ตอนที่ 75.1 ความลับของฟุกุเทน

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

โยรุ ผู้นี้คือราชาแห่งประเทศออดินารี่ ฟุกุเทน ราชอาณาจักรขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีป

เขานั่งกลัดกลุ้มอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ปัญหาทางการเมืองและการสนับสนุนจากประชาชนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆนำมาซึ่งความเครียดอย่างสูง

ที่ประเทศเกาะแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยจากปีศาจมากที่สุดในโลก

แม่มดไม่คิดที่จะโจมตีเพราะไม่คุ้มค่ากับการเดินทางไกล ทำให้ประเทศแห่งนี้มีความมั่นคงและร่ำรวยมากที่สุดแห่งหนึ่ง

ในการประชุมผู้นำประเทศ ราชาของฟุกุเทนมักจะมีแต้มต่อในการเจรจาเสมอ ต่อให้เป็นสัญญาการค้าแบบเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ประเทศที่อ่อนแอกว่าก็ยังไม่กล้าปริปากบ่นอะไร

เหตุผลก็ง่ายๆ เนื่องจากประเทศอื่นๆนอกเหนือจากฟุกุเทนและจาปอนซึ่งเป็นประเทศเกาะ ประเทศบนทวีปใหญ่ส่วนมากจะไม่มีทรัพยากรมากเพียงพอใช้งาน แต่ก็ไม่สามารถหาคู่ค้าอื่นนอกจากสองประเทศข้างต้นได้

ในแง่หนึ่ง สองประเทศนี้ก็เป็นเหมือนเส้นชีวิตของมนุษยชาติ หากไม่มีทรัพยากรอาหารจากสองประเทศเข้าไปช่วย ประเทศไหนก็อยู่ไม่ได้

ประเทศอื่นๆจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมก้มหัวให้กับฟุกุเทน

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฟุกุเทนจึงไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเซนต์มากนัก เป็นเพราะว่าเซนต์คือตัวตนที่ไม่จำเป็นสำหรับฟุกุเทน

ประเทศอื่นไม่มีทางเลือกนอกจากฝากความหวังลมๆแล้งๆให้กับเซนต์เป็นผู้กู้โลก ฟุกุเทนที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นจึงไม่ได้ให้ความเคารพใดๆต่อเซนต์ โดยเฉพาะกับราชวงศ์ที่ไม่อยากจะแบ่งอำนาจการปกครองให้คนภายนอกด้วยแล้ว

ยิ่งกว่านั้น ฟุกุเทนยังเป็นประเทศเกาะที่อยู่ห่างไกล ทำให้เซนต์เดินทางมาถึงได้ยาก

ว่าง่ายๆ สำหรับฟุกุเทนแล้ว เซนต์เป็นตัวตนที่”จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่าง” และไม่จำเป็นต้องให้ความใส่ใจ

แต่สำหรับอีกประเทศที่มีสถานการณ์ใกล้เคียงกันอย่างจาปอนกลับไม่คิดเช่นเดียวกัน ทางฝั่งนั้นยอมก้มหัวให้แก่เซนต์แต่โดยดีเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ว่ากันว่ามีเหตุผลมาจากการรุกรานของแม่มดในยุคอดีตที่ทิ้งรอยแผลฝังใจไว้แก่ผู้คนในประเทศ

นั่นถือเป็นเรื่องดีต่อฟุกุเทน หากไม่มีคู่แข่งคนอื่น ก็เท่ากับว่าราชาแห่งฟุกุเทนจะเป็นเพียงผู้เดียวในโลกที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่อำนาจของเซนต์ ทำให้คล้ายว่ามีตำแหน่งทัดเทียมกันหรือกระทั่งสูงกว่าเซนต์

ราชาโยรุส่งเสียงในลำคอ

“แย่แล้ว… นี่มันแย่จริงๆแล้วนะเนี่ย…”

การมาถึงของเอลริสเมื่อไม่กี่ปีก่อน เธอผู้ถูกเรียกว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้อำนาจในมือของเขาค่อยๆหลุดลอยออกไปเรื่อยๆ

