ยามาโตะ ทามากิ
นั่นคือชื่อจริงของนักเขียนบทเกม “บุปผานิรันดร์ร่วงโรย” ที่อิจูอินค้นหาจนเจอหลังจากผ่านไปไม่กี่วัน
มันไม่ควรจะใช้เวลาค้นหานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ ตามปกตินี่ถ้าจะหาจริงๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว
อิจูอินไม่สามารถจำชื่อของเธอได้เลย และในคลังข้อมูลของบริษัทก็ไม่ปรากฏชื่อเธออยู่ด้วย
หายังไงก็หาไม่เจอ เหมือนกับพยายามจับเมฆหมอกที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
กว่าจะหาชื่อของเธอได้ ก็จนเรื่องราวของทาง”ฝั่งนั้น”ดำเนินไปจนถึงจุดจุดหนึ่งก่อน
ไม่รู้ทำไม จู่ๆข้อมูลที่ดูจะหายากแสนยากนั้นก็กลับถูกเจอง่ายๆเสียอย่างนั้น
จู่ๆอิจูอินก็จำชื่อนักเขียนคนนั้นขึ้นมาได้
แต่แลกกับสิ่งนั้น ข้อมูลในสมองของอิจูอินที่เกี่ยวกับ”เนื้อเรื่องที่แท้จริง”จากช่วงที่เอลริสยังเป็นวายร้ายกลับหายไปซะเกือบหมด
เขาเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเอลริสนั้นเคยเป็นตัวละครแบบไหนมาก่อน
ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆถูกแทนที่ด้วย”เนื้อเรื่องปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว” ตัวละครเอลริสในความคิดของเขาก็ค่อยๆถูกเปลี่ยนให้เป็น”เซนต์ตัวปลอมที่สมจริงเสียยิ่งกว่าตัวจริง”
อิจูอินค่อยๆที่จะลืมเลือนโลกอย่างที่เคยเป็น
ไม่รู้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองเช่นไรดี
อาจจะหาคำตอบไม่เจอเลยก็ได้ หรืออาจจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องอยู่ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
ถึงอย่างนั้น ทั้งสองก็ยังจะค้นหาต่อไปจนกว่าจะถึงทางตัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกแปลกๆในอกนี้ก็จะไม่หายไป
อิจูอินติดต่อเต่าแห่งฟิโอริ ยามาโตะซัง และนัดที่จะพบกัน
พวกเขาเลือกที่จะนัดพบกันในคาเฟ่ที่ดูหรูหราเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นคนขอมาเอง
…อิจูอินจ่ายนะเออ
กว่าจะหาตัวเธอเจอนี่ก็ลำบากแทบแย่ จะปล่อยโอกาสนี้หลุดไปก็ไม่ได้ อิจูอินจึงจำใจทำตามที่อีกฝ่ายขอ
คาเฟ่นี้มีสไตล์ที่ไม่ได้พบให้เห็นบ่อยนักในญี่ปุ่น ด้านในตกแต่งเป็นธีมป่า เครื่องใช้ทั้งหมดไปจนถึงพื้นล้วนทำจากไม้
เป็นคาเฟ่ที่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ อิจูอินถามพนักงานถึงคนที่มานัดรอไว้
คุณพนักงานจึงพาไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง
คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น…คือผู้หญิง
ค่อนข้างที่จะยังเด็ก จากรูปร่างหน้าตานี่อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี
ผมสีดำยาวถึงบ่า ตามสไตล์ผู้หญิงญี่ปุ่นทั่วไป สวมใส่ชุดสูท
หน้าตาจัดว่าธรรมดา ไม่ได้สวยถึงขนาดต้องเหลียวตามอง แต่ก็ไม่ขี้เหร่อะไร
ทั้งสองคนทักเรียกเธอ
“ขอโทษนะครับ ยามาโตะซังใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ อิจูอินซังสินะคะ? รออยู่เลยค่ะ”
เป็นคนที่นัดกันไว้จริงๆ
ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามเธอ
ข้างๆเธอมีจากเปล่าอยู่ไม่น้อยเลย ดูท่าเธอจะสั่งอาหารไปพอสมควรในระหว่างที่รอ
อิจูอินเลี้ยงนี่นะ
“คือว่า คนที่อยู่ตรงนั้น…”
“มาด้วยกันน่ะครับ”
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ? สีหน้าดูไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นไรครับ”
ยามาโตะถามฟุโดวด้วยท่าทีเป็นห่วง
ปกติพนักงานคาเฟ่มักจะไม่ค่อยสนใจว่าลูกค้าจะทำอะไร แต่พนักงานของที่นี่คอยหันมามองฟุโดวที่สภาพดูไม่ได้อยู่เป็นพักๆ
คงจะคิดประมาณว่า “ขออย่ามาล้มพับที่นี่ละกันนะ”
ถ้ามีใครตายในร้าน ถึงทางร้านจะไม่ผิดอะไร แต่ก็ยังจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของร้านอยู่ดี
สำหรับทางคาเฟ่แล้ว ยิ่งเขากลับไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
“แล้ว…มีอะไรรึเปล่าคะ? เห็นบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุย ถ้าจะถามเรื่องภาคต่อล่ะก็ เคยบอกไปแล้วนะคะว่ายังไม่ได้เริ่มทำน่ะ อีกอย่างชั้นก็เคยบอกตั้งแต่แรกแล้วนะคะว่า’บุปผานิรันดร์’น่ะเป็นงานแบบชิ้นเดียวจบในตัว จะให้อยู่ๆมาคิดภาคต่อนี่มันลำบากทางนี้นะคะ ให้เขียนไปสั่วๆคงไม่ได้หรอก…”
“ต้องขอโทษกับเรื่องนั้นด้วยนะครับ แต่เกมนั้นเป็นสินค้าที่นิยมที่สุดของบริษัทเรา ทางเราไม่มีทางเลือกนอกจากทำภาคต่อจริงๆครับ ถ้าทางคุณไม่สะดวกล่ะก็ เราอาจจะจ้างนักเขียนคนอื่นมารับงานต่อแทน…”
“ไม่ค่ะ ชั้นไม่ยอมยกให้เรื่องราวนี้ให้ใครที่ไหนไม่รู้เอาไปทำต่อหรอกนะคะ ถ้าบอกว่าไม่มีภาคต่อก็คือไม่ค่ะ”
ยามาโตะพูดด้วยท่าทางหงุดหงิดพร้อมส่งสายตาให้อิจูอิน
ดูเหมือนว่าแผนสร้างภาคต่อของบุปผานิรันดร์นี่จะเป็นการตัดสินใจของทางบริษัทเกมฝ่ายเดียวสินะ
งี้นี่เอง เพราะอย่างนี้ถึงไม่มีภาคต่อออกมาสักที
เพราะว่าคนเขียนบทตั้งใจว่าจะให้เป็นงานแบบชิ้นเดียวจบตั้งแต่แรก
“เรื่องนั้น…อุ๊บส์ จริงๆแล้ววันนี้เราไม่ได้มาเพื่อพูดถึงเรื่องนั้นหรอกนะครับ อาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ…แต่ช่วยฟังที่พวกเราจะพูดหน่อยได้ไหมครับ?”
“…น่าเหลือเชื่อ หรือคะ?”
อิจูอินบอกเธอถึงเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น
พูดถึง”เนื้อเรื่องเดิม”ที่มีเพียงเขาและฟุโดวที่จำได้ รวมไปถึงตัวละครเอลริสฉบับเดิม
เพราะอะไรบางอย่าง เอลริสโผล่มาให้ฟุโดวพบทางฝั่งนี้ และการกระทำของเธอก็ทำให้เนื้อเรื่องของเกมเปลี่ยนตามไปด้วย
มีเพพียงพวกเขาสองคนที่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ ในขณะที่คนอื่นๆคิดว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว
พวกเขาไม่สามารถหาข้อมูลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้…ยกตัวอย่างเช่น ไม่สามารถค้นดูสปอยล์ในอินเตอร์เน็ตได้
เมื่อได้ยินทั้งหมด ยามาโตะก็นำมือมาปิดไว้ที่ปากด้วยสีหน้าจริงจัง
“น่าสนใจ…นี่สอดคล้องกับสิ่งที่ชั้นเห็นจากฟากนั้น…ห้วงเวลาผันผวน…? ทางแยกของความเป็นไปได้…? แสดงว่าเอลริสคือกุญแจจริงๆด้วย…?”
