“แรกเริ่มเลย เราจะมาวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่จนถึงตอนนี้นะคะ เราจะเรียกเนื้อเรื่องฉบับที่เอลริสเป็นคนอัปลักษณ์ว่า “ฉบับ A” และฉบับที่ทุกคนรู้จักอยู่ในตอนนี้ว่า “ฉบับ B” จากมุมมองของชั้น ในชาติที่แล้วชั้นผ่านเหตุการณ์แบบเดียวกับในฉบับ A มา ส่วนเหตุการณ์ของฉบับ B นี่ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ยามาโตะอธิบายพลางดื่มเมลอนโซดา
โลกไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม มีเพียงฟุโดวและเอลริสเท่านั้นที่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป
หลังจากนั้น ฟุโดวก็ถามสิ่งที่คาใจเขาอยู่
“ถึงจะบอกว่าเนื้อเรื่องของ’บุปผานิรันดร์’เป็นเรื่องราวจากชาติที่แล้วของคุณ แต่เกมนี้มันเป็นประเภทที่มีฉากจบหลากหลายรูปแบบและมีทางเลือกมากมายที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องไม่ใช่หรือครับ แบบนั้นคุณก็ไม่น่าจะผ่านเหตุการณ์พวกนั้นมาหมดได้ไม่ใช่หรือครับ…?”
“อา ส่วนมากแล้วจะเป็นแค่การคาดเดาน่ะค่ะ ชั้นก็แค่จินตนาการว่า’ถ้าเวอร์เนลเลือกที่จะทำอย่างนี้ ก็จะได้ผลลัพท์มาอย่างนี้’ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆก็คือเนื้อเรื่องของรูทเอลริสนั่นล่ะค่ะ เพราะแบบนั้นมันถึงเป็นทรูเอนดิ้งของเกม”
หรือก็คือ รูทอื่นๆนอกจากรูทเอลริสเป็นเพียงเรื่องที่ยามาโตะแต่งขึ้นมา เพราะแบบนี้ฟุโดวจึงดูพวกมันได้ไม่มีปัญหา เพราะมันไม่ใช่อนาคตของเอลริสที่แท้จริง
ตอนแรกก็นึกว่าเป็นอนาคตทางแยก แต่ดูเหมือนจะคิดมากไป
ไม่ใช่ความเป็นไปได้ แต่เป็นเพียงจินตนาการ
“อย่างน้อยๆก็จะบอกว่ามันไม่ใช่แค่การคาดเดาธรรมดาหรอกนะคะ ชั้นน่ะค่อนข้างจะมีความเชี่ยวชาญพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่… ตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว การคาดเดาของชั้นมักจะถูกซะส่วนใหญ่น่ะค่ะ”
เป็นความสามารถที่สุดยอดเลยแฮะ แต่ยังไงซะมันก็ยังเป็นแค่การคาดเดาอยู่วันยังค่ำ ฟุโดวดื่มน้ำเพื่อล้างคอ จากนั้นจึงถามต่อ
“แสดงว่าฉบับAนี่เป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเองหรือครับ?”
“ก็เป็นไปได้นะคะ…แต่ว่าก็มีความเป็นไปได้อื่นอีก ขอเปลี่ยนเรื่องสักหน่อย ในพวกเนื้อเรื่องไซไฟนี่ ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอดีต มักจะเกิดผลลัพท์ได้สามประเภท รู้ไหมคะว่ามีอะไรบ้าง?”
“อะไรครับเนี่ยอยู่ๆก็? ก็ถ้าอดีตเปลี่ยน อนาคตก็เปลี่ยนตาม แบบนี้ใช่มั้ยครับ?”
