ตอนที่ 77 ความเปลี่ยนแปลง

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

ภายในอพาร์ทเมนต์สองชั้นตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินญี่ปุ่น ค่าเช่าประมาณเดือนละห้าหมื่นเยน

ห้องขนาด1LDK(ห้องที่มีพื้นที่นั่งเล่น ทานข้าว และครัว) มีห้องน้ำผสมห้องอาบน้ำให้ในตัว

อาจจะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นห้องที่ดีพอตัวเลย ถึงจะค่อนข้างแพงก็เถอะ

ภายในห้องนี้ วันนี้เองฟุโดว นิอิโตะก็คอยเฝ้ามอง”ตัวเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่ง”ผ่านทางคอมพิวเตอร์เช่นเคย ถ้าจะพูด…วิญญาณในร่างนี้ของเขาก็แทบจะไม่เหลืออีกแล้ว แต่เขาก็ยังคงติดตามการเดินทางของเอลริสต่อไป

ปริมาณข้อมูลที่เขาสามารถหาได้ทางฝั่งนี้ก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น เป็นสัญญาณว่าฉากจบของเรื่องราวใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว

ตัวละครที่ไม่ได้ปรากฏในรูทอื่นอย่างโปรเฟตะ อัลเฟรีย และครั๊นช์ไบท์ ด็อกแมนก็ถูกใส่เข้ามาในเนื้อเรื่อง ทิศทางของเรื่องเองก็แยกออกจากรูทอื่นๆไปมากโข

ไม่กี่วันหลังการค้นพบรูทเอลริส ข้อมูลคาแรคเตอร์ของเธอในวิกิก็ถูกเปลี่ยนไป

[เอลริส]

ตัวละครจาก “บุปผานิรันดร์ร่วงโรย” ไม่สามารถจีบได้

….เธอถูกคิดว่าเป็นตัวละครที่ไม่ใช่เป้าหมายในการจีบมานานถึงสี่ปี แต่จากไลฟ์ของสปีดรันเนอร์ท่านหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่านั่นไม่จริง

เธอคือตัวตนที่ถูกเรียกว่าเซนต์ ขั้วตรงข้ามของแม่มด

ครั้งยังเยาว์ เธอเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ จนกระทั่งวันหนึ่งความเป็นเซนต์ในตัวเธอก็ถูกปลุกขึ้น เธอเริ่มที่จะทำทุกอย่างเพื่อ”คนอื่น” เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือราวกับเป็นคนละคน

ทั้งความสามารถทางด้านเวทมนตร์ของเธอก็อยู่ในระดับสูงสุดสมกับตำแหน่งเซนต์ ความสามารถในการต่อสู้ของเธอถือว่าสูงที่สุดในเกม

ในฐานะตัวแทนแห่งแสงสว่างที่ต่อกรกับตัวแทนแห่งความมืดอย่างแม่มด ในบางครั้งเธอจะปรากฏตัวเพื่อช่วยผู้เล่นจากสถานการณ์คับขัน

ก่อนเริ่มเนื้อเรื่องหลัก เธอได้ปรากฏต่อหน้าเวอร์เนลที่อายุได้สิบสี่ปี เพื่อช่วยเหลือและทำให้เขาสามารถควบคุมพลังความมืดในตัวได้ เป็นจุดพลิกผันที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเวอร์เนลผู้ได้รับจี้ห้อยคอมาจากเธอ

ร่างกายของเธอหยุดเติบโต รูปลักษณ์ภายนอกของเธอที่มีอายุ 17 จึงไม่เปลี่ยนไปจากตอนอายุ 14 ปีเลย

เซนต์เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับแม่มด ไม่แก่ ไม่ตาย ยกเว้นจะถูกฆ่าด้วยพลังประเภทเดียวกัน

เธอยังมีพลังในการชำระล้างความมืดของแม่มด

หากมีที่ใดที่ถูกโจมตีโดยปีศาจ เธอก็จะมุ่งหน้าไปช่วยเหลือในทันที ถึงแม้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆก็ตาม เธอไม่เคยทอดทิ้งใคร และจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยให้ทุกคนที่ต้องการอย่างไม่แบ่งแยก