ยามาโตะงึมงำกับตัวเอง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองฟุโดวและอิจูอิน
“เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยค่ะ และชั้นเชื่อที่พวกคุณพูดค่ะ”
“ดูจะเชื่อง่ายนะครับเนี่ย ทั้งที่มันไม่สมเหตุสมผลเลยแท้ๆ”
“ก็จริงนะคะ…เพียงแต่ว่า ทางนี้เองก็เคยเห็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลมาพอสมควรเลยน่ะค่ะ”
มุมปากของเธอเผยอเล็กน้อย
ว่าแล้วเชียว เธอรู้อะไรมากกว่าจริงๆด้วย หรือว่าเธอจะรู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้
อย่างน้อยที่สุด คนปกติที่ไหนก็คงไม่พูดว่าเชื่อในเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่มีพื้นฐานอะไรมาก่อนหรอก
จริงๆแล้วทั้งสองคนยังคิดเลยนะว่าจะโดนยามาโตะโทรเรียกรถพยาบาลมารับไปน่ะ
สักพักหนึ่ง ยามาโตะก็พูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อออกมา
“จริงๆแล้ว…’บุปผานิรันดร์ร่วงโรย’ไม่ใช่เรื่องราวที่ชั้นแต่งขึ้นมาหรอกค่ะ มันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอื่นจริงๆ… ที่ชั้นทำก็แค่นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฟิโอริมาเผยแพร่ทางฝั่งนี้”
“หะ หา…นั่นหมายความว่าไง…”
“ชั้นเคยใช้ชีวิตอยู่ในโลกอื่นมาก่อนค่ะ ชั้นเสียชีวิตลงแล้วกลับมาเกิดใหม่ทางฝั่งนี้ จะเรียกว่ากลับชาติมาเกิดก็ได้นะคะ ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยังมีความทรงจำของชาติที่แล้วอยู่ได้…เอลริสที่ชั้นรู้จักน่ะ คือเซนต์ตัวปลอมที่ยิ่งกว่าเซนต์ตัวจริงมาตั้งแต่แรกแล้ว ชั้นไม่เคยเห็นเอลริสผู้ชั่วร้ายที่พวกคุณพูดถึง และไม่เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอเลยค่ะ”
ความจริงจากปากของยามาโตะ เธอคือคนจากฝั่งนั้นที่กลับมาเกิดใหม่ในโลกฝั่งนี้
ฟุโดวสามารถเข้าใจได้ง่ายๆเพราะประสบการณ์ของตัวเขาและเอลริส แต่สำหรับอิจูอินแล้ว เรื่องนี้แทบจะทำให้สมองระเบิด
“ปะ…เป็นไปไม่ได้ จะให้เชื่อเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน การกลับชาติมาเกิดนี่เป็นไปได้ยังไงกัน แล้วสมองล่ะ!? ข้อมูลความทรงจำของคนเรานี่มันอยู่ที่สมองไม่ใช่เหรอ ถ้าตายมาเกิดใหม่ในร่างใหม่แล้วความทรงจำมันจะติดมาด้วยได้ยังไง!”
ที่อิจูอินพูดก็มีเหตุผล
สมองคือส่วนที่เก็บความทรงจำ
สมมติว่าต่อให้การเกิดใหม่มีจริง ถ้าไม่ได้พกสมองเดิมมาด้วย ก็ไม่ควรที่จะมีความทรงจำเก่าติดมาด้วยได้
แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะใช้คอมมอนเซนส์เข้าใจได้อยู่แล้วน่ะนะ
โลกนี้มีสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจอยู่มาก…อะไรแบบนั้นล่ะมั้ง
“อิจูอินซัง เธอเชื่อที่ทางเราพูดนะครับ ถ้าเราไม่เชื่อเธอด้วย ก็คุยกันต่อไม่ได้หรอกนะครับ”
“อึก…แต่ว่า…ไม่สิ เข้าใจแล้วครับ ตอนนี้เราต้องไปต่อ”
อิจูอินไม่อยากจะยอมรับเรื่องนั้น แต่ก็ต้องทำใจไว้ก่อน เพื่อให้การสนทนานี้ไปต่อได้
เขายกน้ำขึ้นมากระดกอย่างรุนแรงในขณะที่ฟุโดวพูดต่อ
“หรือก็คือ…สำหรับคุณแล้ว โลกนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เนื้อเรื่องของเกมมันเป็นแบบนี้มาแล้วตั้งแต่ต้น มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้นที่จำเนื้อเรื่องที่ต่างออกไปได้ เข้าใจอย่างนี้ถูกมั้ยครับ?”
