ้ายังให้ผลไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสมุนไพรในสวนของนาง หากเขาเผลอทำให้ใบหลุดออกจากต้นเพียงสองสามใบ หญิงใจมารผู้นี้ก็จะเดินยิ้มแย้มเข้ามา ก่อนจะโยนเจ้าคางคกหน้าตาอัปลักษณ์ตัวนั้นใส่อกเขาเพื่อเป็นการลงโทษ

“หือ? สมุนไพรข้าตายหรือ?” ชิงอวี่มีสีหน้าตกใจ ดูท่าที่ผ่านมานางไม่ทันสังเกต นางดูแลประคบประหงมมันอย่างดี เมื่อได้ยินว่ามันพากันเหี่ยวตายเสียแล้วนางจึงปวดใจนัก

นางยกนิ้วเรียวงามขึ้นนวดหว่างคิ้วตนที่ขมวดมุ่นจากความขัดเคืองในใจ

เกิดใหม่ครั้งนี้เหตุใดนางจึงอ่อนแอนัก?

นางเกรงกลัวอันตรายที่ไม่รู้ว่ามาจากผู้ใดเช่นนี้….. น่าขันสิ้นดี!

ภายในร่างนางตอนนี้ เจ้างูตัวน้อยสีทองกำลังม้วนตัวนอนอยู่ที่มุมหนึ่งเงียบ ๆ จากเดิมที่ตัวหนาราวแขนเด็กทารก ตอนนี้เติบโตขึ้นบ้างแล้ว

นอกจากแสงเรืองสีทองที่เปล่งออกจากร่าง ยังมีหมอกสีดำแผ่กระจายออกมาทั่วทิศทาง หากแต่พริบตาต่อมาหมอกสีดำเหล่านั้นกลับเหมือนถูกรัดดึงไว้ ก่อนที่มันจะส่งเสียงกรีดร้องสุดท้ายออกมาและสลายไปในที่สุด

ในตอนนั้นเองที่แสงเรืองพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีทองส่องสว่าง มันส่องแสงจ้าอยู่เช่นนั้นชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ แผ่วลำแสงลง นัยน์ตาเล็กคู่หนึ่งรูปร่างเหมือนสามเหลี่ยมคว่ำพลันเปิดขึ้น ม่านหมอกในดวงตาจางหายไปช้า ๆ นัยน์ตาที่ดูดั่งนัยน์ตามนุษย์ดูราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

จากนั้นชั่วอึดใจหนึ่ง น้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกราวกับถูกส่งมาจากกาลเวลาอันยาวนานก็ดังขึ้น เป็นน้ำเสียงโหยหาเสียงหนึ่ง “ข้ากลับมาแล้ว…..”

ใบหน้าชิงอวี่ชะงักค้างในพลัน นัยน์ตาหงส์หรี่ลง ปิดความประหลาดใจและความดีใจของตนไว้ในทันที นางส่งจิตล้วงลึกเข้าสู่ร่าง “ไหมไหม….. นั่นเจ้าหรือ?”

คนที่อยู่ตรงหน้านางแตกต่างจากเจ้างูน้อยอย่างสิ้นเชิง เป็นเด็กหนุ่มในชุดสีทองผู้หนึ่ง มีเส้นผมสีทอง มองโดยรวมแล้วอาจกล่าวได้เพียง “ส่องสว่างดั่งทองคำ”

เมื่อเห็นนาง ในใจเขาพลันตื่นเต้นยินดีนัก นัยน์ตากระจ่างสีเงินและสีทองฉายแววอ่อนโยนเต็มไปด้วยความโหยหา ในตอนนี้เขาไม่พุ่งเข้าใส่นางด้วยท่าทางน่ารักอีกต่อไป หากแต่ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่ ใบหน้ายังคงเหมือนเดิม หากแต่แววตาและกลิ่นอายของเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก

นัยน์ตาชิงอวี่พร่ามัวเล็กน้อย ริมฝีปากเผยอออก ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา

เด็กหนุ่มมองท่าทางนั้นของนางก็เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ เขาเผยรอยยิ้มสว่างดั่งดวงตะวัน ร่างของเด็กหนุ่มส่องแสงวาบหนึ่งขึ้น ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเด็กสาวในพริบตา เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกมือนางขึ้นแนบแก้มด้วยความจงรักภักดี ราวกับว่าเป็นการพบกันครั้งแรกของคนทั้งคู่ “นายหญิงที่รักและเคารพยิ่งของข้า ข้ามีนามว่าจั้งไหม จากนี้ต่อไปขอผูกสัญญาเลือดกับนายหญิง ไม่แยกจากไม่ว่าอยู่หรือตาย”

ชิงอวี่เกือบเสียน้ำตากับภาพฉากนั้น หากแต่นางรีบกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ภายใน จากนั้นเปลี่ยนความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจเป็นคำพูดประโยคสั้น ๆ “เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว”

ท่าทางเอาจริงเอาจังขึงขังของจั้งไหมอยู่ได้ไม่นานนัก เขาก็กลับไปเป็นเจ้างูน้อยน่าขันคนเดิม ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะยื่นมาชนหน้าชิงอวี่ “นายหญิง ท่านดีใจที่ได้เห็นข้าจนต้องร้องไห้เลยหรือ? ถึงนายหญิงเวลาร้องไห้จะงดงาม แต่น้ำตาของท่านก็ทำให้ข้าปวดใจมากเช่นกัน”

ถึงเขาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่การแปลงร่างของจิตวิญญาณอาวุธนั้นสมบูรณ์แบบยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นร่างมนุษย์หรือสีหน้าที่แสดงออก ทั้งหมดดูเหมือนจริงมีชีวิตชีวายิ่ง มองใกล้ ๆ ยังสามารถเห็นขนตายาวโค้งหน่อย ๆ ของเด็กหนุ่มที่สั่นไหวได้ ดูน่ารักน่าชังนัก

ชิงอวี่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางดันใบหน้าเขาออกไป “เจ้าว่ามา เหตุใดจึงคืนร่างฉับพลันเช่นนี้? ในเมื่อสามารถปรากฏตัวเป็นร่างมนุษย์ได้ แสดงว่าการฟื้นฟูร่างวิญญาณของเจ้าประสบผลสำเร็จ หากแต่เท่าที่ข้าจำได้….. ยาที่ข้าปรุงให้เจ้ายังไม่ใช่ยาระดับสะท้านชั้นฟ้าเช่นนี้”

“ใครว่าไม่ใช่?” จั้งไหมเลิกคิ้วขึ้น “นายหญิงของข้าเป็นนักปรุงยาที่ล้ำเลิศที่สุดในปฐพี”

“หยุดพูดหยอกข้าเล่นได้แล้ว” ชิงอวี่กลอกตาใส่เขา นัยน์ตาหงส์มองประเมินเด็กหนุ่มอย่างถี่ถ้วน จากนั้นดูเหมือนจะล่วงรู้อะไรบางอย่าง “หรือเจ้าไปได้สิ่งใดมาช่วยเสริมสร้างร่างกัน?”