“ค่ะ นั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เรื่องคนเหล็กไม่ก็หุ่นยนต์แมวอ้วนสีฟ้า”
จู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ตอบไปตามสัญชาตญาณ
ยามาโตะพยักหน้าให้กับคำตอบของเขา
“ต่อไปก็ ผลลัพท์ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะว่าจริงๆแล้วอดีตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง”
ถ้าจะพูดก็คือ สมมติว่าตัวเอกเคยถูกใครสักคนช่วยเอาไว้ในตอนเด็ก จากนั้นตัวเอกก็ย้อนเวลากลับไปแล้วช่วยเด็กคนหนึ่งเอาไว้ได้ จริงๆแล้วเด็กคนนั้นก็คือตัวเองในวัยเด็ก หรือก็คือลูปเวลา ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เหมือนกับในเรื่องเด็กแว่นที่มีแผลเป็นรูปสายฟ้าอยู่บนหน้าผาก
“ค่ะ นั่นเป็นผลลัพท์ที่สอง”
ยามาโตะพยักหน้าอีกครั้ง
“สุดท้ายก็คือ ถึงอดีตเปลี่ยน อนาคตของเส้นเวลานี้ก็จะไม่เปลี่ยนตาม…เป็นเพียงการสร้างโลกคู่ขนานขึ้นมาก็เท่านั้น”
“ค่ะ นี่คือผลลัพท์ที่สาม ตัวอย่างก็เหมือนกับในหนังรวมญาติซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทำรายได้ถล่มทลายนั่นล่ะค่ะ”
“แล้วนี่มันเกี่ยวกับเรื่องทางนี้ยังไงหรือครับ?”
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆก็คุยเรื่องไซไฟกัน
ยามาโตะยกนิ้วขึ้นมา ก่อนจะอธิบายต่อ
“จุดเปลี่ยนใหญ่ที่สุดของฉบับAและฉบับBก็คือเอลริสค่ะ ที่ชั้นคิดก็คือ โลกของฉบับAที่คุณเห็นอาจจะมีอยู่ที่ไหนสักแห่งจริงๆก็ได้ ขอเรียกโลกและฟิโอริที่ดำเนินไปตามเนื้อเรื่องฉบับAว่าโลกAและฟิโอริA ส่วนโลกที่เราอาศัยอยู่ในขณะนี้และฟิโอริที่ชั้นเคยอาศัยอยู่ว่าโลกBกับฟิโอริBนะคะ”
เธอหยิบกระดาษขึ้นมาแล้ววาดเป็นวงกลมสี่วง
ด้านบนคือฝั่งA ด้านล่างคือฝั่งB
“จากนั้นก็มาวาดแผนผังกันนะคะ”
เธอพูดอย่างนั้นพร้อมจิ้มไปที่ฟิโอริA
“ในฟิโอริAนี้มีชาติที่แล้วของชั้นที่ไม่ใช่ชั้น ตัวชั้นคนนั้นผ่านเนื้อเรื่องฉบับAมา แล้วไปเกิดใหม่ที่โลกA”
เธอวาดลูกศรชี้ไปที่โลกA
“ตัวชั้นคนนั้นเขียนบท’บุปผานิรันดร์’ตามเรื่องราวที่เธอเจอมา แล้วเกมฉบับนั้นก็คือเนื้อเรื่องที่พวกคุณสองคนเคยเห็น…ถ้าจะให้เดานะคะ เอลริสเองก็เคยเห็นเนื้อเรื่องของเกมฉบับAมาก่อนเช่นกัน พอมาลองคิดดูแล้ว บางครั้งเธอก็เลือกที่จะทำเหมือนว่าเธอรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้”
ฟุโดวรู้เหตุผลดี
ถ้าเขาทำได้ เขาจะเขียนลูกศรชี้จากโลกAไปฟิโอริB
หรือก็คือเอลริสตายจากโลกAแล้วไปเกิดใหม่ในอดีต
เอลริสคนนี้เลือกเส้นทางที่แตกต่างจากอ้วนริส ทำให้อดีตเปลี่ยนไป สร้างฟิโอริคู่ขนานขึ้นมา
“การกระทำของเอลริสก่อให้เกิดเป็นฟิโอริB จากนั้นตัวชั้นจากฟิโอริBก็ตายแล้วมาเกิดใหม่ในโลกB แล้วเขียน’บุปผานิรันดร์’ฉบับปัจจุบันขึ้นมา”
“…อย่างนี้นี่เอง แสดงว่าฉบับที่เราเคยเห็นนี่คือเนื้อเรื่องจากอีกไทม์ไลน์หนึ่งสินะคะ?”