ก่อนยุคสมัยของเธอ ในโลกนั้นจะมีปีศาจอยู่ทุกหนแห่ง เรียกได้ว่าไม่สามารถก้าวออกจากเขตเมืองได้โดยไม่โดนปีศาจโจมตี  แต่ปีศาจพวกนี้ก็ได้ถูกเธอกำจัดออกจากทวีปไปแล้วตั้งแต่ช่วงก่อนเริ่มเนื้อเรื่องหลัก

ทำให้การค้าขายลื่นไหลมากยิ่งขึ้น และสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ดีขึ้นตามไปด้วย

พื้นที่ที่ถูกปีศาจและแม่มดสร้างความเสียหายก็กลายมาเป็นอุดมสมบูรณ์ ผืนดินแห้งแล้งที่ไม่อาจเพาะปลูกอะไรได้ล้วนเต็มไปด้วยผลผลิต

เธอนำมาซึ่งมันฝรั่งและถั่วเหลือง ที่สามารถเติบโตได้กระทั่งในดินที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชผล จำนวนผู้คนที่ล้มตายจากความอดอยากลดลงไปไม่รู้เท่าไร

นอกจากจะเป็นเซนต์ผู้กำจัดปีศาจแล้ว เธอยังถูกนับถือในฐานะเซนต์แห่งความอุดมสมบูรณ์ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีเซนต์ผู้ใดในอดีตสามารถทำได้ ทำให้เธอกลายเป็นที่นับถือจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก

นี่ทำให้เธอเป็นเซนต์คนเดียวที่ได้รับการเฉลิมฉลองในวันเกิด

กระทั่งฝีมือด้านการครัวของเธอยังล้ำเลิศ ขนามหวานคล้ายเค้กที่เธอทำถูกเปรียบเป็นดั่ง”เมฆ”

เธอเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับตำแหน่ง”เซนต์”เป็นที่สุด เหมือนดั่งอุดมคติที่กลายเป็นความจริง แต่แท้จริงแล้วเธอก็คือ……

…ว่าแล้วเชียว ข้อมูลเยอะขึ้นกว่าเดิมอีกแฮะ

ยิ่งอ่านตัวเองอีกคนถูกชมก็ยิ่งทำให้ฟุโดวรู้สึกคันคะเยอ

เธอเป็นที่รักของผู้คนทางฝั่งนั้นสุดๆเลยแฮะ

ในส่วนของฝีมือการทำอาหาร ก็เป็นชายโสดที่อาศัยอยู่คนเดียวอ่ะนะ ก็พอทำเป็นบ้าง แต่จะว่า”ล้ำเลิศ”หรืออะไรนี่ก็ออกจะเกินไปหน่อย

ถ้าจะให้พูด พวกขนมจากร้านสะดวกซื้อนี่น่าจะดีกว่าอีก

แต่ก็นะ ความรู้ด้านสูตรอาหารของโลกนั้นนี่ล้าหลังซะขนาดนี้…จะมองอาหารพท้นๆจากยุคสมัยนี้ว่าเป็นของชั้นเลิศก็คงไม่แปลกอะไร

เขาเลื่อนลงมาดูช่วง [ตัวตนที่แท้จริงของเอลริส] แต่ช่วงนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรจึงขอข้ามไป

เลื่อนผ่านช่วง [บทบาทในเนื้อเรื่องหลัก] ในส่วนที่เคยเห็นมาแล้ว ดูเฉพาะจุดที่โดนเติมเข้ามา

[บทบาทในเนื้อเรื่องหลัก]

หลังจากอีเวนต์ที่เอเทอร์น่าพยายามฆ่าตัวตาย บทบาทของเอลริสในรูทนี้ก็แทบจะเหมือนกับในรูทอื่นๆ เว้นเสียแต่อาวุธพิเศษเฉพาะของรูทเอลริสที่ให้มาหลังงานประลองจบลง

ผู้เล่นจะได้อาวุธประเภทเดียวกับที่ใช้อยู่ในขณะนั้น แต่จะไม่ได้เลยหากเป็นนักสู้มือเปล่า ให้ระวังเอาไว้ด้วย

อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดจากอีเวนท์นี้ก็คือ”ดาบซุปเปอร์ต้นหอม” ที่จะได้มาเมื่อใช้”ต้นหอม”เป็นอาวุธในงานประลอง

