โยรุ ผู้นี้คือราชาแห่งประเทศออดินารี่ ฟุกุเทน ราชอาณาจักรขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีป
เขานั่งกลัดกลุ้มอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ปัญหาทางการเมืองและการสนับสนุนจากประชาชนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆนำมาซึ่งความเครียดอย่างสูง
ที่ประเทศเกาะแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยจากปีศาจมากที่สุดในโลก
แม่มดไม่คิดที่จะโจมตีเพราะไม่คุ้มค่ากับการเดินทางไกล ทำให้ประเทศแห่งนี้มีความมั่นคงและร่ำรวยมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ในการประชุมผู้นำประเทศ ราชาของฟุกุเทนมักจะมีแต้มต่อในการเจรจาเสมอ ต่อให้เป็นสัญญาการค้าแบบเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ประเทศที่อ่อนแอกว่าก็ยังไม่กล้าปริปากบ่นอะไร
เหตุผลก็ง่ายๆ เนื่องจากประเทศอื่นๆนอกเหนือจากฟุกุเทนและจาปอนซึ่งเป็นประเทศเกาะ ประเทศบนทวีปใหญ่ส่วนมากจะไม่มีทรัพยากรมากเพียงพอใช้งาน แต่ก็ไม่สามารถหาคู่ค้าอื่นนอกจากสองประเทศข้างต้นได้
ในแง่หนึ่ง สองประเทศนี้ก็เป็นเหมือนเส้นชีวิตของมนุษยชาติ หากไม่มีทรัพยากรอาหารจากสองประเทศเข้าไปช่วย ประเทศไหนก็อยู่ไม่ได้
ประเทศอื่นๆจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมก้มหัวให้กับฟุกุเทน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฟุกุเทนจึงไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเซนต์มากนัก เป็นเพราะว่าเซนต์คือตัวตนที่ไม่จำเป็นสำหรับฟุกุเทน
ประเทศอื่นไม่มีทางเลือกนอกจากฝากความหวังลมๆแล้งๆให้กับเซนต์เป็นผู้กู้โลก ฟุกุเทนที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นจึงไม่ได้ให้ความเคารพใดๆต่อเซนต์ โดยเฉพาะกับราชวงศ์ที่ไม่อยากจะแบ่งอำนาจการปกครองให้คนภายนอกด้วยแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ฟุกุเทนยังเป็นประเทศเกาะที่อยู่ห่างไกล ทำให้เซนต์เดินทางมาถึงได้ยาก
ว่าง่ายๆ สำหรับฟุกุเทนแล้ว เซนต์เป็นตัวตนที่”จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่าง” และไม่จำเป็นต้องให้ความใส่ใจ
แต่สำหรับอีกประเทศที่มีสถานการณ์ใกล้เคียงกันอย่างจาปอนกลับไม่คิดเช่นเดียวกัน ทางฝั่งนั้นยอมก้มหัวให้แก่เซนต์แต่โดยดีเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ว่ากันว่ามีเหตุผลมาจากการรุกรานของแม่มดในยุคอดีตที่ทิ้งรอยแผลฝังใจไว้แก่ผู้คนในประเทศ
นั่นถือเป็นเรื่องดีต่อฟุกุเทน หากไม่มีคู่แข่งคนอื่น ก็เท่ากับว่าราชาแห่งฟุกุเทนจะเป็นเพียงผู้เดียวในโลกที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่อำนาจของเซนต์ ทำให้คล้ายว่ามีตำแหน่งทัดเทียมกันหรือกระทั่งสูงกว่าเซนต์
ราชาโยรุส่งเสียงในลำคอ
“แย่แล้ว… นี่มันแย่จริงๆแล้วนะเนี่ย…”
การมาถึงของเอลริสเมื่อไม่กี่ปีก่อน เธอผู้ถูกเรียกว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้อำนาจในมือของเขาค่อยๆหลุดลอยออกไปเรื่อยๆ
เธอกำจัดปีศาจไปจำนวนนับไม่ถ้วน รักษาเหล่าประชากร นำมาซึ่งพืชผลชนิดใหม่ ยึดคืนดินแดนกลับมาจากแม่มด เธอนั้นแข็งแกร่งเกินไป ยอดเยี่ยมเกินไปจนเทียบกันแล้วเซนต์คนก่อนๆดูเหมือนตัวตลก