เธอกำจัดปีศาจไปจำนวนนับไม่ถ้วน รักษาเหล่าประชากร นำมาซึ่งพืชผลชนิดใหม่ ยึดคืนดินแดนกลับมาจากแม่มด เธอนั้นแข็งแกร่งเกินไป ยอดเยี่ยมเกินไปจนเทียบกันแล้วเซนต์คนก่อนๆดูเหมือนตัวตลก

ในเวลาเพียงไม่กี่ปี สถานการณ์ก้กลับตาลปัตร จากประเทศที่ดีที่สุดในโลก ฟุกุเทนกลับกลายมาเป็นประเทศรั้งท้าย

เอลริสไม่จำเป็นต้องใช้เรือเพื่อเดินทางมาที่นี่ด้วยซ้ำ เธอสามารถมาถึงฟุกุเทนได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียวและขจัดปัญหาให้หมดไป

แต่ทางฟุกุเทนได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเซนต์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากยอมให้เธอช่วยเหลือก็หมายถึงต้องยอมก้มหัวให้เธอ และพวกเขายอมรับเรื่องนั้นไม่ได้

พวกเขาไม่ยอมที่จะขอความช่วยเหลือใดๆจากเอลริส ราชาโยรุกลัวว่าอำนาจของตนจะถูกเอลริสพังทลายลง จึงประกาศไปตรงๆเลยว่าฟุกุเทนไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเซนต์

จริงอยู่ที่พวกเขาไม่ได้สั่งห้ามเอลริสไม่ให้เข้าประเทศ แต่การถูกปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ย่อมทำให้เอลริสไม่สามารถบากหน้าเข้ามาช่วยได้ง่ายๆ

ผนวกเข้ากับการที่เป็นประเทศห่างไกล ทำให้ฟุกุเทนไม่ใช่เป้าหมายหลักในการช่วยเหลือของเอลริส

ในพริบตาเดียว ฟุกุเทนก็เปลี่ยนจากประเทศที่มั่นคงที่สุด ร่ำรวยที่สุด และปลอดภัยที่สุด กลับกลายมาเป็นย่ำแย่ที่สุดแทน

จริงอยู่ที่สถานการณ์ของฟุกุเทนก่อนหน้านี้ยังดีกว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการรุกรานจากปีศาจเลย อาจจะน้อยกว่าบนทวีปใหญ่ก็จริง แต่ผู้คนและพื้นที่ก็ยังต้องตกเป็นเป้าโจมตีของปีศาจอยู่เรื่อยๆ

จะให้ขอความช่วยเหลือจากเอลริสมันก็ทำได้ แต่ศักดิ์ศรีของราชาโยรุมันค้ำคอ ประกาศไปขนาดนี้แล้ว จะให้กลับคำก็ออกจะน่าอับอายเกินไป

“จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย…”

ราชาโยรุกลายมาเป็นกษัตริย์ผู้โง่เขลาที่ยอมให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมาณจากความหยิ่งผยองของตน และแน่นอนว่าประชาชนต้องออกมาลุกฮือต่อต้าน

ทำไมราชาถึงไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเซนต์สักที!?

ไอ้ราชวงศ์งี่เง่านี่แหละที่ผลักไสเธอออกไปตั้งแต่แรกน่ะ!

รีบๆก้มหัวให้แก่เซนต์ซะ!

ยอมก้มหัวให้เซนต์แล้วจะเป็นไรไป? เธอไม่ได้เข้ามายึดอำนาจแทนแกสักหน่อย!

ไอ้ตัวไร้ประโยชน์เอ๊ย ไม่แปลกใจเลยที่แกโดนเมียทิ้ง!

ถ้าเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ไม่ช้าก็เร็วรัฐประหารจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่เขาก็ยังไม่ยอมที่จะขอความช่วยเหลือจากเซนต์ ถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนกับยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดมาตลอด และสุดท้ายเขาก็คงจะต้องเสียราชบัลลังก์ไปอยู่ดี

ไม่ เขาต้องหาวิธีที่จะพาเซนต์มาที่ฟุกุเทนโดยไม่ต้องยอมก้มหัวหรือขอโทษ เท่านี้เขาก็จะกลับมามีชัยเหนือประเทศอื่นๆเช่นเดิม

ราชาโยรุไม่อาจลืมเลือนความสำเร็จของประเทศตนในอดีตได้ และจึงนำมาซึ่งแผนการ แผนการโง่ๆที่เขาคิดว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้

.

