หลังจากเอาอัลเฟรียไปทิ้ง–แค่ก แค่ก–ฝากไว้ที่ปราสาทเซนต์เรียบร้อยแล้ว ชั้นก็มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
จำเทอราคอตตะ หมู่บ้านที่เอเทอร์น่าและเอลริสเกิดได้มั้ย? ชั้นกำลังบินไปที่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆกันชื่อว่า ลูร์ฟ
ถ้าถามว่าจะไปในที่แบบนั้นทำไม ชั้นน่ะมีเหตุผลดีอยู่แล้ว เพราะว่าหมู่บ้านนี้ค่อนข้างจะสำคัญในเกมยังไงล่ะ
จำได้ป่ะที่ชั้นเคยบอกว่าเอเทอร์น่าตกลงสู่ความมืดกลายเป็นแม่มดเต็มตัวก็เพราะหมู่บ้านของเธอถูกพวกตัวประกอบบุกรุก ฆ่าพ่อแม่และเพื่อนพ้องของเธอตายเกลี้ยงน่ะ? เป็นเรื่องน่าหดหู่ชะมัด
คนร้ายของเหตุการณ์นี้ก็แน่นอนว่าเป็นอีอ้วนริส ในตอนนั้นชื่อเสียงของเซนต์อยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะเธอ หมู่บ้านตัวประกอบต้องพบกับทั้งความอดอยากและโรคระบาดแต่ก็ไม่มีใครคิดให้ความช่วยเหลือ สุดท้ายก็เลยลุกฮือกันบุกรุกฆ่าฟันครอบครัวของเซนต์เพื่อล้างแค้น
โชคร้ายที่เจ้าพวกนั้นไม่รู้ว่าเอลริสและเอเทอร์น่าเป็นคนละคนกัน สำหรับพวกเขาแล้วเซนต์ก็คือเซนต์ ทำให้ครอบครัวของเอเทอร์น่าต้องมารับเคราะห์จากความเข้าใจผิดนี้แทน
ไอ้พวกตัวประกอบนั่นก็โง่ซะเหลือเกิน ก็นะ ส่วนใหญ่พวกม็อบหัวรุนแรงมันก็โง่กันทั้งนั้นแหละ
สมมติว่าในญี่ปุ่นนี่มีเจ้าของร้านที่ชื่อยามาดะดันไปพูดอะไรแย่ๆออกทีวี ก็แน่นอนว่าร้านของนายยามาดะคนนั้นจะโดนสังคมถล่มยับ โดยเฉพาะบนสื่อโซเชียล
ทีนี้มีเจ้าของร้านอีกคนที่ชื่อยามาดะเหมือนกัน ทำธุรกิจคล้ายๆกัน แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนแรกเลย สุดท้ายเค้าก็ยังจะโดนถล่มยับบนโลกออนไลน์เหมือนกัน ทั้งที่เค้าไม่ได้มีความเกี่ยวกชข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย แค่ชื่อเหมือนเฉยๆ
นี่ขนาดเป็นยุคดิจิทัล แค่เสิร์ชกูเกิ้ลไม่เกินสองนาทีก็จะรู้แล้วว่าเป็นคนละคนกัน แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดได้มากถึงขนาดนี้
ถ้าอย่างนั้นในโลกที่ขาดการกระจายข้อมูลอย่างทั่วถึงแบบนี้ก็ไม่แปลกเลยที่พวกชาวบ้านจะแยกเอลริสและเอเทอร์น่าไม่ออกน่ะ
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ครอบครัวของเอเทอร์น่าถูกฆ่าและเธอก็บ้าคลั่งไปในที่สุด
จริงๆต่อให้ไม่มีเหตุการณ์นี้ เอเทอร์น่าที่ฆ่าอเล็กเซียไปก็จะต้องกลายเป็นแม่มดอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็วนั่นแหละ แต่อีเวนท์นี้มันเร่งให้กระบวนการมันเกิดเร็วขึ้นเฉยๆ
แต่ก็เผื่อไว้ก่อน ชั้นถึงจะมาตัดไฟแต่ต้นลมซะ
หลังจากที่ค้นอยู่ซักพัก ชั้นก็ได้รู้ว่าหมู่บ้านของพวกตัวประกอบใจโฉดพวกนั้นคือ ลูร์ฟ นี่ล่ะ รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ? เพราะในเกมมันมีใบ้ไว้อยู่ว่านี่เป็นหมู่บ้านภายใต้การปกครองของวิสเคานท์ฟ็อกซ์ไงล่ะ
ในเนื้อเรื่องเดิม วิสเคานท์ฟ็อกซ์จะแสดงความต่อต้านต่อทรราชเอลริส ทำให้ตระกูลของเขาถูกทำลาย ครอบครัวเองก็พากันฆ่าตัวตายไปหมด…เหลือไว้แต่ไอน่า