ในเวลาเพียงไม่กี่ปี สถานการณ์ก้กลับตาลปัตร จากประเทศที่ดีที่สุดในโลก ฟุกุเทนกลับกลายมาเป็นประเทศรั้งท้าย
เอลริสไม่จำเป็นต้องใช้เรือเพื่อเดินทางมาที่นี่ด้วยซ้ำ เธอสามารถมาถึงฟุกุเทนได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียวและขจัดปัญหาให้หมดไป
แต่ทางฟุกุเทนได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเซนต์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากยอมให้เธอช่วยเหลือก็หมายถึงต้องยอมก้มหัวให้เธอ และพวกเขายอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
พวกเขาไม่ยอมที่จะขอความช่วยเหลือใดๆจากเอลริส ราชาโยรุกลัวว่าอำนาจของตนจะถูกเอลริสพังทลายลง จึงประกาศไปตรงๆเลยว่าฟุกุเทนไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเซนต์
จริงอยู่ที่พวกเขาไม่ได้สั่งห้ามเอลริสไม่ให้เข้าประเทศ แต่การถูกปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ย่อมทำให้เอลริสไม่สามารถบากหน้าเข้ามาช่วยได้ง่ายๆ
ผนวกเข้ากับการที่เป็นประเทศห่างไกล ทำให้ฟุกุเทนไม่ใช่เป้าหมายหลักในการช่วยเหลือของเอลริส
ในพริบตาเดียว ฟุกุเทนก็เปลี่ยนจากประเทศที่มั่นคงที่สุด ร่ำรวยที่สุด และปลอดภัยที่สุด กลับกลายมาเป็นย่ำแย่ที่สุดแทน
จริงอยู่ที่สถานการณ์ของฟุกุเทนก่อนหน้านี้ยังดีกว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการรุกรานจากปีศาจเลย อาจจะน้อยกว่าบนทวีปใหญ่ก็จริง แต่ผู้คนและพื้นที่ก็ยังต้องตกเป็นเป้าโจมตีของปีศาจอยู่เรื่อยๆ
จะให้ขอความช่วยเหลือจากเอลริสมันก็ทำได้ แต่ศักดิ์ศรีของราชาโยรุมันค้ำคอ ประกาศไปขนาดนี้แล้ว จะให้กลับคำก็ออกจะน่าอับอายเกินไป
“จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย…”
ราชาโยรุกลายมาเป็นกษัตริย์ผู้โง่เขลาที่ยอมให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมาณจากความหยิ่งผยองของตน และแน่นอนว่าประชาชนต้องออกมาลุกฮือต่อต้าน
ทำไมราชาถึงไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเซนต์สักที!?
ไอ้ราชวงศ์งี่เง่านี่แหละที่ผลักไสเธอออกไปตั้งแต่แรกน่ะ!
รีบๆก้มหัวให้แก่เซนต์ซะ!
ยอมก้มหัวให้เซนต์แล้วจะเป็นไรไป? เธอไม่ได้เข้ามายึดอำนาจแทนแกสักหน่อย!
ไอ้ตัวไร้ประโยชน์เอ๊ย ไม่แปลกใจเลยที่แกโดนเมียทิ้ง!
ถ้าเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ไม่ช้าก็เร็วรัฐประหารจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่เขาก็ยังไม่ยอมที่จะขอความช่วยเหลือจากเซนต์ ถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนกับยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดมาตลอด และสุดท้ายเขาก็คงจะต้องเสียราชบัลลังก์ไปอยู่ดี
ไม่ เขาต้องหาวิธีที่จะพาเซนต์มาที่ฟุกุเทนโดยไม่ต้องยอมก้มหัวหรือขอโทษ เท่านี้เขาก็จะกลับมามีชัยเหนือประเทศอื่นๆเช่นเดิม
ราชาโยรุไม่อาจลืมเลือนความสำเร็จของประเทศตนในอดีตได้ และจึงนำมาซึ่งแผนการ แผนการโง่ๆที่เขาคิดว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้
.