ภายใต้ความมืดมิดของยามค่ำคืน กลุ่มชายฉกรรจ์สิบคนมุ่งตรงมายังสถาบันเวทมนตร์

พวกเขาคือหน่วยทหารลับขึ้นตรงต่อราชาแห่งฟุกุเทน คอยรับภารกิจแทรกซึม ลอบสังหาร และลักพาตัวเป็นงานหลัก

เป้าหมายในค่ำคืนนี้คือ เซนต์เอลริส

ราชาโยรุไม่ต้องการที่จะก้มหัวให้แก่เซนต์ แต่เขาก็ต้องการตัวเธอมายังฟุกุเทน

หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ได้คำตอบ แค่ลักพาตัวเธอมาที่ฟุกุเทน กักขังเธอไว้ ครอบครองพรและปาฏิหาริย์ของเธอเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เท่านี้ประเทศของเขาก็จะกลายเป็นที่หนึ่งในโลก และประเทศอื่นๆก็จำเป็นต้องก้มหัวให้เขาอีกครั้ง

ฟุกุเทนจะกลับมายิ่งใหญ่ดังเช่นกาลก่อน

หากมีใครสงสัยว่าเอลริสหายไปไหน …ก็โยนความผิดให้กับแม่มดไปสิ

เอลริสอาจจะสามารถทำลายปีศาจได้ทั้งกองทัพก็จริง แต่ในยามหลับไหลเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาๆ เขาจะสามารถใช้ยาต่างๅเพื่อควบคุมเธอให้อยู่ภายใต้คำบัญชาของตนได้ง่ายๆ

และแล้ว หน่วยทหารลับนี้จึงถูกโยนงานที่ไร้ซึ่งความคิดนี้มาให้

ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูหน้า ก็สังเกตุได้ถึงสิ่งผิดปกติ

“เฮ้ย ไม่ใช่ว่า…พวกเราหายไปคนนึงหรอกเหรอ?”

หนึ่งในนั้นถามออกมาพร้อมนับจำนวนคนในกลุ่ม

“จริงด้วย”

อีกคนเห็นพ้องต้องกัน

“ใครหลงทางไปรึเปล่า?”

พวกพ้องหายไปหนึ่งก็จริง แต่ในฐานะมืออาชีพ งานตรงหน้าต้องมาก่อน คนเหล่านี้มีนิสัยที่โหดเหี้ยม เย็นชา และจงรักภักดีต่อราชาเป็นที่สุด คำสั่งจากเบื้องบนนั้นมีค่ายิ่งกว่าชีวิตตนเองหรือเพื่อนพ้อง ยิ่งกว่านั้น หากมีใครหลงทางไปจริงๆ คนคนนั้นก็เหมาะสมกับภารกิจนี้ และไม่มีค่าพอให้สนใจ

แต่ละคนนำเชือกพันตะขอขึ้นมา เหวี่ยงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะโยนขึ้นไป ให้มันยึดกับหน้าต่างชั้นบน

จากข้อมูลที่ได้รับมา เอลริสจะพักอยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคารสถาบัน และจะมีเลย์ล่า องครักษ์ส่วนตัวของเธอคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูเสมอ

หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าหน้าต่างจะกลายเป็นช่องโหว่

แต่ละคนค่อยๆปีนกำแพงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก่อนที่คนสุดท้ายจะตามขึ้นไป เขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลัง

“อะไ–“

ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดว่า “อะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ!?” เขาก็ถูกปิดปากลงในทันทีพร้อมกับเข็มที่แทงเข้าไปยังลำคอ ส่งผลให้สติหลุดไปในบัดดล

สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะหลับตาลง ก็คือแว่นตาส่องประกายสะท้อนกับแสงจันทร์ ร่างกายของเขาเองก็โดนลากหายไปในทันที

“รอก่อน…นี่มันแปลกๆนะ พวกเราหายไปอีกคนแล้ว”

หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา

“อีกแล้วเหรอ?”

“นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแล้วนะ มันต้องมีอะไรแน่”

“เราอาจจะอยู่ใต้การโจมตีของอีกฝ่าย อย่าประมาทไปล่ะ”

คนนึงหายไปยังพอว่า หายไปสองนี่มันน่าสงสัยเกินจะเป็นเรื่องบังเอิญ หนึ่งในอัศวินของเอลริสอาจจะรู้ตัวเข้าแล้วก็เป็นได้

คนที่เหลืออีกแปดคนหันหลังกลับไม่ได้แล้ว พวกเขายังคงปีนต่อไป จับตาดูรอบๆไว้ตลอดเวลา

พอมาถึงชั้นสาม คนที่อยู่หลังสุดก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังโดนจับตามองอยู่ เขากวาดตามองไปยังหน้าต่างของชั้นที่สาม ตรงนั้นเอง คือชายสวมแว่นที่กำลังจับจ้องมายังเขา

“ศัตร–“

เขาพยายามจะเตือนพวกพ้องให้รู้สึกตัวถึงศัตรู แต่ก็สายออกไป ด้วยมือที่จู่ๆก็โผล่ออกมาจากกำแพงปิดปากของเขาไว้

นี่มันแขนของโกเลม? แสดงว่าศัตรูมีความเชี่ยวชาญเวทย์ดิน แต่เจ้านั่นฝังโกเลมเขาไปในกำแพงได้ยังไง?

และแล้วเขาก็รู้ตัว ชายสวมแว่นไม่ได้ฝังโกเลมเข้าไปในกำแพง แต่เป็นทั้งกำแพงนั่นแหละที่ทำจากโกเลม

เขาไม่มีเวลามากพอที่จะตกตะลึงกับเรื่องนั้น กำแพงตรงหน้าเขาแยกออกและตัวของเขาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปยังกำแพงนั้น

“ตรงนั้นล่ะ ห้องของเป้าหมาย”

หนึ่งในชายที่เหลือชี้ให้เห็นหน้าต่าง

“แต่มีม่านบังอยู่ เลยไม่เห็นตัวของเอลริส”

“ไม่ต้องสนเรื่องนั้น ตัดกระจกเข้าไปเลย”

อีกคนหนึ่งพูดพร้อมใช้นิ้ววาดเป็นวงกลมบนหน้าต่าง เขาใช้เวทย์ไฟเพื่อตัดส่วนนั้นของกระจกออกก่อให้เกิดเป็นรู เขาเอื้อมมือผ่านรูนั้นเขาไปเพื่อปลดล็อกหน้าต่าง

เมื่อหน้าต่างถูกเปิดออก ทหารห้านายก็บุกเข้าไปยังห้องได้สำเร็จ

ห้า? ทั้งหลุ่มมีอยู่กันสิบคนนี่

พวกเขามองหน้ากันไปมา คนที่เหลือหายไปไหน? ต้องแรกเห็นหายไปกันสองคน ตอนนี้ก็หายไปอีกสามคน

“ฮะ-เฮ้ ทำไมมีแค่ห้าคนล่ะ… พวกที่เหลือไปไหนแล้ว?”

“อาจจะยังปีนกันอยู่ก็ได้”

“มะ-ไม่มีนะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิ… ทำไมหายไปอีกคนแล้วล่ะ!”

เพียงชั่วขณะที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างกันอยู่ คนในกลุ่มก็หายไปอีกหนึ่งคน

คนที่เหลืออีกสี่คนต่างสั่นผวา แต่แค่นี้ยังหยุดพวกเขาไม่ได้ นี่คือกลุ่มทหารลับที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษเพื่อการณ์นี้ ภารกิจจะต้องมาก่อนเสมอ

“เราโดนโจมตีอยู่แน่ๆ! ไม่ต้องมาทำลับๆล่อๆแล้ว รีบจับตัวเป้าหมายแล้วเผ่นให้ไวที่สุดเลย!”

“โอ้!”

สี่คนที่เหลือรีบมุ่งตรงไปเพื่อจับเป้าหมาย พวกเขาเปิดม่านที่บังเตียงออก ณ ตรงนั้น เซนต์ผู้งดงาม…ไม่ได้อยู่ที่นั่น เตียงของเธอเองก็ด้วย

พวกเขาเริ่มสังเกตได้ว่ามีอะไรแปลกๆ มืดๆแบบนี้ทำให้ดูยากก็จริง แต่ที่นี่คือห้องของเซนต์จริงๆอย่างนั้นหรือ? ทุกๆอย่างตั้งแต่ผนังไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ ดูจะทำออกมา…ลวกๆชอบกล

“นะ-นี่พวกเราอยู่ในสถาบันจริงๆเหรอ?”