ตระกูลฟ็อกซ์เป็นขุนนางที่เป็นที่รักของชาวบ้าน จะมีการลุกฮือขึ้นหลังจากที่มันถูกทำลายก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
หมู่บ้านที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนร้ายในอีเวนต์ที่สุดก็คือหมู่บ้านภายใต้ตระกูลฟ็อกซ์ที่ใกล้กับหมู่บ้านเทอราคอตตะที่สุด ก็คือลูร์ฟ
“เราใกล้ถึลงลูร์ฟแล้วค่ะท่านเอลริส ขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมถึงอยากจะมาที่นี่? ถ้าจะให้พูดตรงๆ…ที่นี่มันไม่มีอะไรเลยนะคะ”
สาวน้อยที่มองหน้าชั้นด้วยท่าทีสงสัยก็คือไอน่า ฟ็อกซ์ ลูกสาวของวิสเคานท์ฟ็อกซ์นั่นเอง ผูกผมทวินเทลสีแดง หางตาชี้นิดหน่อย ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ
จริงๆก็ไม่ได้ต้องการการไกด์ทัวร์หรืออะไรหรอก แต่เห็นเป็นขุนนางผู้ปกครองที่ทั้งที ก็ต้องเรียกให้มาด้วยตามมารยาทหน่อย
“เพราะอย่างนั้นล่ะจ้ะ”
ชั้นตอบไปแบบยิ้มๆ
“ท่านพ่อของเธอน่ะรับใช้ชั้นมาไม่รู้กี่ปีแล้ว และตอนนี้เขายังต้องมารับหน้าที่เพิ่มเป็นครูใหญ่ของสถาบันอีก แน่นอนว่าชั้นปลื้มใจมากนะจ๊ะ แต่ว่าถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง…ก็แปลว่าเขาจำเป็นต้องออกห่างจากพื้นที่ในการปกครองของเขาใช่ไหมล่ะ ชั้นเลยจะมาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเสียหน่อยน่ะจ้ะ”
ไม่ต้องบอกเลยว่าตูแถล้วนๆ
ชั้นแค่อยากจะให้พวกมันเห็นกันเต็มๆตาว่าชั้นนี่หน้าตาเป็นยังไง จะได้ไม่ต้องมาสับสนจำสลับกับเอเทอร์น่าทีหลัง
ตอนแรกก็นึกว่าฟื้นฟูธรรมชาติ ออกตระเวนคอยรักษาผู้คน ทำลายปีศาจหายไปเกือบทั้งเผ่าพันธุ์นี่จะทำให้คะแนนนิยมชั้นสูงขึ้นซะอีก…ไม่นึกเลยว่าพวกอัศวินคนสนิทจะทรยศชั้นกันได้ง่ายๆขนาดนั้น นี่ความนิยมตูต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้เลยเรอะ
เอาเป็นว่าชั้นได้บทเรียนมาแล้วว่าอย่ามองโลกในแง่ดีเกินไป ถึงจะกันไม่ให้เกิดอีเวนต์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้พวกชาวบ้านจำให้ได้ว่าคนฟิดตัวจริงคือชั้น ไม่ใช่เอเทอร์น่า
พอมาถึงที่หมู่บ้าน พวกช้าวบ้านก็ออกมาก้มหัวต้อนรับอยู่หน้าหมู่บ้านกัน
“ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านที่ต่ำต้อยของพวกเราขอรับท่านเซนต์ ไม่นึกเลยว่าจะได้มีพบเห็นท่านตัวเป็นๆ…”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ชั้นชื่อว่าเอลริสค่ะ วิสเคานท์ฟ็อกซ์คอยให้ความช่วยเหลือชั้นอยู่ตลอด ทำให้ชั้นอยากที่จะมาเยี่ยมเยียนพื้นที่ของเขาบ้างน่ะค่ะ”
ยิ้มเข้าไว้
ว่าแล้วเชียว คนที่นี่ยังเรียกชั้นว่าเซนต์อยู่จริงๆด้วย ต้องทำให้จำชื่อชั้นให้ได้
จำใส่กะลาหัวไว้ซะไอ้พวกโง่! ชื่อของชั้นคือเอลริส เอ-รุ-ริ-สุ เข้าใจมั้ย? ดี ทีนี้จะได้ไม่จำสลับกับเอเทอร์น่า
“ทำอะไรของพวกเจ้าน่ะ?! ทำไมถึงมีคนมาต้อนรับท่านเอลริสเพียงแค่นี้?! นี่รู้ไหมว่ามันเสียมารยาทมากแค่ไหน?!”