แต่เนื่องจาก”ต้นหอม”เป็นอาวุธเอาฮาที่มีพลังโจมตีแค่หนึ่ง ผู้เล่นจึงจะไม่สามารถเอาชนะจอห์นในรอบรองชนะเลิศได้ จึงไม่คุ้มค่าที่จะที่จะเอาผลลัพท์ของงานประลองไปแลก

รูทนี้จะค่อยๆแยกตัวออกมาหลังการทรยศของดิแอส

หลังการต่อสู้ คำพูดของเธอทำให้ดิแอสเลิกขัดขืน คาดว่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ

ภายในช่วงวันหยุดฤดูหนาว เธอถูกเชิญให้กลับไปยังปราสาทเซนต์เพื่อเข้าร่วมงานประชุมผู้นำจากหลากหลายประเทศ แต่เธอกลับถูกเหล่ากษัตริย์ที่หวดกลัวยุคสมัยที่จะไม่มีเอลริส และเหล่าอัศวินที่หวาดกลัวในความปลอดภัยของเธอจับขังเอาไว้

ที่เธอไม่หลบหนีออกมาก็เพราะว่าเลย์ล่าถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ จากนั้นจึงใช้จังหวะที่ปาร์ตี้ตัวเอกบุกเข้ามาช่วยเพื่อแก้ไขสถานการณ์ หลังจากนั้นเธอจึงรีบเดินทางไปยังเมืองหลวงของราชอาณาจักรบิลเบอรี่เพื่อหยุดการรุกรานของเหล่าปีศาจ

นอกจากนั้นเธอยังชุบชีวิตตัวเอกที่ตายไปแล้วขึ้นมาได้

เป็นเซนต์เก๊ที่สามารถทำสิ่งที่ขนาดเซนต์ตัวจริงยังทำไมได้ ให้ตายเถอะ

ในฉากนี้ถ้าค่าความชอบต่ำกว่า 50 ก็จะไม่มีฉากจูบโผล่ขึ้นมา ให้ระวังไว้ด้วย

หลังจากช่วงหยุดฤดูหนาว ผู้เล่นก็จะได้พบกับโหรเต่า”โปรเฟตะ”ที่เคยได้ยินแต่ชื่อในรูทอื่นๆ มันจะมาอาศัยอยู่ในบ่อน้ำของสถาบัน

หลังการตื่นขึ้นในฐานะเซนต์ของเอเทอร์น่า ปาร์ตี้ตัวเอกจะถูกพาไปฝึกพิเศษยังฟุกุเทน ที่นั่นเอลริสจะได้ยินเสียงเรียกของเซนต์คนแรกอัลเฟรีย นำพาไปยังสุสานของเธอ

ในเหตุการณ์นี้ ผนึกของอัลเฟรียจะถูกเอลริสคลายออกและหลุดออกมาได้สำเร็จ

ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างอัลเฟรียและแม่มดคนแรกก็จะถูกเล่าออกมา

ในช่วงสุดท้ายของบทนี้ เอลริสจะสารภาพตัวตนที่แท้จริงให้แก่ตัวเอก

ถึงแม้ตัวเอกจะสารภาพรักออกไป ก็ยังถูกปฏิเสธเนื่องด้วยอายุขัยของเธอที่เหลืออีกไม่มากแล้ว

อีเวนท์นี้จะไม่เปลี่ยนไปต่อให้ค่าความชอบจะสูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในขณะนั้น

ต่อจากนั้น…

…ฟุโดวสามารถเห็นได้ถึงตรงนี้เท่านั้น

คงจะมีอะไรถูกเขียนต่อหลังจากนี้ แต่ไม่ว่าจะเลื่อนลงไปเท่าไร แถบสปอยเลอร์ก็ยังไม่หายไป ทำให้ไม่สามารถอ่านได้

โน้ตบุ๊คของเขาเป็นแบบรุ่นใหม่ แต่ก็ยังประสบปัญหาเดิม

อย่างที่คิดเลย เขาไม่สามารถเห็นสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นทางฝั่งนั้นได้

ข้อมูลตัวละครอื่นๆที่ไม่ได้โผล่ในรูทอื่นอย่างโปรเฟตะ อัลเฟรีย ครั๊นช์ไบท์ ด็อกแมน และเอลิซาเบธ อิบลิสก็จะสามารถอ่านได้ในวิกิ