หนึ่งในนั้นโพล่งขึ้นมา

“หมายความว่าไงน่ะ?”

“มองไปนอกหน้าต่าง! …ตรงนั้น เห็นได้จากจุดนี้! นั่นมันสถาบันไม่ใช่เหรอ!”

เขาชี้ออกไปด้านนอก คนที่เหลือมองตามมือออกไป ที่สุดขอบสายตานั้นคืออาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง—สถาบันเวทมนตร์

นี่มันบ้าไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถาบันไม่ใช่เหรอ? แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ?!

“เวรเอ๊ย! นี่เป็นกับดัก! เราต้องรีบออกจากที่นี่ด่วนเลย!”

“หะ-หา! อีกสองคนหายไปแล้ว!”

กว่าจะรู้ตัวก็ช้าเกินไป พวกเขาหนีไม่รอดแล้ว ตอนนี้จากกลุ่มสิบคน เหลืออยู่ตรงนั้นเพียงแค่สองคนเท่านั้น

สองคนที่เหลือยืนหันหลังชนกัน ในมือถืออาวุธพร้อมกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่เลย ความเงียบเช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขาขวัญเสีย

“ห่าเอ๊ย! ไปอยู่ไหนกันวะเนี่ย?! แกเห็นใครบ้างรึเปล่า?”

หนึ่งในสองคนนั้นถามอีกคนด้วยความระแวง

“เฮ้ย? ตอบหน่อย!”

เมื่อหันกลับไป ก็พบว่าตอนนี้เหลือตัวเขาอยู่เพียงคนเดียวในห้อง เขาไม่เห็นใครเลยไม่ว่าจะพวกพ้องหรือศัตรู

กลุ่มทหารหัวกะทิสิบคนถูกทำให้เหลือเพียงคนเดียวในชั่วลมหายใจ ชายคนนี้ผ่านการฝึกฝนมามากมาย หัวใจนี้เข้มแข็งดุจเหล็กกล้า แต่ครั้งนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว ขาของเขาสั่นพั่บๆ ฟันกระทบกันเหมือนจะแตกออก

ในทันใดนั้น เขาก็สังเกตได้ถึงแสงสะท้อนหนึ่งเดียวในห้อง ตามมาด้วยเสียงใครสักคนพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ก็นึกว่าความมืดในตอนกลางคืนจะทำให้สังเกตความแตกต่างได้ยากกว่านี้ซะอีก แต่ของปลอมนี่มันก็สู้ของแท้ไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ กระผมอุตส่าห์ลงทุนลงแรงในการสร้างอาคารนี้ไปตั้งขนาดนั้นเชียวนะ”

เสียงนั้นเอ่ยขึ้นมา

“กะ-แกเป็นใครวะ?!”

ทหารลับถามด้วยความหวาดกลัว เมื่อเพ่งดูดีๆ จึงรู้ว่าแสงสะท้อนนั้นเกิดจากแว่นตา

เบื้องหน้าของเขาคือแฟนพันธุ์แท้เอลริสและโรคจิตขนาดหนัก ซัปเปิ้ล เมนต์ ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

ทหารคนนั้นต้องการที่จะพุ่งเข้าไปและจัดการเขาซะ แต่ขาของเขากลับขยับไม่ได้ เมื่อมองลงไป ก็พบว่าขาของตนถูกฝังอยู่ใต้พื้นไปครึ่งหนึ่ง

“ระวังด้วย”

ซัปเปิ้ลพูด

“ตอนนี้เจ้ายืนอยู่ภายในโกเลมของกระผม ต้องบอกว่าออกจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง ก็รู้ดีว่านี่ออกจะเป็นงานรีบ แต่ก็ดูจะพังทลายลงเร็วว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ก็นึกว่าถ้าเตรียมกระจกและไม้เอาไว้ก่อน จะทำให้ทุ่นแรงต้อนสร้างไปโข แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งชั่วโมงจะเป็นขีดจำกัดของกระผมในตอนนี้สินะ ยังต้องฝึกอีกเยอะเลยสิ”

“โกเลม…งั้นหรือ? จะบอกว่าทั้งตึกนี้คือโกเลมอย่างนั้นหรือ?!”