“ค่ะ สำหรับทางพวกคุณแล้ว ด้วยข้อมูลจำกัดที่มีอยู่ คุณอาจจะเห็นว่าอนาคตนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นจึงไม่สามารถทราบได้ แต่…ในมุมมองของชั้นแล้ว นั่นไม่ใช่เลยค่ะ เนื้อเรื่องของเกมนั้นจบลงไปแล้ว ชั้นเคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว เรื่องราวของทางฝั่งนั้นได้จบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย และนั่นคือเนื้อเรื่องของเกมที่ชั้นเป็นคนเขียนเองค่ะ”
คำตอบของเธฮนั้นแตกต่างจากทฤษฎีที่พวกเขาใช้เป็นพื้นฐานมาจนถึงตอนนี้
ฟุโดวคิดว่าที่พวกเขาไม่สามารถรู้เรื่องราวต่อไปได้เพราะว่ามันยังไม่ได้เกิดขึ้น
เขาคิดว่าเนื้อเรื่องของเกมนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของเอลริสทางฝั่งนั้น
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ยังถือเป็นอนาคตสำหรับเอลริสได้ ทางเธอเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่
มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวต่อไปได้ ในขณะที่คนอื่นๆได้เห็นบทสรุปของเรื่องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างน้อยที่สุด โลกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของเอลริสในแบบเรียลไทม์
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราถึงดูไม่ได้ล่ะครับว่าอีเวนต์ต่อๆไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เราก็หาข้อมูลเกี่ยวกับช่วงที่เลยจากจุดที่เอลริสกำลังดำเนินเรื่องอยู่ไม่ได้เลย อนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นกับเอลริสเลยกลายเป็นว่ายังไม่เกิดขึ้นกับเราไปด้วย”
“ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไปต่อไม่ได้…สินะคะ? นี่เป็นแค่การคาดเดานะคะ แต่ชั้นคิดว่าน่าจะเป็นการบังคับเปลี่ยนจากโลกเอง นี่อาจจะฟังดูเหลือเชื่อนะคะ แต่ว่าโลกน่ะมีเจตจำนงค์ของตัวเอง เพราะอย่างนั้นแม่มดและเซนต์ถึงเกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าโลกคงจะกลัวพวกคุณเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้น จึงจำกัดการรับรู้ของพวกคุณไว้ ถ้าหากพวกคุณรับรู้ถึงอนาคตของเอลริสและบอกเรื่องนั้นให้กับเธอ นั่นอาจจะทำให้ทิศทางอนาคตของเธอเปลี่ยนไปและเกิดพาราด็อกซ์ขึ้น…นี่จึงเป็นฟิลเตอร์ที่โลกใส่ไว้ไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น คิดว่ายังไงบ้างคะ?”
เมื่อได้ยินทฤษฎีของยามาโตะ ฟุโดวก็ได้แต่กลืนเสียงของตัวเองลงคอไป
ไม่ใช่ว่าโลกถูกเปลี่ยนในรูปแบบเรียลไทม์ แต่มีเพียงพวกเขาสองคนที่โดนปิดกั้นการเปลี่ยนแปลงนั้นไว้
อย่างน้อยที่สุด มันก็ดูน่าเชื่อกว่าโลกถูกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่มีใครอื่นรู้ตัว
โลกเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เนื้อเรื่องของ”บุปผานิรันดร์ร่วงโรย”เองก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
มีเพียงฟุโดวที่เชื่อมต่อกับเอลริสที่รับรู้ถึงเนื้อเรื่องอื่นที่ไม่ควรมีอยู่
ที่อิจูอินได้รับผลไปด้วย…ก็อาจจะเป็นเพราะว่าฟุโดวติดต่อเขาไป ทำให้ฟิลเตอร์ของโลกถูกยืดไปหาเขาด้วย
เพราะว่าเป็นอย่างนั้น ความทรงจำของอิจูอินจึงถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่เพียงในระดับสิ่งที่ฟุโดวสามารถรับรู้ได้
พูดง่ายๆ อิจูอินก็เพียงโดนลูกหลงไปด้วยเท่านั้น
ที่ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเดิมค่อยๆเลือนหายไปแล้วคิดว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น ก็คงเป็นเพราะว่าเนื้อเรื่องของทางฝั่งนั้นใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด ทำให้ฟิลเตอร์ที่มีอยู่ค่อยๆหายไปด้วย
ในอีกไม่นาน ความทรงจำของอิจูอินก็จะถูกปรับให้เป็นเหมือนคนอื่นๆและการรับรู้ถึงเกมฉบับเก่าก็จะหายไป
“ถ้าอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าคุณจะโดนโลกบังคับเปลี่ยนไปด้วยหรือครับ? ถ้าผมแค่ถามคุณไปว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นแล้วเอาไปบอกเอลริส”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ชั้นไม่คิดจะบอกฉากจบให้กับคุณอยู่แล้ว และถ้าชั้นคิดจะบอก ก็มีโอกาสที่ชั้นจะถูกบังคับให้เปลี่ยนใจหรือความทรงจำของชั้นอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
หลังจากพูดแบบนั้น ยามาโตะก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบ
ฟุโดวและเอลริสจะไม่สามารถรู้ถึงฉากจบของเกมได้จนกว่าจะถึงเวลานั้น
เมื่อคิดเช่นนั้น ฟุโดวก็ถอนหายใจเงียบๆ
___________________
งงกันมั้ย? ไม่ต้องห่วง ตอนหน้างงหนักกว่านี้อีก