ภายใต้ความมืดมิดของยามค่ำคืน กลุ่มชายฉกรรจ์สิบคนมุ่งตรงมายังสถาบันเวทมนตร์
พวกเขาคือหน่วยทหารลับขึ้นตรงต่อราชาแห่งฟุกุเทน คอยรับภารกิจแทรกซึม ลอบสังหาร และลักพาตัวเป็นงานหลัก
เป้าหมายในค่ำคืนนี้คือ เซนต์เอลริส
ราชาโยรุไม่ต้องการที่จะก้มหัวให้แก่เซนต์ แต่เขาก็ต้องการตัวเธอมายังฟุกุเทน
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ได้คำตอบ แค่ลักพาตัวเธอมาที่ฟุกุเทน กักขังเธอไว้ ครอบครองพรและปาฏิหาริย์ของเธอเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เท่านี้ประเทศของเขาก็จะกลายเป็นที่หนึ่งในโลก และประเทศอื่นๆก็จำเป็นต้องก้มหัวให้เขาอีกครั้ง
ฟุกุเทนจะกลับมายิ่งใหญ่ดังเช่นกาลก่อน
หากมีใครสงสัยว่าเอลริสหายไปไหน …ก็โยนความผิดให้กับแม่มดไปสิ
เอลริสอาจจะสามารถทำลายปีศาจได้ทั้งกองทัพก็จริง แต่ในยามหลับไหลเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาๆ เขาจะสามารถใช้ยาต่างๅเพื่อควบคุมเธอให้อยู่ภายใต้คำบัญชาของตนได้ง่ายๆ
และแล้ว หน่วยทหารลับนี้จึงถูกโยนงานที่ไร้ซึ่งความคิดนี้มาให้
ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูหน้า ก็สังเกตุได้ถึงสิ่งผิดปกติ
“เฮ้ย ไม่ใช่ว่า…พวกเราหายไปคนนึงหรอกเหรอ?”
หนึ่งในนั้นถามออกมาพร้อมนับจำนวนคนในกลุ่ม
“จริงด้วย”
อีกคนเห็นพ้องต้องกัน
“ใครหลงทางไปรึเปล่า?”
พวกพ้องหายไปหนึ่งก็จริง แต่ในฐานะมืออาชีพ งานตรงหน้าต้องมาก่อน คนเหล่านี้มีนิสัยที่โหดเหี้ยม เย็นชา และจงรักภักดีต่อราชาเป็นที่สุด คำสั่งจากเบื้องบนนั้นมีค่ายิ่งกว่าชีวิตตนเองหรือเพื่อนพ้อง ยิ่งกว่านั้น หากมีใครหลงทางไปจริงๆ คนคนนั้นก็เหมาะสมกับภารกิจนี้ และไม่มีค่าพอให้สนใจ
แต่ละคนนำเชือกพันตะขอขึ้นมา เหวี่ยงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะโยนขึ้นไป ให้มันยึดกับหน้าต่างชั้นบน
จากข้อมูลที่ได้รับมา เอลริสจะพักอยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคารสถาบัน และจะมีเลย์ล่า องครักษ์ส่วนตัวของเธอคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูเสมอ
หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าหน้าต่างจะกลายเป็นช่องโหว่
แต่ละคนค่อยๆปีนกำแพงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก่อนที่คนสุดท้ายจะตามขึ้นไป เขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลัง
“อะไ–“
ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดว่า “อะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ!?” เขาก็ถูกปิดปากลงในทันทีพร้อมกับเข็มที่แทงเข้าไปยังลำคอ ส่งผลให้สติหลุดไปในบัดดล
สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะหลับตาลง ก็คือแว่นตาส่องประกายสะท้อนกับแสงจันทร์ ร่างกายของเขาเองก็โดนลากหายไปในทันที
“รอก่อน…นี่มันแปลกๆนะ พวกเราหายไปอีกคนแล้ว”
หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา
“อีกแล้วเหรอ?”
“นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแล้วนะ มันต้องมีอะไรแน่”
“เราอาจจะอยู่ใต้การโจมตีของอีกฝ่าย อย่าประมาทไปล่ะ”
คนนึงหายไปยังพอว่า หายไปสองนี่มันน่าสงสัยเกินจะเป็นเรื่องบังเอิญ หนึ่งในอัศวินของเอลริสอาจจะรู้ตัวเข้าแล้วก็เป็นได้
คนที่เหลืออีกแปดคนหันหลังกลับไม่ได้แล้ว พวกเขายังคงปีนต่อไป จับตาดูรอบๆไว้ตลอดเวลา
พอมาถึงชั้นสาม คนที่อยู่หลังสุดก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังโดนจับตามองอยู่ เขากวาดตามองไปยังหน้าต่างของชั้นที่สาม ตรงนั้นเอง คือชายสวมแว่นที่กำลังจับจ้องมายังเขา
“ศัตร–“
เขาพยายามจะเตือนพวกพ้องให้รู้สึกตัวถึงศัตรู แต่ก็สายออกไป ด้วยมือที่จู่ๆก็โผล่ออกมาจากกำแพงปิดปากของเขาไว้
นี่มันแขนของโกเลม? แสดงว่าศัตรูมีความเชี่ยวชาญเวทย์ดิน แต่เจ้านั่นฝังโกเลมเขาไปในกำแพงได้ยังไง?
และแล้วเขาก็รู้ตัว ชายสวมแว่นไม่ได้ฝังโกเลมเข้าไปในกำแพง แต่เป็นทั้งกำแพงนั่นแหละที่ทำจากโกเลม
เขาไม่มีเวลามากพอที่จะตกตะลึงกับเรื่องนั้น กำแพงตรงหน้าเขาแยกออกและตัวของเขาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปยังกำแพงนั้น
“ตรงนั้นล่ะ ห้องของเป้าหมาย”
หนึ่งในชายที่เหลือชี้ให้เห็นหน้าต่าง
“แต่มีม่านบังอยู่ เลยไม่เห็นตัวของเอลริส”
“ไม่ต้องสนเรื่องนั้น ตัดกระจกเข้าไปเลย”
อีกคนหนึ่งพูดพร้อมใช้นิ้ววาดเป็นวงกลมบนหน้าต่าง เขาใช้เวทย์ไฟเพื่อตัดส่วนนั้นของกระจกออกก่อให้เกิดเป็นรู เขาเอื้อมมือผ่านรูนั้นเขาไปเพื่อปลดล็อกหน้าต่าง
เมื่อหน้าต่างถูกเปิดออก ทหารห้านายก็บุกเข้าไปยังห้องได้สำเร็จ
ห้า? ทั้งหลุ่มมีอยู่กันสิบคนนี่
พวกเขามองหน้ากันไปมา คนที่เหลือหายไปไหน? ต้องแรกเห็นหายไปกันสองคน ตอนนี้ก็หายไปอีกสามคน
“ฮะ-เฮ้ ทำไมมีแค่ห้าคนล่ะ… พวกที่เหลือไปไหนแล้ว?”
“อาจจะยังปีนกันอยู่ก็ได้”
“มะ-ไม่มีนะ”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ… ทำไมหายไปอีกคนแล้วล่ะ!”
เพียงชั่วขณะที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างกันอยู่ คนในกลุ่มก็หายไปอีกหนึ่งคน
คนที่เหลืออีกสี่คนต่างสั่นผวา แต่แค่นี้ยังหยุดพวกเขาไม่ได้ นี่คือกลุ่มทหารลับที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษเพื่อการณ์นี้ ภารกิจจะต้องมาก่อนเสมอ
“เราโดนโจมตีอยู่แน่ๆ! ไม่ต้องมาทำลับๆล่อๆแล้ว รีบจับตัวเป้าหมายแล้วเผ่นให้ไวที่สุดเลย!”
“โอ้!”
สี่คนที่เหลือรีบมุ่งตรงไปเพื่อจับเป้าหมาย พวกเขาเปิดม่านที่บังเตียงออก ณ ตรงนั้น เซนต์ผู้งดงาม…ไม่ได้อยู่ที่นั่น เตียงของเธอเองก็ด้วย
พวกเขาเริ่มสังเกตได้ว่ามีอะไรแปลกๆ มืดๆแบบนี้ทำให้ดูยากก็จริง แต่ที่นี่คือห้องของเซนต์จริงๆอย่างนั้นหรือ? ทุกๆอย่างตั้งแต่ผนังไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ ดูจะทำออกมา…ลวกๆชอบกล
“นะ-นี่พวกเราอยู่ในสถาบันจริงๆเหรอ?”
