บทที่ 50 เริ่มต้นเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ
จั้งไหมขนลุกซู่ เขามีนายหญิงที่ฉลาดเกินใครเสียจริง!
นัยน์ตาสีทองข้างเงินข้างมองไปทั่ว กำลังพยายามหาข้ออ้างเปลี่ยนเรื่องคุยโดยเร็ว หากแต่ก็ดันไปสบตาเข้ากับนัยน์ตายิ้มเย็นของเด็กสาวเข้า สุดท้ายเขาก็คายทุกอย่างออกมาจนสิ้น
รวมถึงเรื่องที่มีนัยน์ตาประหลาดช่วยเขาจับวิญญาณมนุษย์มาด้วย
เมื่อชาติก่อนจั้งไหมไม่เคยกลืนวิญญาณใดมาก่อน
เหตุเพราะเขาเป็นจิตวิญญาณมีสตินึกรู้ที่เกิดจากวิชาฝังวิญญาณ แค่นั้นเขาก็มีพลังมากเกินพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกลืนวิญญาณระดับต่ำทั้งยังอ่อนแอเช่นนั้นลงท้องเพื่อเพิ่มพลังอีก หากแต่ตอนที่ชิงอวี่สิ้นใจโดยฉับพลันตอนที่กำลังจะทะลวงด่าน หยวนชี่ (1) ของจั้งไหมและนายหญิงจึงได้รับบาดเจ็บ และยังถูกพลังบางอย่างลอบโจมตี เพื่อปกป้องไม่ให้วิญญาณของชิงอวี่ดับสลาย เขาใช้แก่นวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่จนหมด ดังนั้นพลังจึงลดลงจนต้องกลับร่างเดิม
หลังจากกลืนวิญญาณมนุษย์นั่นไป จั้งไหมกลับรู้สึกดีอย่างคาดไม่ถึง ราวกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เดิมทีเขาไม่ใช่มนุษย์ หากแต่ตอนนี้กลับเริ่มมีความเห็นอกเห็นใจ มีอารมณ์ซับซ้อนอย่างมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณอาวุธส่วนมากไม่มี
ราวกับว่าตัวเขาเกิดมาเพื่อกลืนกินวิญญาณมนุษย์ อย่างเช่นเขาในตอนนี้สัมผัสได้ว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าในชาติก่อนมาก
“ดูท่าตระกูลชิงเมื่อชาติก่อนของข้าจะมีความลับซุกซ่อนไว้มากกว่าที่ข้ารู้” ชิงอวี่หัวเราะ นัยน์ตาหงส์ล้ำลึกขึ้น ใบหน้างามเย้ายวนใจเจือแววอันตราย
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่นางต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่นางแข็งแกร่งมากพอก่อนที่นางจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ ตอนนี้จิตวิญญาณอาวุธของนางตื่นขึ้นแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางจึงเพิ่มมากกว่าครึ่ง สักวันหนึ่งนางจะกลับไปแก้แค้นอย่างแน่นอน!
จั้งไหมเห็นไอสังหารที่แผ่ออกมาอย่างฉับพลันก็สะดุ้งเฮือก หากแต่อารมณ์รุนแรงก็มอดลงอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ไม่มีกลิ่นอายแปลกประหลาดแผ่ออกจากร่างนางอีก เห็นดังนั้นจั้งไหมถึงวางใจลง
ความเลือดร้อนเมื่อกาลก่อนของชิงอวี่ดูคล้ายจะถูกเก็บซ่อนไว้ภายใน เหลือเพียงความสงบนิ่งและสายตาดำมืดราวกับหลุมลึก
คนภายนอกเห็นเพียงใบหน้างามนั่งอยู่ที่มุมเงียบสงบมุมหนึ่ง มุมปากยกยิ้มบาง กำลังนั่งอยู่ข้างเด็กหนุ่มที่หันหลังให้ผู้คน ต่างคาดเดาไปว่าคนทั้งคู่คงกำลังคุยเรื่องสนุกอันใดกันอยู่เป็นแน่
มีแต่ชิงเป่ยที่รู้ว่านางค้างท่านี้มาได้สักพักแล้ว อยู่กับนางมาได้หกปี ถึงไม่อาจกล่าวว่าเขาเข้าใจนางเต็มที่ หากแต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่านางในตอนนี้ไม่รับรู้ถึงโลกภายนอก หากเขาออกห่างกายนาง นางก็อาจมีอันตรายได้!