“แหม แหม ไม่ต้องตกใจถึงขนาดนั้นก็ได้ ก็ใช่ว่าผมจะเสกเจ้านี่ขึ้นมาจากความว่างเปล่าเสียเมื่อไร ก็แค่ปั้นดินที่เตรียมไว้ให้กลายเป็นตึกเท่านั้นเอง หากเป็นท่านเอลริสล่ะก็ คงจะสร้างตึกที่สมจริงยิ่งกว่านี้ขึ้นมาได้ด้วยเพียงความคิด ใครก็คงแยกจากของจริงไม่ออก…”

“แกเตรียมไว้ก่อนรึ? แสดงว่าแกรู้แผนของเร–“

ทหารคนสุดท้ายพยายามที่จะถามเอาข้อมูล

“ไม่หรอก”

แต่ก็โดนซัปเปิ้ลขัดไว้ก่อน

“นี่ก็เป็นเพียงงานอดิเรกของกระผมเท่านั้น เห็นพวกเจ้าบุกรุกเข้ามาพอดี จึงคิดที่จะทดลองอะไรนิดหน่อย”

เห็นเป็นแบบนี้ แต่ซัปเปิ้ลก็เป็นนักวิจัยตัวจริง เมื่อเขาได้เห็นเอลริสสร้างอาวุธขึ้นมาจากเวทย์ดินต่อหน้า จึงจุดประกายความคิดของซัปเปิ้ลขึ้นมา ว่ายังมีความเป็นไปได้อีกมากเกี่ยวกับเวทย์ดินที่ยังไม่ถูกค้นพบโดยผู้อื่นนอกจากเอลริส

เขารู้ดีว่าจะให้ทำได้อย่างเอลริสคงจะเป็นไปไม่ได้ทั้งชีวิตนี้ แต่ถึงจะเข้าใกล้ระดับของเธอไม่ได้ ซัปเปิ้ลก็มีความตั้งใจมากพอที่จะค้นคว้าในเวทมนตร์ธาตุดินเพื่อผลักดันตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น

“ต้องขอขอบคุณที่ยอมมาเป็นหนูทดลองให้กระผม”

ซัปเปิ้ลก้าวออกมาด้านหน้า แว่นของเขาสะท้อนกับแสงจันทร์ทำให้ส่องประกายขึ้น

“เพื่อเป็นการตอบแทน กระผมจะสอนให้พวกเจ้ารับรู้ถึงความโง่เขลาของตนเองและฝังความยิ่งใหญ่แห่งท่านเซนต์ลงไปในสมองนั้น”

สิ่งเดียวที่สะท้อนอยู่ในตาของทหารลับคนนั้น คือรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวของซัปเปิ้ล เมนต์

“ยะ-หยุดนะ!”

เขาอยากจะวิ่งหนี แต่ทำไม่ได้ ขาทั้งสองข้างของเขายังถูกฝังอยู่ในพื้นอยู่เลย

ซัปเปิ้ลค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม

“ม่ายยยยยยย!!!”

ค่ำคืนนั้นถูกย้อมไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของทหารลับคนนั้น

.

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทหารทั้งสิบนายก็เดินทางกลับมาถึงฟุกุเทน

ราชาโยรุต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดี ถึงกับเรียกทั้งกลุ่มมายังที่พักส่วนตัวของตน เพียงเท่านี้ ประเทศของเขาก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ฟุกุเทนจะยิ่งใหญ่ร่ำรวยในขณะที่ประเทศอื่นๆจะค่อยๆถดถอยลง ชื่อของเขาจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศในฐานะราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาเห็นภาพนั้นได้เลย ภาพที่เหล่าประชากรก้มหัวแทบเท้าตนเมื่อใดก็ตามที่เขาเดินผ่าน เสียงชื่นชมสรรเสริญจะดังก้องไปทั่วถนน

ในตอนนี้มีเพียงเขาและกลุ่มทหารลับในห้องส่วนตัว เขาจะให้ใครอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาลักพาตัวเอลริสมา หากข้อมูลนี้รั่วไหลล่ะก็ จะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่ ไม่มีใครนอกจากตัวของโยรุเองและกลุมทหารลับที่รู้ถึงแผนการนี้

“สมกับเป็นเหล่าหัวกะทิของข้าจริงๆ กลับมากันเร็วกว่าที่ข้าคิดว่าซะอีก”

ราชาโยรุกล่าวชื่นชม

“แล้วเอลริสอยู่ที่ไหนล่ะ? พามาด้วยที่นี่ด้วยรึเปล่า?”