หนึ่งในนั้นโพล่งขึ้นมา
“หมายความว่าไงน่ะ?”
“มองไปนอกหน้าต่าง! …ตรงนั้น เห็นได้จากจุดนี้! นั่นมันสถาบันไม่ใช่เหรอ!”
เขาชี้ออกไปด้านนอก คนที่เหลือมองตามมือออกไป ที่สุดขอบสายตานั้นคืออาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง—สถาบันเวทมนตร์
นี่มันบ้าไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถาบันไม่ใช่เหรอ? แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ?!
“เวรเอ๊ย! นี่เป็นกับดัก! เราต้องรีบออกจากที่นี่ด่วนเลย!”
“หะ-หา! อีกสองคนหายไปแล้ว!”
กว่าจะรู้ตัวก็ช้าเกินไป พวกเขาหนีไม่รอดแล้ว ตอนนี้จากกลุ่มสิบคน เหลืออยู่ตรงนั้นเพียงแค่สองคนเท่านั้น
สองคนที่เหลือยืนหันหลังชนกัน ในมือถืออาวุธพร้อมกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่เลย ความเงียบเช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขาขวัญเสีย
“ห่าเอ๊ย! ไปอยู่ไหนกันวะเนี่ย?! แกเห็นใครบ้างรึเปล่า?”
หนึ่งในสองคนนั้นถามอีกคนด้วยความระแวง
“เฮ้ย? ตอบหน่อย!”
เมื่อหันกลับไป ก็พบว่าตอนนี้เหลือตัวเขาอยู่เพียงคนเดียวในห้อง เขาไม่เห็นใครเลยไม่ว่าจะพวกพ้องหรือศัตรู
กลุ่มทหารหัวกะทิสิบคนถูกทำให้เหลือเพียงคนเดียวในชั่วลมหายใจ ชายคนนี้ผ่านการฝึกฝนมามากมาย หัวใจนี้เข้มแข็งดุจเหล็กกล้า แต่ครั้งนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว ขาของเขาสั่นพั่บๆ ฟันกระทบกันเหมือนจะแตกออก
ในทันใดนั้น เขาก็สังเกตได้ถึงแสงสะท้อนหนึ่งเดียวในห้อง ตามมาด้วยเสียงใครสักคนพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ก็นึกว่าความมืดในตอนกลางคืนจะทำให้สังเกตความแตกต่างได้ยากกว่านี้ซะอีก แต่ของปลอมนี่มันก็สู้ของแท้ไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ กระผมอุตส่าห์ลงทุนลงแรงในการสร้างอาคารนี้ไปตั้งขนาดนั้นเชียวนะ”
เสียงนั้นเอ่ยขึ้นมา
“กะ-แกเป็นใครวะ?!”
ทหารลับถามด้วยความหวาดกลัว เมื่อเพ่งดูดีๆ จึงรู้ว่าแสงสะท้อนนั้นเกิดจากแว่นตา
เบื้องหน้าของเขาคือแฟนพันธุ์แท้เอลริสและโรคจิตขนาดหนัก ซัปเปิ้ล เมนต์ ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ทหารคนนั้นต้องการที่จะพุ่งเข้าไปและจัดการเขาซะ แต่ขาของเขากลับขยับไม่ได้ เมื่อมองลงไป ก็พบว่าขาของตนถูกฝังอยู่ใต้พื้นไปครึ่งหนึ่ง
“ระวังด้วย”
ซัปเปิ้ลพูด
“ตอนนี้เจ้ายืนอยู่ภายในโกเลมของกระผม ต้องบอกว่าออกจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง ก็รู้ดีว่านี่ออกจะเป็นงานรีบ แต่ก็ดูจะพังทลายลงเร็วว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ก็นึกว่าถ้าเตรียมกระจกและไม้เอาไว้ก่อน จะทำให้ทุ่นแรงต้อนสร้างไปโข แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งชั่วโมงจะเป็นขีดจำกัดของกระผมในตอนนี้สินะ ยังต้องฝึกอีกเยอะเลยสิ”
“โกเลม…งั้นหรือ? จะบอกว่าทั้งตึกนี้คือโกเลมอย่างนั้นหรือ?!”