เขาคอนเฟิร์มแล้วว่าอัลเฟรียและเอลิซาเบธเป็นตัวละครที่จีบไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นตัวละครหญิงก็ตาม

เขามองหาคลิป

บทจอนั้นคือฉากการสารภาพรักของเวอร์เนลและเอลริสที่ปฏิเสธด้วยการบอกความจริง

ฟุโดวทำหน้าแบบว่า “ไอหยา เอาจนได้สิ” พร้อมเอามือตบหน้าผาก

ถึงแม้วิธีนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการตอบว่า”ไม่สนใจคุณในฐานะเพศตรงข้าม”ไปได้ แต่นี่ก็ถือเป็นวิธีที่ผิด

ในกรณีเลวร้ายที่สุด ความมุ่งมั่นของเวอร์เนลอาจจะถูกทำลายเอา

ถึงเธอจะไม่อยากปฏิเสธไปตรงๆ แต่อย่างน้อยตอบไปว่า”ไม่สนใจความรัก”ยังจะดีกว่าบอกไปอย่างนี้

ถ้าจะให้ดี บอกไปว่า”ยังให้คำตอบในตอนนี้ไม่ได้”คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาอาจจะพยายามมากขึ้นเพื่อจะรอดกลับมาฟังคำตอบให้ได้ด้วยซ้ำ

แต่ตอบไปอย่างนี้? น่าจะเป็นตัวเลือกที่แย่ที่สุดเลยมั้งเนี่ย

สงสัยจะกระวนกระวายจัดจนคิดไม่รอบคอบล่ะมั้ง?

ตั้งแต่ที่ฟุโดวเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง…เขาก็ไม่เคยตกเป็นเป้าของความรักจากผู้อื่น

ไม่แปลกหรอก ใครจะมารักคนแปลกๆอย่างเขากันล่ะ แต่เดิมแล้วฟุโดวก็ไม่ได้สนว่าตนจะเป็นที่รักของใครอยู่แล้วด้วย

เขาไม่คุ้นชินกับความรัก การที่จะกระวนกระวายกับเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

…ไม่สิ ถ้าเป็นเขาล่ะก็ นี่คงจะไม่เกิดขึ้นแน่ๆ

เขาน่ะขาดความเชื่อมต่อกับโลกจริง

ไม่ใช่ว่าเขาสามารถมองตัวเองอย่างมุมมองบุคคลที่สามได้ ต้องบอกว่าเขาไม่สามารถมองตัวเองจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งได้ต่างหาก

การได้รับความรักเช่นนี้คงจะไม่ทำให้เขารู้สึกอะไร

ไม่ต่างจากการเห็นNPCมาสารภาพรักกับตัวละครที่ควบคุมอยู่

เขารับรู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เพียงแต่จะไม่รู้สึกอะไรกับมัน

เขานั้นล่องลอยไม่ยึดติดกับพื้นฐาน นั่นคือตัวตนของฟุโดว นิอิโตะ ผู้หลุดจากความเป็นจริง

ว่าแล้วเชียว เธอน่ะ…

เขายังจำคำพูดของเอลริสได้

“ถึงจะพูดนั่นนี่ แต่ชั้นก็ชอบโลกนั้นพอตัวเลยล่ะ เพราะอย่างนั้น…ถ้าเพื่อเจ้าพวกนั้นล่ะก็ กะอีแค่ทิ้งชีวิตที่เหลืออยู่อีกไม่มากนี้ไป ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย”

เอลริสคงจะไม่รู้ตัว แต่รอยยิ้มของเธอในตอนนั้นน่ะเป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นตัวเขาล่ะก็ คงจะยิ้มแบบนั้นไม่ได้แน่