โชคดีที่ไม่นานชิงอวี่ก็ดึงจิตตนกลับมา นางกะพริบตาให้เขาเพื่อส่งสัญญาณว่านางไม่เป็นอะไร
หากไม่เป็นเพราะนางตกตะลึงกับไหมไหมที่ตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลันเช่นนี้ นางคงไม่ทำเรื่องอันตรายอย่างการปล่อยจิตออกจากร่าง หากวิญญาณไร้ร่างหรือพวกสัมภเวสีเกิดเห็นร่างว่างเปล่าของนางเข้าคงเกิดปัญหาไม่น้อย
“ชางไห่อ๋องและองค์หญิงเก้าแห่งแคว้นหลินยวนมาถึงแล้ว!”
“องค์ชายเจ็ดแคว้นอู่ชางมาถึงแล้ว!”
สิ้นน้ำเสียงแหลมสูงที่ประกาศก้องออกมา ที่นอกห้องโถงก็พลันเกิดเสียงเอะอะขึ้น
ถึงชื่อเสียงเทพสังหารของชางไห่อ๋องจะเป็นที่เลื่องลือ หากแต่เรือนผมสีเงินสะดุดตาและนัยน์ตาสีเขียวเข้มของเขานั้นทั้งดูโดดเด่นเหนือใครและดูลึกลับยิ่ง
ผู้คนกล่าวว่าเขามีใบหน้าอัปลักษณ์ ดังนั้นจึงไม่กล้าเผยหน้าต่อผู้คน ยังมีคนอีกกลุ่มที่กล่าวว่าเขามีใบหน้างดงามดั่งเทพเซียน หล่อเหลาไร้บุรุษใดเทียม ถึงแม้จะเป็นเพียงข่าวลือ หากแต่ผู้คนก็ไม่อาจหยุดความสงสัยต่อบุรุษผู้นี้ได้ เขาเป็นคนที่แม้แต่ชาวหลินยวนยังไม่ค่อยได้พบหน้า ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนในแคว้นห่างไกลอย่างแคว้นชิงหลาน
องค์หญิงเก้าเยว่ซินเหยียนเองก็เป็นโฉมงามที่หาได้ยากในใต้หล้า เรือนผมนางทิ้งตัวลงยาวถึงเอว ผสมกับปอยผมสีน้ำเงินที่ถูกถักเป็นเปียบางสองข้าง นัยน์ตาสีน้ำเงินกลมโตสุกสกาวราวกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สวยงามจับใจ ถึงจะมีอายุเพียงสิบสี่ หากแต่เรือนกายเผยถึงเสน่ห์ของสตรีเพศอย่างชัดเจน ทั้งเอวบางและทรวดทรงงาม สวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีน้ำเงิน ความงามเช่นนี้ทำให้นางดูราวกับภูติพรายซุกซนจากแดนเซียน
และยังมีคู่แฝดจากราชวงศ์แคว้นอู่ชาง องค์ชายจากพระสนมเอกในฮ่องเต้อู่ชาง
คนสองคนสมควรคลอดออกมาพร้อมกัน หากแต่คนหนึ่งคลอดตอนรุ่งสาง คนหนึ่งอยู่ในท้องมารดาจนกระทั่งถึงยามค่ำคืนก่อนที่จะตัดสินใจออกมา ส่งผลให้ทั้งสองคนมีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งส่องประกายหล่อเหลา อีกคนหนึ่งพิสดารและมืดมิดราวกับปีศาจจากโลกันตร์
ฝาแฝดประหลาดคู่นี้มีชื่อเสียงนักในแคว้นอู่ชาง เหตุเพราะฝ่ายน้องชายที่เกิดยามราตรีมักใช้ใบหน้าที่เหมือนกับพี่ชายตนเพื่อทำความชั่วทุกสิ่งอย่าง ทั้งยังเลียนแบบท่าทางการกระทำของพี่ชายตนได้อย่างแนบเนียน ดังนั้นจึงไม่มีใครมองออก
ทั้งสองคนยังเป็นองค์ชายที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในราชวงศ์แคว้นอู่ชาง มีวิทยายุทธ์สูงส่ง ทั้งยังอยู่ในหุบเขาไร้กังวลซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ ยิ่งทำให้ฐานะของคนทั้งคู่สูงส่งขึ้นไปอีก