“แหม แหม ไม่ต้องตกใจถึงขนาดนั้นก็ได้ ก็ใช่ว่าผมจะเสกเจ้านี่ขึ้นมาจากความว่างเปล่าเสียเมื่อไร ก็แค่ปั้นดินที่เตรียมไว้ให้กลายเป็นตึกเท่านั้นเอง หากเป็นท่านเอลริสล่ะก็ คงจะสร้างตึกที่สมจริงยิ่งกว่านี้ขึ้นมาได้ด้วยเพียงความคิด ใครก็คงแยกจากของจริงไม่ออก…”
“แกเตรียมไว้ก่อนรึ? แสดงว่าแกรู้แผนของเร–“
ทหารคนสุดท้ายพยายามที่จะถามเอาข้อมูล
“ไม่หรอก”
แต่ก็โดนซัปเปิ้ลขัดไว้ก่อน
“นี่ก็เป็นเพียงงานอดิเรกของกระผมเท่านั้น เห็นพวกเจ้าบุกรุกเข้ามาพอดี จึงคิดที่จะทดลองอะไรนิดหน่อย”
เห็นเป็นแบบนี้ แต่ซัปเปิ้ลก็เป็นนักวิจัยตัวจริง เมื่อเขาได้เห็นเอลริสสร้างอาวุธขึ้นมาจากเวทย์ดินต่อหน้า จึงจุดประกายความคิดของซัปเปิ้ลขึ้นมา ว่ายังมีความเป็นไปได้อีกมากเกี่ยวกับเวทย์ดินที่ยังไม่ถูกค้นพบโดยผู้อื่นนอกจากเอลริส
เขารู้ดีว่าจะให้ทำได้อย่างเอลริสคงจะเป็นไปไม่ได้ทั้งชีวิตนี้ แต่ถึงจะเข้าใกล้ระดับของเธอไม่ได้ ซัปเปิ้ลก็มีความตั้งใจมากพอที่จะค้นคว้าในเวทมนตร์ธาตุดินเพื่อผลักดันตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น
“ต้องขอขอบคุณที่ยอมมาเป็นหนูทดลองให้กระผม”
ซัปเปิ้ลก้าวออกมาด้านหน้า แว่นของเขาสะท้อนกับแสงจันทร์ทำให้ส่องประกายขึ้น
“เพื่อเป็นการตอบแทน กระผมจะสอนให้พวกเจ้ารับรู้ถึงความโง่เขลาของตนเองและฝังความยิ่งใหญ่แห่งท่านเซนต์ลงไปในสมองนั้น”
สิ่งเดียวที่สะท้อนอยู่ในตาของทหารลับคนนั้น คือรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวของซัปเปิ้ล เมนต์
“ยะ-หยุดนะ!”
เขาอยากจะวิ่งหนี แต่ทำไม่ได้ ขาทั้งสองข้างของเขายังถูกฝังอยู่ในพื้นอยู่เลย
ซัปเปิ้ลค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
“ม่ายยยยยยย!!!”
ค่ำคืนนั้นถูกย้อมไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของทหารลับคนนั้น
.
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทหารทั้งสิบนายก็เดินทางกลับมาถึงฟุกุเทน
ราชาโยรุต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดี ถึงกับเรียกทั้งกลุ่มมายังที่พักส่วนตัวของตน เพียงเท่านี้ ประเทศของเขาก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ฟุกุเทนจะยิ่งใหญ่ร่ำรวยในขณะที่ประเทศอื่นๆจะค่อยๆถดถอยลง ชื่อของเขาจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศในฐานะราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาเห็นภาพนั้นได้เลย ภาพที่เหล่าประชากรก้มหัวแทบเท้าตนเมื่อใดก็ตามที่เขาเดินผ่าน เสียงชื่นชมสรรเสริญจะดังก้องไปทั่วถนน
ในตอนนี้มีเพียงเขาและกลุ่มทหารลับในห้องส่วนตัว เขาจะให้ใครอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาลักพาตัวเอลริสมา หากข้อมูลนี้รั่วไหลล่ะก็ จะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่ ไม่มีใครนอกจากตัวของโยรุเองและกลุมทหารลับที่รู้ถึงแผนการนี้
“สมกับเป็นเหล่าหัวกะทิของข้าจริงๆ กลับมากันเร็วกว่าที่ข้าคิดว่าซะอีก”
ราชาโยรุกล่าวชื่นชม
“แล้วเอลริสอยู่ที่ไหนล่ะ? พามาด้วยที่นี่ด้วยรึเปล่า?”