ผลลัพท์ทางความคิดของทั้งสองน่ะเหมือนกัน ทั้งคู่ต่างไม่เห็นค่าของชีวิตตนเอง

แต่ความรู้สึกที่อยู่ระหว่างกระบวนการทางความคิดนั้นมันต่างกัน

อย่างน้อยที่สุด ฟุโดว นิอิโตะก็ไม่เคยหัวเราะจากใจจริงต่อหน้าผู้อื่นมาก่อน

เขาไม่อาจคิดได้ว่าตนเองจะสามารถยิ้มได้แบบนั้น

—เธอน่ะเปลี่ยนไปนะ

ถึงเอลริสจะไม่รู้ตัว แต่เธอน่ะลอยอยู่ใกล้พื้น ใกล้กว่าที่เขาเคยเป็น

เธออาจจะไม่ได้พบกับความเป็นจริงอย่างตรงๆ เธอยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกของโลกเกมออกไปได้ แต่นั่นก็คงเป็นเพราะช่วงต้นของชีวิตนั้น…

ไม่ว่าจะอย่างไร เอลริสก็ยังแตกต่างจากฟุโดวพอสมควรเลย

“อ๊าาาาาา”

“แห้วแล้วววว”

“เอลซามะตายไวในรูทอื่นๆเหมือนหันนี่นา…”

“ตูว่าแล้ว(ตาขาวโพลน)”

“ขนาดในรูทตัวเองก็ยังหนีชะตานี้ไม่พ้นสินะ…”

“ทำไมเอลซามะต้องตายเร็วตลอดเลย?”

“อันนี้คือเปลี่ยนไม่ได้ใช่มั้ย นี่รีเซฟหลายรอบเลยเนี่ย นึกว่าค่าความชอบไม่พอ”

“ค่าความชอบ MAX แต่ก็ยังแห้วแดก”

“สิ้นหวังแล้วพี่น้องเอ๊ย!”

“ความรักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว!”

“ไม่เห็นจอเลยเว้ย หยุดพิมพ์ดิ๊”

คอมเมนต์มากันรัวๆเลย

เอาเป็นว่า ฉากจบของฝั่งน้อยก็ใกล้จะมาถึงแล้ว

ปาร์ตี้นี่ยิ่งจะโหดขึ้นไปอีก ทำเอาสงสารแม่มดเลยนะเนี่ย

ในเกมฉบับเก่า แม่มดไม่ได้มีความหวาดกลัวต่อ”เซนต์เอลริส”เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะมีความสามารถพอจะต่อกรกับแม่มดได้แท้ๆ

เพราะว่าเอลริสในตอนนั้นน่ะเป็นแค่เสนียดจัญไรที่ไม่สามารถทำอะไรดีๆเป็นชิ้นเป็นอันได้ เป็นตัวตนที่นำมาซึ่งความตกต่ำเท่านั้น

แค่เปลี่ยนคนแบบนั้นออกจากเนื้อเรื่องไปก็มากพอที่จะทำให้พวกเวอร์เนลแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว แต่เอลริสดันยกเครื่องเนื้อเรื่องใหม่หมดจนไม่เหลือเค้าเดิม พวกสมุนของแม่มดนี่คือตายเกลี้ยง

ประเทศและประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ทหารเองก็สุขภาพดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น

กระทั่งเครื่องสวมใส่ยังคุณภาพดีขึ้นตามไปด้วย

เอาทหารที่ผอมติดกระดูกมาเทียบกับทหารที่มีกล้ามเนื้อเนื่องจากอยู่ดีกินดี ไม่ต้องบอกเลยว่าฝ่ายไหนจะชนะ

ยิ่งไปกว่านั้น ความจงรักภักดีของทหารและอัศวินที่มีต่อเอลริสในฉบับเก่านี่คือติดลบ และหลังจากเธอตายไป เซนต์ตัวจริงก็ยังโดนลุกลามไปด้วย

เรียกได้ว่าที่ออกไปสู้นี่คือแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น

ในทางกลับกัน ทหารของเอลริสในปัจจุบันนี่คือค่าความจงรักภักดีทะลุหลอด แต่ละคนนี่พร้อมใจจะถวายชีวิตให้เธอกันทั้งกอง

กำลังใจมันต่างกันราวฟ้ากับเหว

มนุษยชาติต่างมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ธงของเอลริส

ต่อให้แม่มดหนีไปได้ ทั่วทั้งโลกก็มีแต่ศัตรูรออยู่เต็มไปหมด

แม่มดไม่มีใครเหลืออีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ปาร์ตี้ของตัวเอกยังได้เซนต์คนแรกเข้ามาเสริมทัพอีก