สองฝาแฝดเดินเข้ามาพร้อมกันกับชิงเยี่ยหลีและคนแคว้นหลินยวน คนหนึ่งสวมชุดสีนิล ใบหน้าหล่อเหลา บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่มองแล้วรู้สึกดีประดับอยู่
องค์ชายอีกคนสวมชุดสีเขียวเข้ม ถึงจะมีหน้าตาเหมือนกับคนก่อนหน้า หากแต่ท่าทางและบรรยากาศรอบกายกลับแตกต่าง มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าสวมชุดสีเช่นนั้นแล้วยังดูดีได้ หากแต่ชุดเรียบง่ายเหล่านั้น เมื่ออยู่บนร่างของเขากลับกลายเป็นความงดงามดั่งนักพรต
มองแวบเดียวก็รู้ในทันทีว่าคนผู้นั้นคือองค์ชายเจ็ดที่เกิดยามค่ำคืน บรรยากาศรอบตัวเขาจะเยือกเย็นกว่าเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่ชิงอวี่เคยเห็นแฝดคู่นี้ นางรู้สึกว่าพวกเขาดูน่าสนใจไม่น้อย นางจ้องมองพวกเขาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “สองคนนั้นหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ! แต่….. องค์ชายเจ็ดดูจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น”
เขาเกิดมามีร่างกายเป็นเช่นนี้หรือเพราะกำลังฝึกวิชามืดอยู่กันแน่? กลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกจากร่างของเขาปิดบังไม่มิดจริง ๆ!
“นายหญิง คนผู้นั้นคืออัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง ในร่างมีทั้งธาตุแสงและธาตุมืด อย่าได้เห็นเพียงว่าเขาเป็นคนร้ายกาจน่ากลัว หากแต่เป็นเพราะเขายังไม่รู้วิธีผสานธาตุตรงข้ามทั้งสองเข้าด้วยกันต่างหาก เมื่อไหร่ที่เขาสามารถเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ในร่าง ดินแดนระดับล่างแห่งนี้ก็คงไม่อาจหายอดฝีมือใดจะเทียบเทียมเขาได้”
เด็กหนุ่มผมทองในร่างนาง ดูท่าจะสามารถสัมผัสตัวตนแปลกประหลาดผ่านนัยน์ตาชิงอวี่ จึงอดเปิดปากพูดอธิบายให้นางฟังไม่ได้
อาจเป็นเพราะเขาเอาแต่พุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังองค์ชายประหลาดผู้นั้น สายตาจึงพลันเหลือบไปเห็นบุรุษผมเงินที่ยืนนำอยู่หน้าสุดไปด้วย นัยน์ตาเรียวยาวของเขากะพริบปริบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ “เอ๋? นายหญิง เหตุใดข้าจึง….. รู้สึกว่าบุรุษที่อยู่ตรงนั้นดูคุ้นเคยนัก? รู้สึกเหมือนกับข้ากับเขาเคยพบกันมาก่อนเลย!”
“คนผู้นั้น…..”
“เหตุใดจึงมานั่งอยู่ตรงนี้?” จู่ ๆ เยี่ยนซีเฉิงก็เดินมา “ข้าจัดที่นั่งไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ตรงนี้เป็นที่นั่งของตระกูลเล็กและศิษย์สำนักสาขาย่อย”
เมื่อบทสนทนาถูกขัด ชิงอวี่ก็ไม่คิดคุยต่อ หันมามองเยี่ยนซีเฉิงพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านพี่ ข้าคิดว่าตรงนี้เงียบสงบกว่า แต่ในเมื่อท่านจัดเตรียมที่นั่งไว้ให้ข้าแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ!”