กลุ่มทหารลับไม่ตอบ พวกเขากระจายตัวกันไปล้อมรอบราชา สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย การเคลื่อนไหวเองก็เป็นธรรมชาติส่งผลให้โยรุไม่สังเกตถึงความผิดปกติ
ตอนแรกเขาก็นึกว่าเอลริสถูกจับยัดไว้ในถุงหรือกรง แต่ถ้าลองดูดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่มีใครที่แบกถุงอะไรมาด้วยเลย
“หืม? มีอะไรเรอะ?”
“เพื่อ…”
สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มทหารลับพูดพึมพำ
แต่ก็เบาเกินกว่าที่ราชาโยรุจะได้ยิน
“อะไรนะ?”
“เพื่อท่านเอลริส!”
เสียงตะโกนดังขึ้น
สมาชิกอีกเก้าคนเองก็แหกปากร้องตามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เพื่อท่านเอลริส”
“หา? พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด?”
โยรุถามด้วยความงงงวย
พวกลูกน้องของเขาดูแปลกๆไป ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย แต่ละคนเอาแต่ร้องแสดงความจงรักภักดีแก่เอลริส
ราชาโยรุคงไม่รู้ แต่พวกเขาทุกคนมีสีหน้าเหมือนกับซัปเปิ้ลตอนที่เห็นเอลริสทำอะไรสักอย่างที่มันสุดยอด
หลังจากที่จับคนพวกนี้ได้ ซัปเปิ้ลก็แทบจะเจาะความยอดเยี่ยม ความงดงาม ความสมบูรณ์แบบของเอลริสเข้าไปในสมองของทหารทุกคนโดยไม่หยุดพัก ไม่รู้กี่สิบชั่วโมงที่เขาร่ายพรรณาความสุดยอดของเอลริสให้คนเหล่านี้ฟัง เขายังไม่ลืมที่จะพาทุกคนไปชื่นชมความงดงามของเอลริสตัวจริงจากที่ห่างไกล ซัปเปิ้ลทำให้แน่ใจว่าเขาได้ย้อมทหารลับพวกนี้ให้กลายเป็นคนประเภทเดียวกับตนเอง
ทำไมพวกเขาถึงต้องมารับใช้ราชาสมองหมาปัญญาควายที่ไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย? ราชาโยรุน่ะเห็นแก่อำนาจของตัวเองเท่านั้นล่ะ!
การลักพาตัวเอลริสจะทำให้โลกกลับไปสู่ยุคสมัยแห่งความสิ้นหวังอีกครั้ง ถ้ามีฟุกุเทนอยู่ที่เดียวที่เจริญรุ่งเรืองในโลกแบบนั้น มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าทางนั่นเป็นประเทศที่ลักพาตัวเอลริสไปน่ะ? และทุกประเทศก็จะร่วมมือกันเพื่อประกาศสงครามกับฟุกุเทน แค่ประเทศเดียวจะไปสู้ไหวได้ยังไงกันล่ะ?
พวกเขาพร้อมที่จะเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งให้กับผู้นำที่มองเรื่องแค่นี้ยังไม่ออกจริงๆหรือ? เพื่ออะไรกันล่ะ? ราชาแบบนี้มีค่าให้รับใช้ที่ไหนกัน? เปลี่ยนมาจงรักภักดีต่อหญิงสาวที่งดงามที่สุดเท่าที่ใครจะเคยเห็นนี่ดีกว่ากันไม่รู้กี่ล้านเท่า
เพราะเช่นนั้น เหล่าทหารลับจึงเลือกที่จะทรยศราชาโยรุ
พวกเขาตะโกน “เพื่อท่านเอลริส!” พร้อมเดินเข้าหาราชาผู้โง่งมที่พยายามจะทำร้ายเซนต์ของพวกตน
อย่างแรกก็ต้องกระทืบเจ้านี่ให้หนำใจก่อน จากนั้นก็ค่อยร่วมมือกับหนึ่งในองค์ชายเพื่อทำให้ดูเหมือนเป็นรัฐประหาร
ทั้งสิบคนกระโจนเข้ารุมราชาที่พวกเขาเคยสาบานความจงรักภักดีเอาไว้
.