กลุ่มทหารลับไม่ตอบ พวกเขากระจายตัวกันไปล้อมรอบราชา สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย การเคลื่อนไหวเองก็เป็นธรรมชาติส่งผลให้โยรุไม่สังเกตถึงความผิดปกติ

ตอนแรกเขาก็นึกว่าเอลริสถูกจับยัดไว้ในถุงหรือกรง แต่ถ้าลองดูดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่มีใครที่แบกถุงอะไรมาด้วยเลย

“หืม? มีอะไรเรอะ?”

“เพื่อ…”

สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มทหารลับพูดพึมพำ

แต่ก็เบาเกินกว่าที่ราชาโยรุจะได้ยิน

“อะไรนะ?”

“เพื่อท่านเอลริส!”

เสียงตะโกนดังขึ้น

สมาชิกอีกเก้าคนเองก็แหกปากร้องตามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เพื่อท่านเอลริส”

“หา? พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด?”

โยรุถามด้วยความงงงวย

พวกลูกน้องของเขาดูแปลกๆไป ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย แต่ละคนเอาแต่ร้องแสดงความจงรักภักดีแก่เอลริส

ราชาโยรุคงไม่รู้ แต่พวกเขาทุกคนมีสีหน้าเหมือนกับซัปเปิ้ลตอนที่เห็นเอลริสทำอะไรสักอย่างที่มันสุดยอด

หลังจากที่จับคนพวกนี้ได้ ซัปเปิ้ลก็แทบจะเจาะความยอดเยี่ยม ความงดงาม ความสมบูรณ์แบบของเอลริสเข้าไปในสมองของทหารทุกคนโดยไม่หยุดพัก ไม่รู้กี่สิบชั่วโมงที่เขาร่ายพรรณาความสุดยอดของเอลริสให้คนเหล่านี้ฟัง เขายังไม่ลืมที่จะพาทุกคนไปชื่นชมความงดงามของเอลริสตัวจริงจากที่ห่างไกล ซัปเปิ้ลทำให้แน่ใจว่าเขาได้ย้อมทหารลับพวกนี้ให้กลายเป็นคนประเภทเดียวกับตนเอง

ทำไมพวกเขาถึงต้องมารับใช้ราชาสมองหมาปัญญาควายที่ไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย? ราชาโยรุน่ะเห็นแก่อำนาจของตัวเองเท่านั้นล่ะ!

การลักพาตัวเอลริสจะทำให้โลกกลับไปสู่ยุคสมัยแห่งความสิ้นหวังอีกครั้ง ถ้ามีฟุกุเทนอยู่ที่เดียวที่เจริญรุ่งเรืองในโลกแบบนั้น มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าทางนั่นเป็นประเทศที่ลักพาตัวเอลริสไปน่ะ? และทุกประเทศก็จะร่วมมือกันเพื่อประกาศสงครามกับฟุกุเทน แค่ประเทศเดียวจะไปสู้ไหวได้ยังไงกันล่ะ?

พวกเขาพร้อมที่จะเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งให้กับผู้นำที่มองเรื่องแค่นี้ยังไม่ออกจริงๆหรือ? เพื่ออะไรกันล่ะ? ราชาแบบนี้มีค่าให้รับใช้ที่ไหนกัน? เปลี่ยนมาจงรักภักดีต่อหญิงสาวที่งดงามที่สุดเท่าที่ใครจะเคยเห็นนี่ดีกว่ากันไม่รู้กี่ล้านเท่า

เพราะเช่นนั้น เหล่าทหารลับจึงเลือกที่จะทรยศราชาโยรุ

พวกเขาตะโกน “เพื่อท่านเอลริส!” พร้อมเดินเข้าหาราชาผู้โง่งมที่พยายามจะทำร้ายเซนต์ของพวกตน

อย่างแรกก็ต้องกระทืบเจ้านี่ให้หนำใจก่อน จากนั้นก็ค่อยร่วมมือกับหนึ่งในองค์ชายเพื่อทำให้ดูเหมือนเป็นรัฐประหาร

ทั้งสิบคนกระโจนเข้ารุมราชาที่พวกเขาเคยสาบานความจงรักภักดีเอาไว้

.