เอาตรงๆ แค่อัลเฟรียคนเดียวก็เพียงพอจะจัดการแม่มดได้แล้ว

กลายเป็นว่าแม่มดต้องเจอกับทั้งเซนต์รุ่นปัจจุบันและเซนต์คนแรกพร้อมกันโดยที่ไม่มีลูกน้องอยู่ข้างกายสักตัว

ขนาดในคลิปเองยังมีคอมเมนต์จำพวก “เริ่มจะสงสารอเล็กเซียแล้วอ่ะ ฮา” “จัดเต็มเกินไปหน่อยมั้ยเนี่ย” “โอเวอร์คิลโคตรๆ” “ตอนเป็นเซนต์เธอต้องเจอกับหนึ่งในแม่มดที่โหดที่สุด พอมาเป็นแม่มดก็ต้องมาเจอกับเซนต์คูณสองกับเซนต์เก๊ไร้เทียมทานอีกหน่อ น่าสงสารเกินไปแล้ว 555” มันอดไม่ได้จริงๆที่จะรู้สึกสงสารแม่มด ถึงแม้จะเป็นตัวร้ายก็เถอะ

ผลลัพท์ของการต่อสู้น่ะมันเห็นๆกันอยู่แล้ว

อาจจะฟังดูเหมือนปักธงตาย แต่ไม่ว่าจะปักกี่ธง ก็คงไม่มีโอกาสที่อเล็กเซียจะชนะได้เลย

ฉากจบของอีกฝั่งใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ตัวเขาเอง…ก็ต้องทำสิ่งที่สามารถทำได้เหมือนกัน

ฟุโดวปิดคอมพิวเตอร์ ลากร่างกายที่ปวดร้าวเพื่อไปหยิบเสื้อโค้ทมาใส่

เสียงกริ่งจากหน้าประตูดังขึ้นมาได้จังหวะพอดี ฟุโดวเดินตรงไปหาเสียงนั้น

“ไงครับ อิจูอินซัง”

คนที่อยู่ตรงนั้นคืออิจูอินที่ย้ายเข้ามาในอพาร์ทเมนต์นี้เมื่อไม่นานมานี้

เขามองเห็นสีหน้าของฟุโดวดูไม่สู้ดีจึงถามขึ้นมา

“เป็นอะไรมากมั้ยครับ? สภาพดูจะแย่กว่าก่อนหน้านี้อีก ไม่ต้องฝืนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปหาเต่าแห่งฟิโอริเองแล้วเดี๋ยวกลับมาบอกก็ได้”

“ยิ่งพักก็ยิ่งจะแย่ลงน่ะครับ ยังไงผมก็เหลือเวลาอีกไม่มาก…เพราะอย่างนั้น ผมเลยอยากจะรู้ความจริงในช่วงที่ผมยังขยับตัวได้น่ะครับ”

สภาพของฟุโดวนั้นแย่ลงอย่างที่อิจูอินบอกจริงๆนั่นล่ะ

แก้มซูบขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นหนังหุ้มกระดูกของแท้ก็ยังได้

ผมก็ร่วงเป็นหย่อมๆจนต้องใส่หมวกปิดไว้

แขนผอมจนใครเห้นก็คงไม่คิดว่านี่เป็นแขนของชายวัยฉกรรจ์

ถึงอย่างนั้น  รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความกลัว

เขาไม่รู้วิธียิ้มจากใจจริง แต่เขาก็ยังพยายามปั้นหน้าให้ดูเหมือนยิ้ม

เขาไม่เคยรู้สึก”มีชีวิตชีวา”ขนาดนี้มาก่อนเลย

เขามองเห็นเป็นเรื่องของคนอื่น เป็นเพียงชีวิตของตัวละครที่เขาควบคุมอยู่

แต่ไม่รู้ทำไม …เมื่อความตายใกล้เข้ามาถึงขนาดนี้ เขากลับรู้สึกถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเป็นครั้งแรก

“ไปกันเถอะครับ…ไปหาผู้สร้างโลกนั้น…ที่ที่เต่าแห่งฟิโอริอยู่”

ฟุโดวพูดเช่นนั้นพร้อมหยิบที่อยู่ของผู้เขียนบท”บุปผานิรันดร์ร่วงโรย”ขึ้นมาดู