ไอน่าด่าเข้าให้
เฮ้ย หยุด หยุด หยุด ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้! นี่เห็นตูเป็นมาเฟียรึไง? คะแนนนิยมชั้นตกหมดแล้วเนี่ย!
“ทะ-ท่านพูดถูกแล้วขอรับคุณหนู…”
หัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แต่ว่ามันมีเหตุผลอยู่—“
“อะไรล่ะ?”
ไอน่าพูดขัดไว้
“คือว่า…พวกชาวบ้านที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ทุกคนต่างป่วยกันหมดเลยขอรับ เด็กคนหนึ่งดื่มน้ำจากแหล่งที่ปนเปื้อนมลพิษจากปีศาจจนกลายเป็นโรคร้าย ก่อนที่มันจะระบาดไปสู่คนรอบข้าง…”
ไอน่าถึงกับหน้าซีด
วางยาในแหล่งน้ำนี่ถือเป็นมุกคลาสสิกของพวกปีศาจ ทำให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำแหละแหล่งน้ำขาดแคลน ก็นึกว่าขจัดปัญหาพวกนี้หมดไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะโดนไปตั้งแต่ก่อนพวกปีศาจจะโดนกวาดล้างที่เมืองหลวงสินะ”
“ละ-แล้วท่านแม่ล่ะ?!”
ไอน่าถามด้วยความแตกตื่น
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า?!”
“ไม่ต้องห่วงไปขอรับคุณหนู นายหญิงปลอดภัยดี”
“ทางเราไหวตัวทัน จึงกักกันผู้ป่วยแยกเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะระบาดไปทั่ว”
โอ้ ครอบครัวลุงแกยังปลอดภัยดีแฮะ ถือว่าโล่งใจไปเปราะนึงล่ะมั้ง
โรคระบาดฮะ? แน่นอนว่าต้องฆ่าเชื้อโรคในแหล่งน้ำที่เป็นต้นตอก่อนไปอยู่แล้ว แต่จะปล่อยพวกผู้ป่วยไปก็ไม่ได้ ขืนหันหลังกลับตอนนี้นี่เดี๋ยวภาพลักษณ์เสียหมด
“ท่านเซนต์ขอรับ ต้องขออภัยด้วยทั้งที่ท่านอุตส่าห์เสียเวลาเดินทางมาถึงที่นี่ แต่กรุณากลับไปก่อนเถิด เราไม่ต้องการให้ท่านต้องมารับเคราะห์จากโรคระบาดไปด้วย…”
หัวหน้าหมู่บ้านพูดต่อ
“กรุณาพาชั้นไปหาผู้ป่วยด้วยค่ะ”
“ตะ-แต่ว่า…”
“ไม่ต้องห่วงไปค่ะ จริงอยู่ที่เราเพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก นี่อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่กรุณาวางใจให้ชั้นแก้ปัญหานี้ได้ไหมคะ?”
ชั้นตอบกลับไป
ตั้งแต่แรกแล้ว พิษน่ะไม่มีผลอะไรกับชั้นอยู่แล้ว
ร่างกายของชั้นจะชำระล้างทุกอย่างออกโดยอัตโนมัติอยู่ตลอด ทำให้ไม่มีไวรัส พิษ หรือแบคทีเรียที่เป็นอันตรายใดๆจะสามารถทำร้ายชั้นได้
หลังจากที่ชั้นโน้มน้าวใจอยู่นาน ในที่สุดหัวหน้าหมู่บ้านก็ยอมพาชั้นมากระท่อมหลังหนึ่ง ช่องว่างระหว่างไม้ถูกปิดไว้แน่นหนากว่าที่อื่น ประตูเองก็ทำออกมาแบบปิดตายจากด้านใน
แหม…นี่คือกะจะทิ้งพวกผู้ป่วยให้ตายไปทั้งอย่างนี้เลยสินะเนี่ย
“นี่มัน…อะไรกัน?”