“ซีเฉิง สองคนนี้ใครหรือ?” อวี้จิงจั๋วเดินคุยกับเยี่ยนซีเฉิงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หากแต่เมื่อครู่เยี่ยนซีเฉิงกลับเดินมาอีกทางโดยพลัน เขาเพิ่งเดินตามมาในภายหลัง
“ข้ายังไม่ได้แนะนำพวกเขาให้เจ้ารู้จัก สองคนนี้คือน้อง ๆ ของข้า เยี่ยนชิงอวี่และเยี่ยนชิงเป่ย ส่วนคนผู้นี้คือนายน้อยสามของเสนาบดีฝ่ายซ้าย อวี้จิงจั๋ว” เยี่ยนซีเฉิงเอ่ยแนะนำ
เป็นเพราะชิงเป่ยนั่งอยู่ ดังนั้นสายตาอวี้จิงจั๋วจึงหันไปมองยังชิงอวี่ เป็นตอนที่เดินเข้ามาใกล้นั่นเองถึงได้พบว่าเด็กสาวตรงหน้างดงามดั่งเซียน ว่ากันว่าเยี่ยนหนิงลั่วเป็นสตรีแดนสวรรค์ชั้นเก้าที่บริสุทธิ์ทั้งยังเย็นชานัก เช่นนั้นเด็กสาวตรงหน้าเขาก็คือสตรีเสน่ห์ยวนใจล่อลวงวิญญาณคน หากแต่บนใบหน้างามนั้นคือรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้ที่ติ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คนเจ้าชู้อย่างอวี้จิงจั๋วผู้ประกาศกร้าวว่าศึกษานารีมาแล้วถึงสามพันถึงกับมองแม่นางผู้หนึ่งตาค้าง
เป็นตอนที่เยี่ยนซีเฉิงเรียกชื่อเขาอยู่สองสามครั้งเขาถึงรู้สึกตัว อวี้จิงจั๋วกระแอมไล่ความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จากนั้นละสายตาออกไป
เยี่ยนซีเฉิงกำมือแนบปากกลั้นหัวเราะ เทียบกับครั้งแรกที่เขาเห็นชิงอวี่ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ว่าจิตใจอ่อนแอไปหน่อยหรือ? เหตุใดจึงทำตนเองอับอายได้มากเช่นนั้น?
“แค่ก ข้าไม่คิดมาก่อนว่าจะมีสาวงามเช่นนี้อยู่ในจวนหย่งอันอ๋อง” อวี้จิงจั๋วกระแอมอีก จากนั้นเผยรอยยิ้มหล่อเหลาอ่อนโยนออกมา
ส่วนชิงเป่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างถูกเมินไปโดยสิ้นเชิง “…..”
ตัวตนของเขาต่อหน้าผู้อื่นต่ำต้อยเช่นนี้เลยหรือ
ชิงอวี่เหลือบมองอวี้จิงจั๋วอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นเอ่ยขอบคุณตามมารยาท “ขอบคุณสำหรับคำชม”
บรรยากาศน่าอึดอัดก่อตัวขึ้น เยี่ยนซีเฉิงจึงรีบพาชิงอวี่และชิงเป่ยไปยังที่นั่งที่จัดไว้ให้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยกับพวกเขาอีก
หลังจากผ่านไปไม่นาน อวี้จิงจั๋วก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าน้องสาวผู้นี้ของเจ้า….. ถึงได้เรียบเฉยเย็นชากว่าเยี่ยนหนิงลั่วอีกเล่า?”
“งั้นหรือ? ปกติชิงอวี่เป็นเด็กดีมาก ไม่ได้เย็นชาขนาดนั้น” เยี่ยนซีเฉิงพูดยิ้ม ๆ จากนั้นสายตาเปลี่ยนเป็นเจือแววล้อเลียน “ข้าว่าเป็นเพราะเจ้ายืนอ้าปากจ้องนางเหมือนคนโง่ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเสียมากกว่า นางก็เลยไม่ชอบหน้าเจ้า!”
อวี้จิงจั๋วไม่เอ่ยคำใดตอบกลับ “…..” บัดซบเอ๊ย! เมื่อครู่เขาทำให้ตนเองอับอายกลายเป็นไอ้โง่ไปแล้วใช่หรือไม่?