“ท่านเอลริสคะ ประเทศฟุกุเทนเปลี่ยนผู้ปกครองแล้วนะคะ”

“อย่างนั้นหรือ?”

เลย์ล่าบอกข่าวนี้ให้ชั้นฟังในตอนเช้าของวันหนึ่ง

เอาจริงๆชั้นก็ไม่ค่อยสนอ่ะนะ จำได้ว่าราชาของฟุกุเทนดูจะไม่ชอบขี้หน้าชั้นซักเท่าไหร่ด้วย

“ค่ะ ราชาองค์ใหม่ของฟุกุเทน ฝ่าบาทชินยะส่งจดหมายมาขออภัยในความเสียมารยาทของกษัตริย์คนก่อนค่ะ”

เสียมารยาทเหรอ? ที่ปฏิเสธไม่ให้ชั้นไปช่วยอ่ะนะ? ก็ได้ยินว่าเป็นแบบนี้มานานแล้วป่ะ? ไม่เหมือนอาณาจักรบิลเบอรี่ ฟุกุเทนเป็นประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของเซนต์นี่นา

“ฟุกุเทนเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางการปกครองของประเทศ และราชาชิยะก็ต้องการที่จะมาอยู่ภายใต้อำนาจของท่านเอลริสค่ะ”

โฮ่ ลูกชายกลับลำจากสมัยพ่อเลยแฮะ สงสัยไม่ชอบการปกครองรุ่นพ่อล่ะมั้ง? เอาเหอะ ไงก็ได้แหละ

ถึงฟุกุเทนจะมาอยู่ภายใต้ชั้นไปก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนมาก ยังไงคนที่มีอำนาจทางการเมืองจริงๆก็ยังเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ของแต่ละประเทศอยู่ดี อย่างมากชั้นก็แค่เดินทางไปช่วยคนที่นั่นได้ง่ายๆเท่านั้นเอง ทางนี้นี่ไงก็ได้ล่ะนะ แต่ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนอย่างนี้หว่า?

ลูกชายไม่ชอบระบบจากสมัยพ่อก็จริง แต่ทางพ่อนี่โอเคเรอะ? จะเกิดความขัดแย้งอะไรรึเปล่า?

“แล้วราชาโยรุเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ?”

ชั้นถามไป

“ราชาคนก่อน…ถูกจับขังคุกภายใต้ข้อหาจำนวนมากค่ะ”

โว้ว–ทางนู้นนี่ดูจะมีอะไรเกิดขึ้นเยอะเลยแฮะ

อ่ะนะ ไม่ใช่ปัญหาของชั้นซักหน่อย

พอคิดอย่างนั้น ชั้นก็หันออกไปนอกหน้าต่าง

สายตาชั้นเหลือบไปเห็นสิ่งก่อสร้างที่ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อน…หรือถ้าจะพูด ก็คือเศษซากของสิ่งก่อสร้างนั้น

อะไรวะน่ะ?

“นั่นคืออะไรหรือคะ?”

ชั้นหันไปถามเลย์ล่า

“ตรงนั้น…คือโกเลมที่ผู้ฝึกสอนซัปเปิ้ล เมนต์สร้างขึ้นค่ะ ได้ยินว่าเขาพยายามที่จะสร้างอาคารเรียนใหม่ให้แก่สถาบัน แต่อยู่ได้เพียงชั่วโมงเดียวก็พังลงมาแล้ว”

อาคารใหม่เรอะ ทางนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะไม่แพ้กันเลยแฮะ

อันตรายนา ถ้ามีใครเข้าใจผิดไปแล้วเดินไปนี่จะเป็นยังไง

เอาถอะ คงไม่มีใครโง่ขนาดนั้นหรอก

จากนั้นเลย์ล่าก็รายงานสถานการณ์ในช่วงเช้าต่อ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชั้นเลย

เอาล่ะ วันนี้ก็มาแอบส่องสาวๆในชุดนักเรียนให้สมใจอยากดีกว่า

ไอ้นี่น่าสนใจกว่าเรื่องการเปลี่ยนตัวราชาของประเทศจากอีกซีกโลกซะอีก