ไอน่าถึงกับพูดไม่ออก
“เราจำเป็นต้องทำเช่นนี้ขอรับคุณหนู พวกผู้ป่วยด้านในเองก็ทำใจยอมรับชะตากรรมของตนเองไปแล้ว”
ถึงพยายามจะทำน้ำเสียงให้นิ่ง แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเจ็บปวดอยู่ภายใน
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกล่ะนะ ถ้าปล่อยให้คนข้างในออกมาหรือคนข้างนอกเข้าไป ก็แค่เป็นการเพิ่มผู้ป่วยซะเปล่าๆ การแยกผู้ป่วยออกมานี่ถือเป็นวิธีลดจำนวนผู้เสียชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว…จงกระทั่งชั้นมาที่นี่น่ะนะ
พอเปิดประตูรั้วเข้าไป กลิ่นสาบน่าขยะแขยงก็โชยออกมาเตะจมูกในทันที ไอน่าเองก็ทนไม่ไหวถึงก้ับก้าวถอยหลังเอามือปิดจมูก สาววัยรุ่นปกติก็คงทนกลิ่นแบบนี้ไม่ได้ล่ะนะ
กระท่อมนี่เป็นหนึ่งในที่ที่สกปรกที่สุดเท่าที่ชั้นเคยเห็นมาเลย อุจจาระและอาเจียนกองเต็มพื้น กลิ่นนี่อย่างกับส่งตรงมาจากนรก
ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากสำหรับชั้นน่ะนะ ชั้นก็แค่กางเวทย์ชำระล้างแล้วก็เดินเข้าไป
“ทะ-ท่านเอลริสคะ!”
ไอน่าตะโกนห้ามไม่ให้ชั้นเข้าไป ส่วนชั้นก็แค่โบกมือแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นไร
เวทย์ชำระล้างของชั้นมีระยะราวๆห้าสิบเซนติเมตรกางทั่วตัว ชั้นไม่จำเป็นต้องเหยียบสิ่งสกปรกอะไรเพราะมันจะหายไปก่อนที่เท้าชั้นจะเข้าใกล้ซะอีก
ทางที่ชั้นเดินนี่ดูสะอาดแบบโคตรจะไม่เป็นธรรมชาติ อย่างกับใช้โปรแกรมขีดเส้นสีขาวทับจอสีดำ
ชั้นมองไปที่พวกชาวบ้านจากนั้นก็ยิ้มให้ ในหัวนี่ก็จำที่เพื่อนชาวอเมริกันคนนึงเคยพูดเอาไว้ครั้งหนึ่ง
“นี่ฟุโดว รู้มั้ยว่าที่อเมริกานี่เราไม่ได้ก้มหัวทักทายคนอื่นหรอกนะ แค่เห็นหน้ากันแล้วยิ้มให้ก็พอแล้ว”
ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเป็นแค่มุกตลก แต่ชั้นชอบแบบนั้นนะ
ที่ปลายสุดของกระท่อมมีเด็กผอมแห้งอยู่คนนึง
ผู้ชายหรือผู้หญิงนี่ดูไม่ออกเลยแฮะ
เอาเป็นว่าเด็กคนนี้ผอมจนหนังติดกระดูก ผิวซีดเหมือนขี้เถ้า แล้วก็มีจ้ำสีม่วงๆอยู่ทั่วตัว
“ทะ-ท่านเซนต์? ท่านไม่ควรมาใน…ที่สกปรกแบบนี้…นะครับ ไม่ต้อง…ห่วงพวกเราหรอก เราเหลือเวลา…อีกไม่มาก…แล้ว”
เจ้าเด็กนี่แค่จะพูดตอบยังยากเลยแฮะ
ชั้นปรบมือเข้าด้วยกัน
พูดมากว่ะไอ้หนู เงียบซะ
ชั้นเช็คเชื้อโรคและพิษในร่างกายของแต่ละคน มีอยู่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเลย และพวกมันก็พยายามที่จะทำให้ชั้นติดเชื้อไปด้วย แต่ก็โดนทำให้สลายไปก่อนที่จะได้เข้าใกล้ชั้นซะอีก
เรื่องจิ๊บๆ ชำระล้างอะไรนิดหน่อยก็เสร็จหมดแล้ว
ชั้นยังใส่เวทย์รักษาและเร่งการรักษาของเซลล์เสริมไปด้วย ทีนี้แค่พักผ่อนและกินอาหารอย่างเพียงพอ ไม่นานก็จะกลับมาแข็งแรงดีเหมือนเดิม
แค่นี้น่ะมันเรื่องกล้วยๆ อุ๊บส์ เกือบหลุดยิ้มแบบเยาะเย้ยออกไปแล้วสิ
“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยจ้ะ”