ในระหว่างที่คุยกันอยู่ ฟุโดวก็เริ่มวิเคราะห์ในหัว
ทั้งตัวเขาและเอลริสน่าจะมาจากโลกAทั้งคู่ ดูจากการสนทนาจนถึงตอนนี้แล้ว
จากนั้นมันก็ปิ๊งในหัว อย่างนี้นี่เอง เพราะแบบนี้เสื้อโค้ทถึงถูกวางเอาไว้ในจุดที่ต่างจากที่จำได้
เขาเองก็คงจะถูกเอลริสลากมาที่ไทม์ไลน์Bด้วย น่าจะเป็นเพราะว่าวิญญาณเชื่อมต่อกัน
ในเวลาที่เธอกำลังเกิดใหม่ที่ เขาก็โดนดึงมาที่โลกนี้ และผสานเข้ากับตัวเขาของโลกB
ถ้าจะให้คิด ฟุโดว นิอิโตะของโลกAน่าจะตายไปแล้วจริงๆ
วิญญาณของเขาถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่ใหญ่กว่าไปเกิดเป็นเอลริสที่ฟิโอริ ในขณะที่ส่วนน้อยถูกผสานเข้ากับฟุโดวของโลกนี้
เสื้อโค้ทของเขาถึงอยู่ในที่ที่ต่างจากที่เขาจำได้
ตัวเขาน่าจะโดนเขียนทับลงบนฟุโดวของโลกB ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่มีอยู่
สำหรับอิจูอินนั้น เขาน่าจะเป็นคนของโลกBมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่โดนปรับแต่งความทรงจำให้เข้ากับฟุโดวที่มาจากโลกA
ฟุโดวได้แต่ถอนหายใจ
เอาเถอะ…ยังไงเรื่องเกี่ยวกับทางแยกเวลาหรือโลกอื่นนี่มันก็อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์มาตั้งแต่แรกแล้ว คิดมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ เอาเป็นว่ารู้ว่าเอลริสไม่ได้ไปเกิดในโลกเกม แต่เป็นเกมเองที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้โลกนั้นเป็นพื้นฐาน แค่นั้นก็พอแล้ว
อย่างน้อยเขาก็รู้แล้ว ว่าโลกนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องแต่ง
นี่ ตัวชั้นอีกคนนึง เอลริส…อีกฟากนึงน่ะเป็นของจริงนะเออ เลิกคิดว่ามันเป็นแค่เกมได้แล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็…แกจะได้เสียใจภายหลังแน่
ถึงอย่างนั้น เสียงของเขาก็คงส่งไปไม่ถึง
ถึงอย่างนั้นฟุโดวก็ภาวนา ให้เธอเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจในตอนจบ
.
ไฮ้ย้าาา–เวลาตัดสินมาถึงแล้วครับพี่น้อง!
หลังจากที่เวอร์เนลสารภาพรักกับชั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ได้เวลาบุกฐานทัพใต้ดินสักที
เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
ชั้นหลีกเลี่ยงการตอบกลับเวอร์เนลมาได้พร้อมกับเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับอายุขัยที่เหลืออยู่ นี่ชั้นก็เจ๋งเหมือนกันนะเนี่ย
ตามที่ไอ้แว่นโรคจิตบอกมา แผนการสวมรอยเป็นเจ้าหมึกท่าจะได้ผลเกินคาด เธอกำลังชะล่าใจที่เซนต์เดินทางออกนอกสถาบันไปแล้ว ตอนนี้ล่ะเป็นโอกาสดีสำหรับการจู่โจม
ดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะถึงทางตันในเรื่องการสวมรอยเป็นดิแอสแล้วเหมือนกัน
จริงๆชั้นก็เริ่มเข้าใกล้ขีดจำกัดแล้วอ่ะนะ
ถ้าเวอร์เนลหลุดอะไรออกไปล่ะก็หมดกัน รีบเอาให้มันจบๆเรื่องแล้วคืนตำแหน่งเซนต์ให้เอเทอร์น่าไปดีกว่า
หลังจากนั้นจะเป็นยังไงนี่ตูก็ไม่สนแล้ว ถ้าชั้นรอดก็คงหนีไปจำศีลที่ไหนสักแห่ง ถ้าชั้นตายก็ไปนอนพักบนสวรรค์ แค่นั้นแหละ
ถ้าความแตกล่ะก็ ทุกคนก็คงคิดว่า “อ้าว ตัวปลอมนี่หว่า งั้นก็ตายซะ” คงไม่มีใครมาเสียใจที่ชั้นตายหรอก
ในเรื่องของปฏิบัติการณ์นี้ พวกเวอร์เนลจะทำเป็นว่ามีการฝึกพิเศษเพื่อใช้เป็นข้ออ้างลงไปใต้ดิน
เหมือนแม่มดซังจะเคยส่งจดหมายมาว่า “ให้ส่งคนที่สนิทกับเซนต์ลงไปหาเพื่อจะได้จับไว้เป็นตัวประกัน”
ถือว่าดีเลย แบบนี้จะทำให้พวกเวอร์เนลน่าสงสัยน้อยลง ใช้เรื่องตัวประกันนี่เป็นข้ออ้างได้
ในระหว่างนั้นชั้นก็จะดูดพลังเวทย์รอบๆออกไปให้หมด แล้วค่อยลงไปใต้ดินเพื่อจัดการเธอแล้วให้อัลเฟรียปนึกซะ
พอจบภารกิจ ชั้นก็จะทิ้งจดหมายสารภาพไว้ในห้อง แล้วก็หนีไป
ก็จะกลายเป็นตอนจบแบบ “เซนต์ตัวจริงเอเทอร์น่าบันซายยย!” แฮปปี้เอนดิ้ง
ถ้าผนึกมันไม่ได้ผล ชั้นก็แค่ลากแม่มดไปโลกหน้าด้วยกัน หึ…ระดับนี้แล้ว ไม่มีทางเลยที่จะพลาดได้ ชนะอยู่แล้ว
“สำหรับปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ ชั้นต้องฝากความหวังไว้ที่พวกคุณแล้วค่ะ แต่จำเอาไว้นะคะ อย่าพยายามที่จะเอาชีวิตตนเองไปทิ้งเด็ดขาด บทบาทของพวกคุณก็คือการหลอกล่อให้แม่มดใช้พลังเวทย์จนถึงระดับที่ไม่สามารถใช้เวทย์เทเลพอร์ตหลบหนีได้ เมื่อสำเร็จภารกิจแล้ว ให้ทำการหลบหนีในทันทีเลย…เข้าใจไหมคะ?”
ถ้าใครซักคนนอกจากชั้นตายตอนจบล่ะก็ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่แฮปปี้เอนดิ้งที่สมบูรณ์แบบหรอกนะ
ทุกคนต้องรอดไปให้ได้ เคนะ?
อย่าเห็นหน้าที่สำคัญกว่าชีวิตเชียวล่ะ
“ครับ!/ค่ะ!”
“เฮ้ ขอกินเมานท์(พุดดิ้ง)ก่อนไปได้มั้ยอ่ะ”
ทุกคน เว้นไว้สองคน ตอบอย่างฮึกเหิม
คนนึงคืออัลเฟรียที่อ่านบรรยากาศไม่เป็น
อีเซนต์คนแรกนี่มันอัลไลนิ…?
อีกคนที่ไม่ตอบก็คือเวอร์เนลที่สีหน้าเคร่งเครียดชอบกล
“เวอร์เนลคุง?”
“อ๊ะ คะ ครับ! จะพยายามครับ!”
ทำไมดูใจลอยจังหว่า?
เอาจริงหน่อยสิเฮ้ย แกเป็นหัวหอกของภารกิจนี้นะเออ
อย่าใจลอยจนคว้าน้ำเหลวซะล่ะ
นี่ไม่ใช่การซ้อมนะเว้ย ตั้งใจหน่อย!
อย่าเสียสมาธิต่อหน้าศัตรูเป็นอันขาดเข้าใจมั้ย?
____________________
เอลริส: Nah, I’d win.
อาทิตย์หน้าผมติดสอบนะครับ ก็ไว้มาเจอกันอาทิตย์ต่อจากนั้นแทน