“ท่านเอลริสคะ ประเทศฟุกุเทนเปลี่ยนผู้ปกครองแล้วนะคะ”
“อย่างนั้นหรือ?”
เลย์ล่าบอกข่าวนี้ให้ชั้นฟังในตอนเช้าของวันหนึ่ง
เอาจริงๆชั้นก็ไม่ค่อยสนอ่ะนะ จำได้ว่าราชาของฟุกุเทนดูจะไม่ชอบขี้หน้าชั้นซักเท่าไหร่ด้วย
“ค่ะ ราชาองค์ใหม่ของฟุกุเทน ฝ่าบาทชินยะส่งจดหมายมาขออภัยในความเสียมารยาทของกษัตริย์คนก่อนค่ะ”
เสียมารยาทเหรอ? ที่ปฏิเสธไม่ให้ชั้นไปช่วยอ่ะนะ? ก็ได้ยินว่าเป็นแบบนี้มานานแล้วป่ะ? ไม่เหมือนอาณาจักรบิลเบอรี่ ฟุกุเทนเป็นประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของเซนต์นี่นา
“ฟุกุเทนเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางการปกครองของประเทศ และราชาชิยะก็ต้องการที่จะมาอยู่ภายใต้อำนาจของท่านเอลริสค่ะ”
โฮ่ ลูกชายกลับลำจากสมัยพ่อเลยแฮะ สงสัยไม่ชอบการปกครองรุ่นพ่อล่ะมั้ง? เอาเหอะ ไงก็ได้แหละ
ถึงฟุกุเทนจะมาอยู่ภายใต้ชั้นไปก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนมาก ยังไงคนที่มีอำนาจทางการเมืองจริงๆก็ยังเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ของแต่ละประเทศอยู่ดี อย่างมากชั้นก็แค่เดินทางไปช่วยคนที่นั่นได้ง่ายๆเท่านั้นเอง ทางนี้นี่ไงก็ได้ล่ะนะ แต่ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนอย่างนี้หว่า?
ลูกชายไม่ชอบระบบจากสมัยพ่อก็จริง แต่ทางพ่อนี่โอเคเรอะ? จะเกิดความขัดแย้งอะไรรึเปล่า?
“แล้วราชาโยรุเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ?”
ชั้นถามไป
“ราชาคนก่อน…ถูกจับขังคุกภายใต้ข้อหาจำนวนมากค่ะ”
โว้ว–ทางนู้นนี่ดูจะมีอะไรเกิดขึ้นเยอะเลยแฮะ
อ่ะนะ ไม่ใช่ปัญหาของชั้นซักหน่อย
พอคิดอย่างนั้น ชั้นก็หันออกไปนอกหน้าต่าง
สายตาชั้นเหลือบไปเห็นสิ่งก่อสร้างที่ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อน…หรือถ้าจะพูด ก็คือเศษซากของสิ่งก่อสร้างนั้น
อะไรวะน่ะ?
“นั่นคืออะไรหรือคะ?”
ชั้นหันไปถามเลย์ล่า
“ตรงนั้น…คือโกเลมที่ผู้ฝึกสอนซัปเปิ้ล เมนต์สร้างขึ้นค่ะ ได้ยินว่าเขาพยายามที่จะสร้างอาคารเรียนใหม่ให้แก่สถาบัน แต่อยู่ได้เพียงชั่วโมงเดียวก็พังลงมาแล้ว”
อาคารใหม่เรอะ ทางนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะไม่แพ้กันเลยแฮะ
อันตรายนา ถ้ามีใครเข้าใจผิดไปแล้วเดินไปนี่จะเป็นยังไง
เอาถอะ คงไม่มีใครโง่ขนาดนั้นหรอก
จากนั้นเลย์ล่าก็รายงานสถานการณ์ในช่วงเช้าต่อ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชั้นเลย
เอาล่ะ วันนี้ก็มาแอบส่องสาวๆในชุดนักเรียนให้สมใจอยากดีกว่า
ไอ้นี่น่าสนใจกว่าเรื่องการเปลี่ยนตัวราชาของประเทศจากอีกซีกโลกซะอีก