ชั้นหันไปจับมือกล่อมเด็กคนนั้น
ชั้นปล่อยแสงซุปเปอร์ชำระล้างผสมรักษาออกไป กระท่อมที่สกปรกโสโครกจนถึงเมื่อกี๊กลายเป้นเรียบปิ๊งในพริบตา เชื้อโรคอะไรนี่คือตายเรียบ
ไอน่าเข้ามาใกล้กระท่อมมากไปหน่อย เลยร่ายเวทย์ให้เธอด้วยเพื่อกันไว้ก่อน
จำให้ดีล่ะไอ้พวกไพร่! อีห่าผมทองที่ยืนยิ้มอยู่ตรงนี้คือเอลริสนะเว้ย! เอลริส ไม่ใช่ เอเทอร์น่า! อย่าได้จำผิดจนไปลงความแค้นกับพ่อแม่ของเอเทอร์น่าเชียวนะ!
พวกผู้ป่วยที่อยู่ๆก็หายดีต่างพากันอึ้งแดก ดูจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คนๆแรกที่ขยับตัวก็คือเด็กที่ชั้นจับมือไว้อยู่ตอนนี้ จากพวกผู้ป่วยก็วิ่งออกจากกระท่อมไปบอกข่าวดีให้หัวหน้าหมู่บ้าน
อะเหอเหอเหอ—ไม่ ไม่ สำรวมเข้าไว้ตัวเธอ
ก็นะ ชั้นน่ะรู้ดีว่าอาการป่วยน่ะมันลำบากแค่ไหน
เฮ้ย…มาคิดดูดีๆ ชั้นแค่ร่ายเวทย์ชำระล้างจากข้างนอกก็ได้นี่หว่า!
ไอ้พวกวิธีดีๆนี่ชอบมาตอนจบงานแล้วตลอดเลยแฮะ
.
หลังจากเสร็จงานแล้ว เอลริสก็จัดการชำระล้างแหล่งน้ำของหมู่บ้านให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินทางไปยังคฤหาสถ์ของตระกูลฟ็อกซ์
พวกชาวบ้านก็มารวมตัวกันเพื่อร่ำลาเธอ
เด็กชายที่เอลริสช่วยเอาไว้จริงๆแล้วคือหลานของหัวหน้าหมู่บ้าน สายตาของเขาจับจ้องไปที่เอลริสอย่างไม่วางตาจนกระทั่งเธอเดินจนพ้นระยะการมองเห็น ทั้งเขาและชาวบ้านคนอื่นๆได้ตั้งปณิธานไว้แล้ว
“เซนต์รุ่นปัจจุบัน ท่านเอลริส…สมคำร่ำลือ ไม่สิ ยิ่งกว่านั้นเสียอีก”
หัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆก็พยักหน้าตาม
จนถึงตอนนี้ พวกเขามองเห็นเซนต์เป็นตัวตนเดียวกันหมด เป็นการคงอยู่ที่ห่างไกลและหลุดจากความจริง
พวกเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซนต์เอลริสมาก่อน ใครๆก็บอกว่าเธอนั้นไม่เหมือนใครอื่น ผลลัพท์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แค่มองดูรอบๆก็จะรู้ว่ายุคสมัยนี้นั้นอยู่ง่ายกว่าอดีตมากขนากไหน
แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้ชื่อของเธอเป็นธรรมดา แต่ก็เท่านั้น พวกเขาไม่เห็นความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ชื่อว่า”เอลริส”และตัวตนที่เรียกว่า”เซนต์”
สำหรับพวกเขาแล้ว เธอก็เป็นเหมือนตำนานที่อาจจะมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้
“หัวหน้าครับ”
ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
“ผมคิดมาตลอดเลยว่าเซนต์น่ะอาศัยอยู่คนละโลกกับชาวบ้านอย่างพวกเรา ผมนึกว่าเธอจะมองเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำกว่า แต่…แต่ว่าท่านเอลริสกลับยอมที่จะเดินเข้ามาหาพวกเรา แม้กระทั่งในตอนที่สมาชิกครอบครัวยังไม่กล้า… เธอ…เธอยิ้มให้กับผม”
เสียงของเขาสั่นเครือพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