เกินไปแล้ว! ให้คนงามได้เห็นความประทับใจแรกย่ำแย่เช่นนั้นได้อย่างไรกัน!? คิดแล้วเขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในปีนี้ ไม่เพียงมีคนจากสองแคว้นเดินทางมา กระทั่งสามสำนักใหญ่ยังส่งตัวแทนมา เป็นผู้คัดเลือกนักบุญหญิงและชายในเทศกาลด้วย
เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในปีนี้ดูท่าจะเป็นปีที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดปีหนึ่ง ไม่เพียงแต่เทพสังหารที่เคยได้ยินเพียงนามแต่ไม่อาจเห็นหน้า ชางไห่อ๋อง จะเดินทางมายังชิงหลาน หากแต่โฉมงามสะท้านแดนอย่างเยว่ซินเหยียนก็ยังเดินทางมาด้วย ทั้งยังมีองค์ชายฝาแฝดที่มีนิสัยประหลาดหากแต่มีวิทยายุทธ์สูงส่ง รวมถึงจอมยุทธ์มีฝีมือจากสามสำนักใหญ่เองก็เดินทางมาที่นี่ ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าเทศกาลในปีนี้คงจะมีฉากยิ่งใหญ่ตระการตาให้ดูเป็นแน่
ณ กลางห้องโถงใหญ่ภายในวังหลวง สนามประลองรูปร่างกลมขนาดใหญ่ได้ถูกติดตั้งขึ้น ที่ริมขอบสนามประลองมีเกราะพลังวิญาณล้อมรอบอยู่ เมื่อการต่อสู้ด้านในเริ่มขึ้นจะไม่มีผู้ใดสามารถยื่นมือเข้ายุ่งได้
เทียบกับแคว้นอู่ชางที่เป็นแคว้นที่นิยมชมชอบการต่อสู้แล้ว แคว้นชิงหลานมีเหล่าบัณฑิตและผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมและศิลปะมากกว่า ถึงพลังในการบำเพ็ญเพียรจะสามารถทำให้สามารถเดินทางระหว่างแดนได้อย่างอิสรเสรี แต่หากในท้องไร้น้ำหมึก (2) มีความรู้เพียงนิด ไม่อาจใช้ความรู้ความสามารถด้านศิลปะอันงดงามแสดงให้ผู้คนเห็นได้ อย่างไรก็ยังถูกเยาะเย้ยถากถาง ดังนั้นเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในปีนี้จึงเพิ่มการแข่งขันด้านการแต่งกลอนและด้านวรรณกรรมเข้าไปด้วย
ก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น ผู้เข้าประลองได้ผ่านการแข่งขันคัดกรองมาแล้วรอบหนึ่ง เป็นการกรองคนที่เข้มงวดนัก เหล่าบุตรธิดาจากตระกูลขุนนางหลายคนที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีกลับถูกปัดทิ้งอย่างไร้ข้อโต้แย้ง กระทั่งพยายามติดสินบนก็ไร้ประโยชน์
ครั้งนี้ไม่ง่ายนัก คนจากแคว้นอื่นและคนจากสามสำนักใหญ่ต่างเข้าร่วมประลองด้วย หากมีผู้ใดกระทำผิด ทำให้เทศกาลสำคัญยิ่งเช่นนี้เกิดปัญหา ส่งผลให้ฮ่องเต้ชิงหลานต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จากนี้ต่อไปคงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีก
“พี่เยี่ยหลี คนผู้นั้นไม่ใช่คนที่เราพบที่โรงเตี๊ยมหลังมรณาหรอกหรือ? เขาเองก็มาร่วมงานด้วย” เยว่ซินเหยียนพลันเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่ง นางจึงเอ่ยเสียงกระซิบกับคนข้างตัว
ได้ยินดังนั้น ชิงเยี่ยหลีก็เงยหน้าขึ้นมอง บุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาจึงยกแขนขึ้นโบกทักทาย นัยน์ตาคู่นั้นยังทรงเสน่ห์ดึงอารมณ์คนมองดังเดิม
ที่น่าประหลาดใจคือ เขานั่งอยู่ท่ามกลางที่นั่งของเหล่าผู้ตัดสิน
เชิงอรรถ
หยวนชี่ หรือ ชี่ก่อนกำเนิด หมายถึงพลังชีวิตที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
ในท้องไร้น้ำหมึก หมายถึง ไร้วัฒนธรรม คนไม่มีความรู้