เขาถูกทำเหมือนเป็นเสนียดที่ไม่ควรเข้าใกล้ จะไปว่าพวกเพื่อนฝูงหรือครอบครัวก็ไม่ได้ ถ้ายังรักชีวิตอยู่ จะทำแบบนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าทุกคนยอมแพ้ในตัวของเขาไปแล้ว
เขาต้องถูกขังอยู่ในกระท่อมร่วมกับผู้ป่วยคนอื่น ถูกล้อมรอบไปด้วยเลือด อาเจียน และสิ่งปฏิกูล…จนกระทั่งท่านผู้นั้นเปิดประตูเข้ามา
เธอไม่ลังเลที่จะเดินเข้ามาในห้องสกปรกโสโครกนั้นทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ พวกเขาได้เห็นเวทมนตร์ของเธอกับตา ถ้าเธอต้องการล่ะก็ จะร่ายเวทย์ชำระล้างจากด้านนอกของกระท่อมก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น
เซนต์ผู้นั้นเลือกที่จะเดินเข้ามาในกระท่อม ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เธอไม่ได้มองจากหอคอยงาช้างลงมายังโลกเบื้องล่าง ไม่ เธอเลือกที่จะก้าวลงมาด้วยตนเองเพื่อช่วยเหลือประชาชน
“ปู่ครับ”
หลานชายหัวหน้าหมู่บ้านเองก็พูดขึ้นมา
“ผมคิดว่าตัวเองจะไม่รอดแน่แล้ว ไม่สิ ไม่มีค่าพอให้ใช้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว…แต่ท่านเอลริส เธอบอกกับผมว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
คำพูดที่เอลริสพ่นออกมาสั่วๆนั้นมีความหมายนับร้อยต่อเด็กคนนี้ เธอทำให้เขามีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ
“โลกใบนี้อาจจะดีขึ้นกว่าในกาลก่อนมาก็จริง แต่ก็ยังจะมีผู้คนทุกข์ทรมาณอยู่ร่ำไป ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว พวกเราน่ะ โลกใบนี้น่ะ ต้องการเธอ—ไม่ใช่แค่เซนต์คนไหนก็ได้ แต่เป็นท่านเอลริส! เธอคือประกายแสงที่จะไม่มีวันดับลง”
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว
“จะต้องมีคนอีกหลายพันที่ต้องการเธอ เหมือนพวกเรา เราจะเสียเธอไปไม่ได้…จะสูญเสียรอยยิ้มนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมน่ะตายไปแล้วครั้งนึงจนกระทั่งได้เธอช่วยไว้ ชีวิตนี้น่ะไม่ใช่ของผมอีกแล้ว แต่จะอุทิศและเป็นกำลังให้แก่ท่านเอลริส”
เท่านั้นเอง ชาวหมู่บ้านลูร์ฟก็กลายเป็นเหล่าผู้อุทิศตนรับใช้เอลริส ชาวลูร์ฟน่ะเป็นพวกหัวรั้น หากตั้งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว ก็จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้แก่สิ่งนั้น และยังเป็นพวกหัวทึบที่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง…ดูไอน่าเป็นตัวอย่างได้
เจ้าพวกนี้เป็นคนประเภทที่จะแฝงตัวเข้าเป็นนักเรียนของสถาบันและวางแผนลอบสังหารเพื่อแก้แค้นให้พ่อของตน หรือไม่ก็ปลุกระดมลุกฮือกันเพื่อจะแก้แค้นให้ผู้ปกครองที่ เป็นประเภทที่มีความมุ่งมั่นและการเตรียมใจในระดับเดียวกับพวกอัศวินของแท้เลย
และแล้วเหล่าแฟนพันธุ์แท้ของเอลริสก็งอกขึ้นมาอีกหลายหน่อ ส่วนความนิยมของเธอก็พุ่งกระฉูดทะลุเพดานขึ้นไปอีกขึ้น